ผมมักจะเจอเขาในร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่เราเคยไปด้วยกันเป็นประจำ
ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยบอกผมว่าเป็นสถานที่โปรดเขาชอบมันเพราะหนังสือที่ไม่มีในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยมักจะถูกค้นพบที่นี่ในซอกหลืบลับตาคนของชุมชนที่หาห้องสมุดสำหรับประชาชนไม่เจอ
“อ้าว…ว่าไง”ในที่สุดร่างสูงตรงหน้าก็เห็นผม คำทักทายนั้นเรียบเฉย ไร้ซึ่งท่าทีแปลกใจ
“หาเล่มไหนอยู่”
เขาส่ายหน้า“แค่แวะมาดูเล่มที่เพิ่งออกน่ะ”
“ขายดีไม่เปลี่ยนเลยสิ”
ผมมองข้ามรอยยิ้มซึ่งระบายอยู่บนใบหน้าหล่อผ่านไปยังชั้นหนังสือBestSeller ตรงหน้า ที่ชั้นบนสุดหนังสือของเขาครองอันดับหนึ่งมาเกือบเดือนและใครต่อใครก็รู้ว่าจะเป็นเช่นนั้นไปอีกสักพัก ในฐานะนักเขียนเขามุ่งหน้าไปไกลแล้วไกลกว่าทุกสิ่งที่เราเคยคุยกันไว้ ไกลกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกัน
มองย้อนไปถึงครั้งแรกที่ได้เจอกันในงานเปิดโลกกิจกรรมของมหาวิทยาลัยเขาเป็นรุ่นพี่ผู้ชักชวนให้ผมมาเข้าร่วมกับชมรมวรรณศิลป์ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ผมไม่เคยรู้ว่าเขาได้ซุกซ่อนความสามารถในการเขียนนิยายรักเอาไว้มากมายขนาดนั้นแม้แต่ตอนที่เราคบกัน นอกจากความปรารถนาอันเป็นธรรมชาติโดยเดิมของ
“นายเป็นไงบ้าง”
น้ำเสียงทุ่มต่ำของคนตรงหน้าถามไถ่ ถ้อยคำธรรมดาสามัญเหมือนทุกครั้งที่เราเจอกันไม่รู้ว่าด้วยเงาแค้นหรืออคติส่วนตัวตามประสาคนรักเก่าผมเผลอเห็นความอวดดีในดวงตาคมคู่นั้น และความห่วงใยที่ให้มาก็เป็นแค่เพียงคำถากถาง
“เรื่อย ๆ ”
ความจริงคือผมตกงานมาสามเดือนทุกวันนี้ต้องก้มหัวขอเงินพ่อกับแม่ใช้เป็นส่วนใหญ่ต้นฉบับที่หมายมั่นปั้นมือไว้ก็ไร้การตอบกลับจากสำนักพิมพ์แต่ผมจะไม่ฟูมฟายความลำบากยากแค้นให้เขาฟังหรอก เรื่อย ๆ นี่แหละคือคำตอบอันคลุมเครือและตัดบทสนทนาได้ดีที่สุดแล้ว
เขาเพียงยิ้มรับ ปล่อยความเงียบทิ้งตัวอยู่ในบรรยากาศผมตั้งใจใช้โอกาสนี้หันหลังเดินออกมา แต่ก็ถูกมือหนาของเขาคว้าข้อมือเอาไว้ก่อนความอบอุ่นแสนคุ้นเคย โลกภายนอกกาลเวลาหยุดเดิน ในขณะที่ความรู้สึกภายในไหลย้อนกลับ
“มีธุระอะไรต่อหรือเปล่า”เขาถามด้วยความประหม่า
“ไม่มีนะ”
“ไปกินข้าวกัน”
“ได้…ได้สิ”
เราต่างรู้อยู่แล้วว่ามันเกิดขึ้นและจบลงอย่างนี้เสมอการมาพบกันที่ร้านหนังสือเป็นเพียงฉากหน้าของความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง เกะกะขดม้วนเป็นวงกลมซับซ้อนในท่ามกลางสนธยาสีส้มเข้มเราทั้งคู่เป็นเหมือนอีกคนที่หลงลืมว่าเลิกกันไปแล้วเขากอดคอผมเดินไปตามทางเท้าที่เคยคึกคักด้วยร้านรวงยามเย็นร้านตามสั่งที่ผมชอบแขวนป้ายปิดกิจการ ตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่จึงเป็นร้านอาหารจานด่วนที่คับคั่งไปด้วยผู้คน
“ได้เขียนงานส่งประกวดบ้างไหม”
“ช่วงนี้น่ะเหรอ
“ทำไมล่ะ”
“เขียนงานประกวดมันไส้แห้งจะตาย แถมบางที่ก็จ่ายเงินช้าอีกถ้างานสายวรรณกรรมมันมีคนอ่านเยอะเหมือนนิยายเมโลดราม่าของนายฉันคงจะพอเอามาพิมพ์ขายเองได้อยู่หรอก”
“นายกำลังตัดพ้อเหมือนลุงแก่ ๆอีกแล้วนะ”
ประโยคตลกร้ายทำเอาเราทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมกันและใช่ ผมเผลอไปคิดถึงบางช่วงเวลาเมื่อนานมาแล้วที่เป็นพลบค่ำแบบนี้เราสองคนนั่งอยู่แบบนี้ หัวเราะแบบนี้และไม่เคยรู้ว่าอะไรต่อมิอะไรจะกลายมาเป็นแบบนี้
“ขอโทษที่ทำให้รู้สึกไม่ดี แต่จริง ๆแล้วฉันชื่นชมพวกนักเขียนที่ขายหนังสือได้นะ โดยเฉพาะในยุคที่แทบจะไม่มีใครซื้อหนังสือเลย”
“ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอก ฉันชินแล้วล่ะสิ่งที่นายพูดมันมีส่วนจริง ใคร ๆ ก็มองหนังสือที่ฉันเขียนเป็นแบบนั้น แม้แต่ตัวฉันเอง”เขาพูดพร้อมโบกมือไปมาในอากาศ คล้ายว่าปัดเป่าความรู้สึกผิดของผม
ผมเพิ่งเห็นว่าความอวดดีในดวงตาเขาหายไปแล้วกลายเป็นความเจ็บปวดบางอย่างแทน
“ไม่ลองเขียนนิยายออนไลน์ล่ะ แล้วตั้งขายเป็นรายตอน”เขารีบพูดขึ้น ไม่ใช่เพื่อจะกลบทับกลิ่นอายหมองไหม้จากบทสนทนาเรื่องเมื่อครู่แต่มันคือข้อเสนอที่เขาคิดมาแล้วจับวางอย่างดิบดีเหมือนประโยคเด็ดในนิยายของเขาผมอ่านเขาออกเสมอแหละเบื้องหลังท่าทีแห่งยอดนักเขียนของยุคสมัยผู้ซึ่งกำลังจะเสนอขายความดีร้อยแปดพันเก้าของการเขียนแท้จริงคือความหวังดีที่อยากจะดึงรั้งผมเอาไว้บนเส้นทางการเขียน
ผมได้แต่แค่นหัวเราะในลำคอเพราะมันช่างไร้ประโยชน์
“ที่บอกว่าไม่เขียนแล้วน่ะหมายความว่าเลิกเขียนแล้ว ฉันไม่ได้หลงใหลการเขียนพอจะอยู่กับมันตลอดเวลาหรอกแล้วก็ไม่ได้คิดว่าเขียนดีพอให้ใครเขาอ่านด้วย”
“อย่าดูถูกตัวเองเกินไปสิ นายคือยอดฝีมือคนหนึ่งที่ฉันรู้จักถ้าสิ่งที่นายเขียนมันห่วย นายจะได้รางวัลพวกนั้นมาได้อย่างไรฉันเองยังอยากเขียนให้ได้อย่างนายเลย”
“รู้อะไรไหมไอ้ถ้วยรางวัลพวกนั้นพอเข้าตาจนก็เอาไปขายไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่าไปบูชามันมากนัก”
“เอาเถอะ…ตอนนี้มันคงเป็นช่วงเวลาที่ยากสำหรับนายไว้รอให้นายพร้อม ฉันว่านายจะกลับมาเขียนอีกนั่นแหละ”
“อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น”
“คนที่เกิดมาเป็นนักเขียนไม่ว่ายังไงก็จะเขียนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเขียนไม่ไหว นายแค่กำลังหยุดเขียนแต่นายไม่มีทางเลิกเขียนได้หรอก”
สายตาของเขามองสบมาที่ผมโดยตรง แน่วแน่หนักแน่น เหมือนสายลมที่พัดกรูเข้ามาทางหน้าต่างของหัวใจ แทงทะลุทุกม่านคำลวงซึ่งผมปิดกั้นเขาเอาไว้เขาเองก็อ่านผมออก วินาทีนั้นผมนึกถึงหน้าจอกระดาษสีขาวกับเครื่องหมายกะพริบนึกถึงถ้อยคำที่ประกอบไม่เสร็จในเรื่องราวที่ยังไม่มีตอนจบเหมือนเรื่องของเรา
“แค่จะเป็นนักเขียนมันต้องอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ”
ประโยคแผ่วเบาของผมพึมพำออกมาพร้อมกับฝนพร่างพรมแล้วก็ถูกกลบด้วยเสียงแห่งความวุ่นวายของผู้คนในโลก เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อมากนักเพราะยิ่งอากาศภายนอกเยือกเย็นลง ความรู้สึกแสนคุกรุ่นไม่เคยมอดดับได้กลับกลายเป็นของมีค่า
เพียงมือหนาของเขาแตะมือผมก็คล้ายว่ากระแสไฟฟ้าไหลมาสู่ผิวหนังเราทั้งคู่รู้ดีว่าห้องของผมอยู่ห่างออกไปไม่กี่ช่วงตึกการฝ่าฝนออกไปในค่ำคืนนี้จะเป็นเพียงหนึ่งในครั้งแล้วครั้งเล่าที่เราพาตัวเองกลับมาสู่ห้องซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำแสนอับชื้นเจิ่งนอง
ผมทั้งรักทั้งเกลียดตัวเองในท่ามกลางความสัมพันธ์แบบนี้เช่นเดียวกับการทำเป็นเมินเฉยพวกถ้วยรางวัลแต่ยังคงเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับรอยยิ้มของเขาในความมืดจุมพิตอ่อนหวาน เสื้อผ้าเปียก ๆ ของเราที่กองอยู่บนพื้นหรือแม้แต่วิธีการที่เขายกขาผมขึ้นสูงอย่างนั้น ผมปฏิเสธตัวเองไม่ได้เลยว่าเมื่อในหัวของผมขาวโพลนแท้จริงแล้วเป็นหน้ากระดาษขาวที่กะพริบค้างอยู่ แล้วความคิดที่เคยล่องหนก็เบียดเสียดกันออกมาจนเต็มล้นในที่สุด
จนกระทั่งในตอนเช้าของอีกวัน บางอารมณ์ลุ่มลึกทำให้ผมวางท่าเหมือนศิลปินผมถือกาแฟดำออกไปรับแสงเช้าที่ระเบียงห้องจากความสูงสิบกว่าชั้นผมมองเห็นสลัมเบื้องล่างและรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับมัน นั่นแหละผมจึงได้ครุ่นคิดฟุ้งซ่านกับตัวเองยืดยาวเหมือนวรรณกรรมรัสเซีย
ทว่าเมื่อมองตามแสงอุ่นอ่อนที่ทอดผ่านประตูระเบียงไปบนเตียงเมื่อครู่ผมเห็นร่างกายของเขากำลังระเหยหายไปในอากาศราวกับไอน้ำจากแก้วกาแฟในมือเหลือเพียงร่องรอยเปื้อนเปรอะบนผ้าปูที่นอนยับย่น
เหลือเพียงผมเองที่ยังคงคิดถึงคำบางคำที่เขาทิ้งไว้และเฝ้ารอการพบกันใหม่ที่ไหนสักที่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in