เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
NIИE IИCH ИAILS : LIVE IИ BAИGKOK [deep review/journal]eazternwerkss
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน ฟัง 13 เพลง IИDUSTRIAL ที่ชวนคุณโยนเทปเพลงเพื่อชีวิตทิ้งไปได้แล้ว
  • บทนำ : HELP ME I AM IN HELL*

    "เออ แล้วเพลงอินดัสต้ง...อินดัสเตรียลนี่มันดีกว่าเพลงเพื่อชีวิตยังไง อยู่ๆ มาชวนให้ฟัง ว่างมาก?" 

              หลายๆ คนที่โดนผมลากมาอ่านบทความนี้ของผมบางคนคงจะคิดนั่นแหละ
              อันดับแรก โดยจริตส่วนตัว ผมโคตรเบื่อเพลงเพื่อชีวิต เบื่อสามช่า เพราะมันชวนผมง่วงมากๆ และเพลงเพื่อชีวิตมันไม่ได้เพื่อชีวิตอีกต่อไป และวงใหม่ๆ ก็ร้องเลียนแบบคาราบาวไปหมด ทั้งลีลาการเล่น ทั้งเสียงร้อง กลายเป็นแม่งมีแต่วงก๊อปปี้ไปหมด (ผมจะยกเว้นน้าหมู พรเทพ กระโดนชำนาญ ไว้คนนึง ผมพอฟังได้...)
              ในขณะที่เพลงอินดัสเตรียล หรือ industrial music มันมี sub-genre หรือแนวเพลงย่อยๆ แตกลงไปอีก แต่ละวงมีแนวความคิดบางอย่างคล้ายกันก็จริง แต่การนำเสนอ เป็นอะไรที่แล้วแต่วง แล้วแต่ตัวศิลปินไป
              เอาจริงๆ industrial music สำหรับคนที่ฟังเพลงมาหลายๆแนว มันไม่ใช่แนวเพลงที่ใหม่ และไอ้พวกวงที่เราฟังๆ หรือที่จะแนะนำให้ท่านได้รู้จักนี่ก็เป็นวงในยุค post-industrial ด้วยซ้ำไป
              มาว่ากันที่นิยาม เอาจริงๆ นิยามของ industrial music ก็ค่อนข้างจะคลุมเครือ (ตอนแรกจะอ้างอิงงานวิจัยชิ้นนึงเกี่ยวกับดนตรี industrial แต่รื้อไปรื้อมายิ่งมาจะใช้อ้างอิงยุ่บยั่บ เอาเนื้อๆ ละกัน**) ทว่าสิ่งที่ industrial music พยายามนำเสนอมากๆ ก็คงเป็นความสิ้นหวังของมนุษย์ อนาคตท่ามกลางหมอกควัน ไปยันความสัมพันธ์แบบซาโด-มาโซคิสต์ ยันการเป็นภาพสะท้อนของโลกแบบเผด็จการ
    แบบดิสโทเปียนไปเลย ด้วยความที่ดนตรี industrial ใช้เสียงสังเคราะห์เยอะ และมีความล้ำๆ อวองท์-การ์ดเยอะ จะบอกว่าเป็น electronic music สายมืด หรือสายมาร ก็น่าจะยังพอให้อภัยกันได้
              อีกเรื่องนึงคือ เห็นนักดนตรีเพื่อชีวิต/ศิลปินบางท่านสนับสนุนเผด็จการ คสช. เต็มที่แล้วผมขยะแขยงว่ะ 

              เอาเป็นว่าเก็บเทปเพลงเพื่อชีวิตยืดๆ ไปแช่ตู้เย็นก่อนแล้วค่อยมาไล่เรียงกันว่ามันมีอะไรบ้าง

    ____________________________________________________________
    * Help Me I Am In Hell เป็นชื่อเพลงหนึ่งของวงที่ผมอวย Nine Inch Nails (อีกแล้ว) นั่นเอง ตัวชื่อเพลงยังอ้างถึงฉากนึงในหนังเรื่อง Hellraiser 2 (ที่มีพี่หัวตะปูจากนรก) ด้วย

    ** นั่นๆ ซนๆ อยากอ่านอีก ไปอ่านงานวิทยานิพนธ์ "Industrial Music for Industrial People:The History and Development of an Underground Genre" ปี 2007 ของ Bret D. Woods ดูละกัน
  • track 01 • HAPPINESS IN SLAVERY • NINE INCH NAILS

    "Slave screams he thinks he knows what he wants
    Slave screams thinks he has something to say
    Slave screams he hears but doesn't want to listen
    Slave screams he's being beat into submission"


              แฟนเพลงส่วนใหญ่มักจะแนะนำเพลง closer [เออ ไอ้เพลง "I want to fuck you like animal." นั่นแหละ] ให้คนที่ฟังวง Nine Inch Nails ใหม่ๆ ให้ลองฟัง ประมาณว่าถ้าฟัง closer ผ่าน คุณก็ไปฟังเพลงอื่นของวงนี้ได้ [ผายมือ] แต่ความโหดของจริงน่าจะอยู่ที่เพลงนี้ เพราะเนื้อหามันมีความ sado-masochist แบบเต็มเหนี่ยวไปเลยพี่-เต็มที่ไปเลยน้อง
              เพลงนี้เริ่มแบบไม่เสียเวลา มาพร้อมบีตกลองหนักๆ ที่ผ่านเอ็ฟเฟ็คต์จนแทบจะเป็นเสียงของเครื่องจักร และเฮีย Trent Reznor ที่แหกปากว่า "SLAVE SCREAMS!!!" สุดเสียง
              MV เพลงนี้ก็โหดสุดๆ เรียกว่าเป็นหนึ่งใน MV โหดในตำนานจนฉายบน MTV ไม่ได้ เพลงนี้ชวนให้ผมนึกถึงคำขวัญของรัฐ Oceania ใน 1984 ของ George Orwell ด้วย

    WAR IS PEACE.
    FREEDOM IS SLAVERY.
    IGNORANCE IS BLISS.
  • track 02 • TIN OMEN • SKINNY PUPPY

    "All good people are asleep and dreaming...
    "

    "...Tanks arrive - fire wall - got to keep the camera alive - tell the world
    What's going on - here? - warning shots are fired - at the stomach - chest wound..."

              ผมมีความทรงจำค่อนข้างเจ็บลึกๆ กับเพลงนี้ ผมฟังเพลงของวง Skinny Puppy ตั้งแต่มัธยมปลาย ก็ช่วงที่ผมได้สัมผัสเพลงแนวนี้ใหม่ๆ ตอนแรกๆ ไม่ได้สนใจความหมายของเพลงเท่าไหร่ รู้แต่ว่า
    เสียงกีต้าร์ (ของ Al Jourgensen จากวง Ministry) มันสะใจดี จนกระทั่งเข้าช่วงมหาลัย ซึ่งคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาล้อมปราบเสื้อแดง ซึ่งแรกๆ มันก็ดูรุนแรงในระดับนึงละ แต่เมื่อเริ่มมีข่าวว่า มีคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงตาย มีอาสาพยาบาลตาย ผมว่ามันเริ่มไม่ใช่ละ และวันนั้นแหละที่ทำให้ผมเข้าใจสารของเพลงนี้แบบถ่องแท้ เพราะผมพยายามเปิดเพลงนี้กลบเสียงข่าวในร้านกาแฟ เพื่อระงับความตึงเครียดเรื่องการเมืองของตัวเอง และความ information overload ในวันนั้น
              ชื่อเพลงนี้ Tin Omen ทางวงพยายามตั้งชื่อให้เสียงคล้ายๆ คำว่า เทียนอันเหมิน (เหตุการณ์สลายการประท้วงในจีนปี 2532) การสังหารหมู่ที่หมี่ลายปี 2511 ในเวียดนาม ไปจนถึงการปราบม็อบในมหาวิทยาลัยเคนท์สเตทปี 2513
  • track 03 • EVERYDAY IS HALLOWEEN • MINISTRY

    "Oh, why can't I live a life for me?
    Why should I take the abuse that's served?
    Why can't they see they're just like me
    It's the same, it's the same in the whole wide world"

              ถ้าคิดว่าทุกวันนี้ชีวิตมันสวยงามไป ก็เติมความมืดหม่นลงไปในชีวิตซักหน่อย เอาให้ทุกวันแม่งเป็นวันฮัลโลวีนมันซะเลย
              เพลงนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวง Ministry จาก synth pop ใสๆ ก่อนกลายเป็น industrial metal สุดระห่ำเมาหยำเปแบบ (สภาพสังขารของลุง Al Jourgensen ร้องนำ/แกนนำวง) ทุกวันนี้
              เพลงนี้ไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนัก แต่เป็นเพลง industrial ระดับกลางๆ ที่ไม่หนักเกินไป แต่ไม่จืดจนหมดรสชาติความเป็น industrial music จัดให้เป็นเพลงพักหูเพลินๆ ก่อนไปเพลงอื่นได้
  • track 04 • SENSORIA • CABARET VOLTAIRE

    "In hard times, hard thrills.
    Reaching for the chosen pills.
    Dragnets will pull you in.
    Tell you that you're deep in sin.
    Sensoria, sensoria, sensoria, sensoria."

              วง Cabaret Voltaire ถือว่าเป็นวงแรกๆ ที่บุกเบิกวงการเพลง industrial ด้วยการรวมเข้ากับเพลง funk สนุกๆ กวนๆ ในทีแรกเพลงนี้ก็ดูโจ๊ะๆ กับเนื้อเพลงประหลาดๆ ที่ดูหาสาระไม่ได้ แต่ถ้าทำความเข้าใจบริบทของสังคมในยุคทศวรรษ 1980 ช่วงที่โลกยังตกอยู่ใต้ความหวาดระแวงของสงครามเย็น
              คำว่า sensoria ถ้าแปลตรงตัวก็แปลว่าศูนย์รวมประสาท หรือระดับความรู้สึกตัว แต่คำว่า sensoria ในที่นี้ ทางวงคงจะหมายถึงสภาวะ information overload ในปัจจุบัน จะเรียกว่า Cabaret Voltaire เป็นวงดนตรียุคแรกๆ ที่พูดถึงการเล่นสงครามข้อมูลข่าวสาร การบลัฟไปมาระหว่างสื่อจาก 2 ค่ายการเมืองอย่างเสรีนิยม และสังคมนิยมในสมัยนั้น รวมถึงการบูมของสื่ออย่างโทรทัศน์ ที่ทำให้คนเสพจนแทบอ้วก
              เพลงนี้ผมใช้เวลาทำความเข้าใจความหมายมันอยู่นาน จะให้เทียบคือ เรากินอาหารมากจนท้องเสียอย่างไร การเสพสื่อปริมาณมากก็ชวนทำให้เราคลื่นเหียนอย่างนั้น
              ในบางช่วงของเพลง เรายังได้ยินเสียง sample คนพูดเป็นระยะๆ เหมือนคอยออกคำสั่ง (หรือสะกดจิตเรา?) 
    ว่า "do right, always work, go to church, respect those in authority over you" เป็นคำใบ้ที่ Cabaret Voltaire พยายามสื่อว่าโลกแห่งโฆษณาชวนเชื่อนั้นช่างน่าเบื่อและหดหู่ และการพยายามสอดใส่สารผ่านจิตใต้สำนึก (หรือพวกปฏิบัติการทางจิตวิทยาของรัฐ) เป็นอะไรที่ชวนอ้วกและน่ารำคาญ
  • track 05 • DEMOCRACY • KILLING JOKE

    "...(You'll never get a referendum anyway)..."

    "...I'm sorry democracy is changing..."

              เพลงนี้พูดตรงๆ โต้งๆ เรื่องการเลือกตั้งเลย แม้เพลงนี้ บริบทจะค่อนข้างไปทางอเมริกา ไปทางเรื่อง "ทุนสามานย์" ที่มาแบ็คพรรคการเมือง แต่เพลงนี้มันก็สะท้อนสภาพของผู้ที่พยายามจะกุมอำนาจรัฐและเสรีภาพไว้ที่มือของตนเองและพวกพ้องได้ชัดเจน
              เป็นอีกเพลงที่ผมฟังตั้งแต่ช่วงมหาลัย ก่อนจะเอามาเปิดฟังปลอบใจตัวเองในยุค ประชามติ 2560 ที่ "มีการทำประชามติ" ก็เหมือน "ไม่มีการทำประชามติ" เพลงนี้เลยกระแทกใจผมเป็นพิเศษ
  • track 06 • EDGECRUSHER • FEAR FACTORY

    "Conceived in a hell beyond your depth of perception
    Chaotic case of conquering domination
    Psychopath snaps fired chains of imprisonment
    A bludgeoning force that's undermining the government"

              เพลงนี้มาจากอัลบั้ม Obsolete ของวง Fear Factory วง industrial metal ในตำนานอีกวง ซึ่งในอัลบั้มนี้ เพลงทั้งชุดสานต่อเป็นเนื้อเรื่องเดียวกันแบบ concept album (เหมือนพวกเพลง progressive rock/metal) ที่พูดถึงโลกที่มนุษย์พึ่งพาเทคโนโลยี จนเครื่องจักรครองโลก
              เอ... เดี๋ยวนะ มันคุ้นๆ นี่มันคนเหล็กรึเปล่าหว่า? คือจริงๆจะบอกว่าเพลงนี้เป็น "คนเหล็ก the (industrial metal) musical" ก็ได้ ซึ่งเพลงนี้พูดถึงกระทาชาย นาย Edgecrusher ผู้พยายามก่อกบฏ ต่อต้านรัฐบาลหุ่นยนต์เผด็จการ แต่อนิจจาจบลงแบบ... ไปหาฟังเอาเองทั้งอัลบั้มละกัน
  • track 07 • DISCIPLINE • THROBBING GRISTLE

    "Discipline, some discipline
    We need some discipline in here"


              บทเพลงหลอนประสาทจากวงดนตรีที่ถูกขนานนามว่าเป็นบิดามารดาแห่ง industrial music เลยก็ว่าได้ (จะบอกว่าวงนี้สมาชิกหลักมีทั้ง ศิลปิน performance art / ดารา AV / ช่างอิเล็กทรอนิกส์ / นักดนตรีมือสมัครเล่น / เกย์ / กระเทย มารวมกัน)
              สำหรับเพลงนี้แนะนำให้ดูคลิปแสดงสดใน youtube ที่โคตรขบถสังคม แหกคอก แตกเหล่าผ่ากอมากๆ แต่ก็กรุยทางให้ศิลปิน industrial (และ post-industrial) ยุคหลังๆ ไว้มาก โดยเฉพาะลุง Sleazy หรือชื่อจริงคือ Peter Christopherson นอกจากจะก่อตั้งค่ายเพลงชื่อ Industrial Record แล้ว ยังขยายโปรเจ็คต์งาน industrial ไปอีกเยอะมาก เช่น วง Coil
              ลุง Sleazy ยังช่วยเหลือในเหลืองาน mix / produce ยันไปกำกับ MV ให้วง industrial ยุคหลังๆ อีกหลายคน
              แต่หลังจาก สมาชิกคู่หูคนสำคัญในวง Coil อย่าง Johnn Balance เมาจนตกระเบียงบ้านตายในปี 2005 ลุง Sleazy ก็ย้ายมาใช้ชีวิตใน กทม. และยังปล่อยผลงาน จนจากโลกนี้ไปอย่างสงบในปี 2010 
              จะว่าไปลุง Sleazy นี่ มีอะไรให้ผมเล่าเยอะพอสมควร - สำหรับคนไทย ก็คงคิดว่าแก เป็นตาเฒ่า expat แก่ๆ ที่มาอยู่บ้านแถวสะพานหัวช้าง (ได้ยินข่าวมาว่าอย่างนั้น) และเลี้ยงบริวารกระเทยไว้เยอะแยะ แต่สำหรับคนในวงการนี้ แกเป็นผู้ให้กำเนิดแนวเพลงนี้นะ
              ผมจำได้ว่าผมเคยจะตามหาสัมภาษณ์แกเพื่อทำรายงานวิชาสุนทรียศาสตร์ แต่ด้วยการตามหาที่ยากลำบาก กว่าจะเจอแก แกก็สิ้นใจไปแล้ว (ในช่วงหลังวันลอยกระทง ปี 2010 ถ้าผมจำไม่ผิด) จนผมต้องเปลี่ยนหัวข้อรายงาน และเอาเรื่องดังกล่าวไปเขียนลงวารสารภาควิชาแทน ในสมัยที่ผมเป็นนักศึกษา
              ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ของ Throbbing Gristle ก็ยังทำเพลงกันอยู่ แม้จะแก่ไปมากแล้วก็ตามที...
  • track 09 • ANIMAL • FRONT 242

    "When I look in the mirror
    All that I see
    A zoo animal that wants to be free
    Just get away, get away from me'
    Cause I'll never be who you want me to be"

              ก่อนหน้า electronic music dance [EDM] จะเกิดหลายขุมนั้น มีแนวเพลงอย่าง electronic body music [EBM] มาก่อน และนี่คือ Front 242 แนวหน้าแห่งดนตรี industrial สาย "ดิ้นได้" จากเบลเยี่ยม เพลงนี้เหมาะมากๆ สำหรับคนที่ชินหูกับเพลง EDM มาเยอะๆ แล้วนึกอยากจะลองฟัง industrial ดู
              อัลบั้มแรกๆ ของ Front 242 ยังมีเพลงน่าฟังอีกมาก เช่น Operating Tracks, Rerun Time, Funkahdafi (ฟั้งก์ กัดดาฟี่), หรือ Headhunter ฯลฯ ก็ลองไปรื้อมาฟังดู ถ้าชอบแนวๆ EBM แบบนี้
  • track 09 • THE HACKER • CLOCK DVA

    "A digital murder
    Programmed by mathematical terrorists
    Outside of mortal bounds
    Silently hacking"

              เขียนเรื่องเพลง industrial มาจนจะหมดบทความ ดันนึกขึ้นได้ว่า พวกวรรณกรรมและศิลปะสาย cyberpunk นี่มัน ค่อนข้างจะเดินร่วมทางมากับเพลง industrial มาตลอดเลย และ Clock DVA ก็คงจะเป็นวงแรกๆ ในโลกเลยที่พูดถึง "hacker" ลงไปในงานเพลง (ใครเจอเพลงอื่นอีกในยุคเดียวกันก็วานบอกด้วยนะครับ) 
              เพลงนี้ยังอ้างอิงไปถึงการตายของ Karl Koch ในปี 2532 หนุ่มเยอรมัน computer hacker รายแรกๆ ที่สงสัยว่าจะถูกฆาตกรรมเพราะแฮ็คข้อมูลจาก CIA ไปขายให้ KGB
  • track 10 • THE FIGHT SONG • MARILYN MANSON

    "The death of one is a tragedy
    The death of millions is just a statistic"

              พูดถึงเพลง industrial แล้วจะขาดพี่แมนสันคนซนของเราไปได้ยังไงกัน เพลงนี้ก็ตรงๆ โต้งกับการวิพากษ์อำนาจทั้งหลายอย่างศาสนากับการเมือง จนแทบจะเป็นเพลงชาติของพวก atheist ไปเลยก็ได้ พร้อมกับประโยคคมๆกระแทกใจท่อนหนึ่งในเพลงที่ว่า "การตายของคน 1 คน เป็นโศกนาฏกรรม แต่คนตายของคนเป็นล้านๆ เป็นแค่สถิติ" ประโยคนี้ว่ากันว่าเป็นประโยคที่โจเซฟ สตาลิน พูด แต่แท้จริงแล้วเป็นประโยคที่นักประวัติศาสตร์พูดถึงความโหดร้ายของสตาลินอีกที
  • track 11 • THE WHISTLEBLOWERS • LAIBACH

    "We stand alone
    But soon the day will come
    When freedom rings
    We'll meet again
    Now eternally
    And walk
    Once more as one!"


              Laibach นี่ก็จัดว่าเป็นอีก 1 วง industrial ในตำนานในแง่ของการนำเสนอ วงนี้เป็นวงจาก
    สโลวีเนีย วงนี้จุดเด่นคงเป็นเรื่องของเสื้อผ้าหน้าผม และแนวเพลง ในด้านคอสตูมนั้น วงมักจะแต่งตัวในเครื่องแบบทหารคล้ายๆ ยุคที่นาซี หรือเผด็จการทหารเรืองอำนาจ ซึ่งใครที่ PC มากๆ (อะแฮ่ม นึกถึงใครบางคนใน facebook พิกล) และไม่รู้ถึงบริบทเพลง หรือวง ก็จะโดนดัก (ควาย) ได้ง่ายๆ เพราะเขาแต่งตัวมาเพื่อ "ล้อ" เผด็จการต่างหาก และที่สำคัญคือไม่ได้ล้อแบบตลกคาเฟ่บ้านเรา แต่ล้อแบบ "ซีเรียส" กันเลยทีเดียว และแนวเพลงแบบ martial industrial ที่ฟังแล้วตอนแรกจะนึกว่าเป็นเพลงของค่ายทหารที่ไหนซักที่
              วงนี้เคยตกเป็นข่าว ซักเมื่อ 2-3 ปีก่อน ที่เป็นวงที่ได้ไปเล่นที่เกาหลีเหนือ ซึ่งทางเปียงยางก็ยังไม่รู้ตัวจนถึงทุกวันนี้ว่า มึงโดนวงนี้มันแซะทางอ้อมเรียบร้อยแล้ว (เจ้าหน้าที่พี่คิมอ้วนมันไม่ได้ทำรีเสิชเลยรึไง???)
              อย่างน้อยๆ เพลงนี้ก็ไม่ได้พูดถึง "นักเป่านกหวีด" แบบที่เอามาใช้กันผิดความหมายในประเทศแถวนี้

  • track 12 • KILL YOUR IDOLS • STATIC-X

    "Live your own life
    I got myself
    Out of my sight
    Kill your idols"

              วงกึ่งๆ industrial thrash กึ่งๆจะ nu-metal ที่นักร้องนำเจ้าของโปรเจ็คต์ได้ลาโลกไปหลายปีแล้ว (เสียดายฝีไม้หลายมือการแต่งเพลงมาก) ไม่มีอะไรมากนอกจากเพลงนี้จะใช้เตือนสติว่า ถ้าคุณหลงติดกับ cult of personality หรือ ลัทธิบูชาตัวบุคคลเมื่อไหร่ คุณก็ไปไม่รอด
  • track 13 • FURTHER • VNV NATION

    "The sun was born, so it shall die
    So only shadows comfort me
    I know in darkness I will find you giving up inside like me
    Each day shall end as it begins
    And though you're far away from me
    I know in darkness I will find you giving up inside like me"

              ทิ้งท้ายด้วยเพลงให้กำลังใจ (ตรงไหนวะ) จาก VNV Nation แต่เป็นการให้กำลังใจแบบปลงๆ
    ดาร์คๆ ตามสไตล์เพลง industrial / EBM
  • สุดท้ายนี้ ท่านสามารถฟังเพลงทั้งหมดตามบทความได้ตาม playlist นี้
    เอาไว้มีอารมณ์จะกลับมาเขียนอะไรในบล็อกนี่อีก

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in