หลังจากใช้เวลาเรื่อยเปื่อยในห้องจนเกือบเย็น พวกเราก็ตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่นกัน ที่แรกที่เราไปคือ Seminyak square ถนนที่นี่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้าเรียงรายตลอดสองข้างทาง และที่ขาดไม่ได้เลยคือ รถติดมาก
.
.
ก่อนอื่นขอเล่าถึงถนนที่บาหลีสักนิด ต้องบอกว่า ถ้าประเทศไทยตรอก ซอก ซอย เยอะแล้ว บาหลีก็คงไม่แพ้กัน ทันทีที่เราลงจากสนามบิน คนขับรถก็พาเราลัดเลาะเส้นทางมาจนถึงโรงแรม เหมือนกับกลัวว่าเราจะจำทางได้ แม้กระทั่ง taxi เองก็พาเข้าแต่ตามซอกซอยอย่างเดียว เรียกได้ว่า 5 วันในบาหลีแทบไม่ได้เห็นถนนใหญ่เท่าไหร่
(กลับมาต่อ)
หลังจากเดินเล่นไปได้สักพักพวกเราก็เริ่มหิว แต่ปัญหามันติดอยู่ตรงที่ไม่รู้จะกินอะไรดี (ปัญหาโลกแตกของใครหลายๆคน) จนในที่สุดพวกเราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าร้านนึง ร้านที่เราไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสมากินที่บาหลี.. นั่นคือออออออ
.
.
ร้านราเม็ง... ใช่ค่ะอ่านไม่ผิดหรอก ร้านราเม็งจริงๆ (มาตั้งบาหลีเพื่อกินราเม็ง?) แต่เดชะบุญที่สุดท้ายพวกเราก็ตัดสินใจไม่กินที่นี่ (มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น) แต่สุดท้ายเราก็ไปจบลงที่ร้านอาหาร Italian อยู่ดี.. (โถ่ไหน local food)
ปล.ใครที่จะมาบาหลีอยากให้เตรียมตัวเตรียมใจนิดนึงสำหรับค่า vat และ service charge ที่แพงมหาศาล (เว่อร์) เพราะค่าอาหารที่นี่ราคาไม่เท่าไหร่ แต่ค่า vat+service charge ช่างเจ็บใจเหลือเกิน...
สำหรับร้านแรกต้อนรับการมาเหยียบบาหลีของพวกเรานั้น Vat+service charge แค่ 20% เองค่ะทุกคน..
/ลาก่อนเงินในกระเป๋า (หยิบใบเสร็จมาซับน้ำตา)
เพลนของเราวันนี้คือไปทะเล
'หากเธอทุกข์ใจให้ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ' ใครสักคนเคยบอกเอาไว้ เราไม่รู้ว่ามันจะทำให้เราสบายใจขึ้นจริงไหม แต่ทุกครั้งที่เราทุกข์ใจเราอยากไปทะเล เอาเท้าจุ่มน้ำ แล้วนั่งโง่ๆฟังเสียงทะเล..
เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นตลอดทางเดินของเรากับเพื่อน ค่อยๆเบาลงทันที่ที่เราเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหาด (
Seminyak beach) ภาพคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังกระทบเข้าฝั่ง เสียงหัวเราะของเด็กที่เล่นว่าวอยู่เต็มชายหาด อากาศ 22 องศาที่หาไม่ค่อยได้จากทะเลบ้านเรา แสงอาทิตย์อ่อนๆที่กำลังจะหายลับไปกับขอบฟ้า
'นี่ขนาดยังไม่ได้เอาเท้าจุ่มน้ำนะเนี่ย ยังสบายใจขนาดนี้' ฉันคิด..
พวกเราถ่ายรูปเล่นกันสักพักจนพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ฉันค่อยๆเดินแยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน ตรงไปที่น้ำทะเลเบื้องหน้า คลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามาไม่หยุดราวกับกำลังโกรธใครมา ถึงแม้ภาพตรงหน้าจะทำให้ฉันรู้สึกกลัว แต่มันก็ทำให้ฉันตื่นเต้นไม่น้อย
'ไม่เคยเห็นทะเลที่ไหนคลื่นสูงขนาดนี้มาก่อน'
ฉันหยิบกล้องโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปสักพัก แล้วจึงตัดสินใจเก็บภาพด้วยตาเปล่าดีกว่า เกือบ 15 นาทีที่เราต่างยืนเฉยๆ เสียงบรรยากาศรอบข้างเริ่มเบาลง ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทุกสายตาจ้องไปยังทะเลที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับตกอยู่ในภวังค์
เขาคิดอะไรกันอยู่นะ?'
แล้วตัวฉันล่ะคิดอะไรอยู่..?.
.
ถ้าถามฉันว่าอะไรที่ทำให้นึกถึงบาหลี ฉันคงนึกถึง คลื่นลูกยักษ์ หลายคนอาจจะเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน อาจจะคิดว่าไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นตรงไหน แต่สำหรับฉัน มนุษย์ที่เคยไปแค่ทะเลหัวหินหรือพัทยา ก็คงจะอดใจที่จะตื่นตาตื่นใจไม่ได้ มันใหญ่ขนาดไหน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คงจะตอบได้แค่เพียงว่า ผู้หญิงสูง 153 เซนติเมตรอย่างฉันที่อยากลองเอาเท้าจุ่มน้ำดูบ้าง ทันทีที่เท้าแตะน้ำ คลื่นก็ซัดมาอย่างรวดเร็ว แล้วฉันก็เปียกไปเกือบทั้งตัว..
หรือจริงๆแล้วคลื่นไม่ได้ลูกใหญ่ แต่เป็นฉันที่เตี้ยเองต่างหาก..
อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันประทับใจในบาหลีก็คือ อากาศ อากาศที่นี่ไม่ร้อนมาก ยิ่งตอนเย็นๆอุณหภูมิลดลงเหลือแค่ 20 องศาเท่านั้น ประเทศเมืองร้อนอย่างพวกเราก็คงจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ถ้าอยู่ที่ไทยคงหยิบเสื้อหนาวมาใส่แล้ว แต่สำหรับที่บาหลีนั้น เสื้อสายเดี่ยว กางเกงขาสั้นกับอากาศ 20 องศามันช่างเป็นอะไรที่ลงตัวจริงๆ (ลองคิดภาพมาทะเลแล้วอากาศเย็นเหมือนอยู่ในห้องแอร์ดูสิ ฟิลกู้ดสุดๆ)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in