พอพูดถึงวันจันทร์หลายคนคงจะรู้สึกเบื่อหน่ายและอยากลบวันจันทร์ออกไปจากหน้าปฏิทิน แต่คำว่า Monday ในที่นี้เป็นชื่อตัวละครจากเรื่องWhat happen to Monday ภาพยนตร์ที่บอกเล่าถึงพี่น้องฝาแฝดทั้ง7 กับการหลบซ่อนตัวจากผู้ออกนโยบายจำกัดบุตร โดยให้แต่ละครอบครัวมีลูกได้เพียง 1 คนเท่านั้นเพื่อแก้ปัญหาเรื่องประชากรล้นโลกและความขาดแคลนทรัพยากร พวกเขาจึงต้องปกปิดความลับที่เดิมพันไว้ด้วยชีวิต ผ่านการสวมบทบาทเป็นบุคคลเดียวท่ามกลางการจับจ้องจากโลกภายนอก โดยในแต่ละวันจะมีเพียงคนที่มีชื่อตรงกับวันนั้นเท่านั้นที่สามารถปราฏตัวต่อสาธารณชนได้ แต่แล้ววันหนึ่ง มันเดย์ พี่ใหญ่ของบ้านได้หายตัวไป นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของคำถามที่ว่า “เกิดอะไรขึ้นกับมันเดย์”
ภาพยนตร์ปูทางให้เห็นถึงปมปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนต้นเรื่องโดยการใช้ภาพข่าวถ่ายทอดปัญหาที่นำไปสู่การออกนโยบายจำกัดบุตร เสมือนเป็นการสร้างความสมจริงให้กับเงื่อนไขภายในภาพยนตร์ก่อนการดำเนินเรื่อง และในขณะเดียวกันก็ให้ผู้ชมตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันด้วยภาพยนตร์ได้บอกเล่าเรื่องราวภูมิหลัง และความผูกพันของครอบครัว ชีวิตการเป็นอยู่ของเด็กสาวทั้ง7 คน และเรื่องราวที่ต้องพบเจอ สอดแทรกระหว่างชีวิตประจำวันของพวกเธอในฐานะของคาเรน เซตต์แมน หญิงสาวที่มีบุคคลิกอย่างคนมีระเบียบ สังเกตได้จากการแต่งตัวและทรงผมของเธอ
การดำเนินเรื่องได้พาเราให้คล้อยตามไปกับเหตุการณ์ต่างๆมีจังหวะการดำเนินเรื่องที่ลงตัวและคลุกเคล้าอารมณ์ต่างๆเอาไว้ได้อย่างกลมกล่อมไปจนจบเรื่องถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นแนวแอคชั่นลุ้นระทึกแต่ก็ยังแทรกความตลกขบขันเอาในจังหวะที่พอเหมาะและตบท้ายด้วยความซึ้งและความเศร้าเป็นระยะ แต่โดยรวมนั้นผู้ชมได้รับสัมผัสทางอารมณ์ที่หลากหลายทำให้ผู้ชมไม่จมดิ่งไปกับด้านใดด้านหนึ่งในส่วนของภาพที่สื่อออกมานั้น เรียกได้ว่าดิบมาก คือในฉากแอคชั่นต่างๆ ภาพยนตร์ได้โชว์ให้เห็นความเรียลโดยไม่มีการปิดบังใดๆมุมกล้องที่ใช้คือการเน้นให้เห็นกันสดๆ เหมาะสำหรับคนที่ชอบแนวบู๊ล้างผลาญ แต่ในทางกลับกันการผสมผสานเรื่องราวต่างๆของภาพยนตร์นั้นทำให้เราได้ตระหนักถึงประเด็นอื่นๆที่สอดแทรกเอาไว้มากกว่าความมันส์กับฉากบู๊ต่างๆดังนั้นคาแรกเตอร์และความชอบของผู้ชมจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้
ในท้ายที่สุดคำถามที่ว่า “เกิดอะไรขึ้นกับมันเดย์” คงจะตอบได้ต่างจากตอนที่กำลังค้นหาคำตอบของการหายตัวไปของมันเดย์ แต่คำตอบนี้คงจะตอบกับคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับ(ภายในของ)มันเดย์ ซึ่งความคิดและรู้สึกมันถูกบ่มเพาะมาอย่างยาวนาน มันเดย์ได้ถูกหยิบยื่นภาระหน้าที่อันหนักอึ้งจนแปรเปลี่ยนเป็นความกดดัน และกดทับบางสิ่งเอาไว้มาเนิ่นนาน เมื่อวันเวลาเดินทางมาถึงวันหนึ่งวันที่เธอไม่สามารถแบกรับภาระเหล่านั้นเอาไว้ได้อีกแล้ว ทุกสิ่งจึงแตกกระเจิงออกและกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง จนเราไม่สามารถประคับประคองเศษเหล่านั้นเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว รวมถึงยังสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องบาดแผลในอดีตที่ถูกสร้างด้วยผู้อื่นที่บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ตัวว่าเราได้ไปสร้างบาดแผลไว้ให้กับใครหรือไม่ เหมือนกับเธิร์ดเดย์กับสิ่งที่ทำไว้ในวัยเด็กที่ได้สร้างรอยแผลเป็นลึกให้กับมันเดย์ ถ้าหากเธอได้พูดถึงความในใจของตัวเองออกมาเร็วกว่านี้ ก่อนที่มันจะสายเกินไป เรื่องราวก็อาจจะไม่ต้องมีจุดจบแบบนี้ บางทีมันอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆที่กลายเป็นปมผูกติดกันเป็นเงื่อนตาย และสุดท้ายก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขมันได้อีกต่อไปแล้ว
สุดท้ายภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ให้ภาพของตัวร้ายที่ชัดเจนว่าคนร้ายจะต้องแย่และเลวไปหมด แต่ชี้ให้เห็นว่าไม่ได้มีภาพขาวหรือดำที่เป็นคู่ตรงข้ามกันเท่านั้น เพราะตัวละครในเรื่องอยู่ท่ามกลางสีเหล่านั้นหรือไม่ได้เป็นสีใดสีหนึ่งเลย เพราะทุกคนเป็นเพียงคนที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไร้ที่ติ แต่เมื่อหน้าที่เหล่านั้นอยู่ในเส้นทางที่จะพุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่หันไปมองรอบด้าน จึงได้สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนจำนวนมาก และทำให้สิ่งที่มุ่งหวังว่าจะไปถึงคือจุดมุ่งหมายจากอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่มันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง แต่สิ่งที่ยังต้องขบคิดกันต่อไปคือปัญหาของโลกใบนี้ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ในปัจจุบันเราคงต้องมานั่งคิดกันใหม่ว่าปัญหานี้จะแก้ไขได้อย่างไรและวิธีทางไหนเป็นวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสมกับคนตัวเล็กๆท่ามกลางโลกที่กว้างใหญ่..
พอย้อนกลับมาที่วันจันทร์ของพวกเรา มันเดย์ของเราได้กลายเป็นเรื่องเล็กๆไปเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in