เรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มรูปงามนามเพราะคนหนึ่ง นาม “Simon”
ที่ลึกๆรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์ และไม่เคยแม้แต่จะบอกใคร จนกระทั่งเขาได้มาเจอกับ Blue
ที่ติดต่อกันทางอีเมล ตอนแรกๆก็เหมือนอยากหาเพื่อนที่เป็นเกย์คุยด้วยมากกว่า อารมณ์แบบพวกเราหัวอกเดียวกัน
จนกระทั่งความสัมพันธ์พัฒนาไปถึงจุดที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากความสนใจใคร่รู้เป็นความรัก
ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร รู้แค่อยู่โรงเรียนเดียวกัน
Simon เลือกใช้นามแฝงว่า Jacques
เรื่องมันเกิดตรงที่ Simon ดันลืมล็อกเอ้าท์อีเมลออกจากคอมพิวเตอร์ในห้องสมุด
ทีนี้ Martin ก็ดันไปเห็นอีเมลของ Simon คุยกับ Blue เรื่องที่เป็นเกย์
เขาแคปเอาไว้และเอามาแบลคเมล Simon ให้ Simon ช่วยจีบ Abby (เพื่อนของ Simon)
แล้วเรื่องนี้จะถูกเหยียบไว้ไม่ให้แพร่งพรายออกไป Simon จึงต้องจำใจช่วย Martin อย่างเสียไม่ได้
ฉากงานปาร์ตี้ฮัลโลวีน (ซึ่งไม่เหมือนในหนังสือเอาซะเลย) แต่ก็ทำออกมาได้หนุกหนานดี ตอนขึ้นไปร้องเพลงคือ Simon แลดูเป็นหนุ่มป๊อบ ส่วนชุดสูทขาวนั่นก็ดูดีมากกกกก
หนุ่มน้อย Simon ขึ้นไปชั้นบนแล้วก็เจอเรื่องเซอร์ไพรส์ ชอบหน้าน้องตอนนี้มาก 555 โอ้ยยย ไอ้หนูเอ้ย
Simon ต้องเผชิญหน้ากับปัญหานี้เพียงลำพัง การปกปิดตัวตนก็เพื่อหลีกเลี่ยงการถูก Bully จากสังคม
หลากหลายเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้า Come Out เพราะต้องทนแรงกดดันจากครอบครัว และ สังคมรอบข้าง
ซึ่งมันจะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว บางคนมาถึงจุดที่ยังสับสนทางเพศ (เหมือนกับจะเลือกไปทางซ้ายหรือทางขวาดี รึว่าอยู่มันตรงกลางนี่แหละ แบบเราเป็น Straight ,Gay , Bi อย่างไหนกันแน่ ) อาจจะอยู่ในช่วงของการค้นหาตัวเอง
Safe zone
ส่วนใหญ่ก็เลือกจะยืนอยู่ในจุดที่ปลอดภัย ปกปิดตัวตนแล้วหัวใจ ใช้ชีวิตแต่งงานมีครอบครัวมีลูกมีหลาน
ใช้ชีวิตที่ไม่ใช่ชีวิตจริงๆ มันไม่แปลกหรอกที่คนเราจะปกป้องตัวเองออกจากปัญหาทั้งหลายแหล่
ซึ่งหลายๆคนก็เลือกวิธีนี้แหละ เพราะงั้นใครก็ตามที่ยังคิดไม่ตกกับเรื่องแบบนี้ ก็ต้องเลือกหนทางชีวิตกันเอาเอง
อยู่ที่ตัวเราเป็นคนตัดสินใจ และเมื่อเราตัดสินใจแล้วเราต่างก็ต้องรับผลที่ตามมา
เราทุกคนล้วนต่างมีที่ของตัวเอง เพียงแต่เราจะหามันเจอรึไม่ ก็เท่านั้น
ในขณะที่บางคนก็ Realize แล้วว่าตนเองเป็นอะไร
เราอาจจะหลอกคนอื่นได้ แต่ใจเราเองหรือจะหลอกได้ เพียงลองมองในกระจก จ้องมองลงไปในดวงตา
ทุกอย่างก็กระจ่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
ความเกลียดชัง รักร่วมเพศ (Homosexual) ยังคงมีอยู่ในสังคมทุกหัวระแหง
สังคมเรามาถึงจุดที่เปิดกับเรื่องนี้มากขึ้นก็จริง แต่เชื่อเถอะว่ามันยังมาไม่ถึงจุดที่เรียกว่าดีพอ
ถ้าจะให้อธิบายคือ... อ่ะ อย่างการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ
คุณผู้หญิงทั้งหลายคิดว่าอย่างไร... คิดจริงๆรึว่าทุกวันนี้ผู้หญิงเท่าเทียมผู้ชายแล้ว
ทำไมถึงยังมีการเรียกร้องอยู่ เพราะว่ามันยังไม่เท่าเทียมใช่หรือไม่
ทุกวันนี้คุณได้รับการปฏิบัติทางเพศอย่างไร การเหยียดเพศ
มันยังมีอีกหลายๆเรื่องยังคงเหลื่อมอย่างที่เคยเป็นมา และยังคงเป็นอยู่ ก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นตลอดไป
เราทุกคนล้วนต้องการถูกปฏิบัติด้วยเคารพกันทั้งนั้น ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
(ดูหน้าน้อง Simon ตอนร้องไห้ซะ น่ารักน่าสงสารแค่ไหน อย่าทำน้องร้องเลยยยยยย)
*** มีบางส่วนในหนังที่ถูกตัดออก คือฉากที่ Nick กับ Abby ลาก Simon ไปเปิดโลกกว้างที่บาร์เกย์แห่งหนึ่ง
คือ ไม่น่าตัดเลยยยยย
ตัดมาตอนดูจบ
ครือ..... แบบว่าประทับใจ
มันอบอุ่น นุ่มนวล ละมุนละม่อม
รู้สึกว่าหัวใจมันฟู ล่องลอยไปในอากาศ
ชวนนึกถึงวัยหวาน การปิ๊งใครสักคน แต่เก็บงำเอาไว้เงียบๆ ได้แต่จินตนาการไปเรื่อย
หนังเรื่องนี้ควรหาโอกาสดูสักครั้ง ...จริงๆนะ
ถึงคุณจะไม่ใช่เกย์ก็เถอะ
บางคนแบบ “เห้ยยย หนังเกย์นี่หว่า ตูไม่ดูหรอก “
คือ มันไม่ใช่หนังเกย์เลย (คือจริงๆในอีกแง่มุมนึงมันก็ใช่แหละ)
เอาเป็นว่าจัดอยู่ในกลุ่ม Coming of age ที่สื่อออกมาได้งดงาม
ตอนดูจบหมาดๆนี่ไปหาเพลง Sink in มาฟังวนลูป
ระหว่างเขียนบทความนี้เลย (เพลงฉากลีอาห์นอนค้างบ้าน ไซมอน หลังจากงานปาร์ตี้)
เป็นหนังเกี่ยวกับเพศที่สามที่ไม่หวือหวา วูบวาบ ตูมตามหัวใจ
อารมณ์ประมาณ Call me by your name แต่ซอฟต์กว่า
คือมันกำลังดี มันเข้าถึงผู้คนกลุ่มใหญ่ได้มากกว่า
ซึ่งมันจะส่งผลดีในแง่ทัศนคติต่อกลุ่ม LGBT ด้วย
ปิดท้ายด้วยความน่ารักน่าเอ็นดูกับพ่อหนุ่มคนนี้
ดูจบเป็นอันต้องตกหลุมรัก Simon (โดยเฉพาะสาวๆ)
หล่อแบบชะนีเป็นอันต้องคร่ำครวญ
*** บทความนี้เป็นการแนะนำหนังน่าดู หลอกล่อให้ไปดูมากกว่า 55 ***
ไม่สปอลย์จนเกินงาม แค่พอยั่วน้ำลาย อยากดูสปอลย์หนักๆให้ไปต่อบทความที่ 2
เกี่ยวกับเนื้อเรื่องในหนังสือที่ในหนังขาดหายไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in