เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รีวิวเว้ย (2)Chaitawat Marc Seephongsai
ปีแสง By ดุจดาว วัฒนปกรณ์
  • รีวิวเว้ย (483) "ทำไมคนสมัยนี้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเยอะจังวะ" เป็นบทสนทนาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเวลาที่เราพูดคุยกับใครหลาย ๆ คน ในหลาย ๆ โอกาส และในท้ายที่สุดบทสนทนาในเรื่องดังกล่าว มักจบลงแบบงง ๆ โดยที่เราเองก็ไม่สามารถหาคำตอบของคำถามดังกล่าวได้เลยแทงม้แต่น้อย หลายครั้งเราเอาคำถามนี้ไปถามกับเพื่อนที่เป็นโรคดังกล่าว ตัวของคนที่เป็นเองก็ดูจะให้คำตอบไม่ได้เช่นกันว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาจากอะไร หลายครั้งหลายคนก็ทำได้แค่อนุมานว่ามัน "อาจจะเกิดขึ้นจากสิ่งนั้น สิ่งนี้" แต่ก็นั่นแหละคำตอบเล่านั้นอาจจะเป็นเพียงส่วนประกอบ 1 ส่วนจาก 100 ส่วนของสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการดังกล่าว เราเองไม่อาจสรุปได้ว่าเหตุเพียง 1 เดียวเป็นมูลเหตุของปัญหาทั้งปวงและนำพาไปสู่อาการต่าง ๆ หากแต่เราอาจจะต้องมองมันเป็นโครงข่ายของความสัมพันธ์ที่โยงใยและประกอบสร้างจากสิ่งละอันพันละน้อย กระทั่งก่อให้เกิดเป็นปัญหาในท้ายที่สุด 
    แต่ความน่าแปลกใจอย่างหนึ่งของปัญหาในเรื่องของสุขภาวะทางจิตใจ เวลาที่ใครถูกวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติบางประการ คนคนนั้นมักจะถูกมองแบบตั้งคำถามจากค่านิยมบางประการของสังคมว่า คนที่มีอาการเหล่านี้คือกลุ่มคนจิตไม่ปกติ (คนบ้า) ที่ในท้ายที่สุดแล้วค่านิยมของสังคมในลักษณะนี้เอง ที่ก่อให้เกิดสภาวะความเรื้อรังของปัญหา แทนที่ผู้เผชิญปัญหาจะกล้าขอคำปรึษา เพื่อหาทางแก้ไขและช่วยเหลือ แต่ทัศนคติดังกล่าวกลับทำให้คนเหล่านั้นกลายเป็นคนแปลกแยกของสังคม และหลายครั้งมันทำให้พวกเขากันตัวเองออกจากสังคม และหลายครั้งปลายทางของเส้นทางดังกล่าวมักจะจบลงที่การสูญเสียอะไรบางอย่าเสมอ น่าแปลกใจที่ในสังคมหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะสังคมที่มีลักษณะของสังคมแบบสังคมไทย กลับเป็นสิ่งยากยิ่งที่เราจะยอมรับตัวตนและความบกพร่องบางประการของบุคคลคนหนึ่ง เพียงเพราะเรามักจะมองเห็นแต่ด้านสวยงามตามค่านิยมบางประการของสังคม กับคนที่ไม่สมบูรณ์หรือมีปัญหาบางแบบ สังคมนี้มันมัดจะมองพวกเขาเหล่านั้นด้วยความ "สมเพช" และตัดจบลงด้วยประโยคยอดฮิตอย่าง "มันคงเป็นกรรมที่ทำมาแต่ชาติปางก่อน" "กรรมพ่อมึงสิอีสัส" มักจะเป็นคำที่เราใช้เวลาที่ใครพูดถึงคนที่บกพร่องบางประการ เพราะเอาเข้าจริงแล้วถ้าเราลองทำความเข้าใจให้ดี ๆ เราจะพบว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากการประกอบสร้างของหลาย ๆ อย่าง ที่สามารถหาคำตอบ เยียวยา รักษาและแก้ไขได้ ถ้าเรามองมันว่าเป็น "กรรม" ชีวิตนี้ก็คลไม่มีโอกาสในการแก้ไขซ่อมแซมความบกพร่องเหล่านั้นได้ไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต "กรรมพ่อมึงสิอีสัส" จึงเป็นการขมวดปมให้เราได้ลองสะดุดหยุดคิดว่าจริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่เรื่องของกรรมอย่างที่ใครหลายคนคิด

    หนังสือ : ปีแสง
    โดย : ดุจดาว วัฒนปกรณ์
    จำนวน : 208 หน้า
    ราคา : 255 บาท

    "ปีแสง" เป็นหนังสือของนักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหว ที่ออกมาเปิดเปลือยตัวตนของเธอ ผ่านตัวหนังสือให้ใครหลายคนได้ลองสำรวจความบกพร่องของชีวิต ทั้งเรื่องของความผิดหวัง ความหลังและบาดแผลต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาในครั้งอดีต ล้วนต่างมีส่วนในการประกอบสร้างความเป็นเราในปัจจุบันแทบทั้งนั้น ทั้งเรื่องราวของความสุข ความเศร้า ความดีใจและความเจ็บปวด อารมณ์เหล่านั้นที่อัดแน่นอยู่ในความทรงจำของคนคนหนึ่ง มันสามารถหล่อหลอมบุคลิกภาพของคนหนึ่งคนได้อย่างน่าสนใจ

    หลายครั้งเรามักมองข้ามว่าปัญหาที่เรากำลังเจออยู่ในปัจจุบันนั้น มันเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากการหล่อหลอมของอดีตของคนหนึ่งคน บางครั้งสิ่งที่ถูกเรียกว่า "ความหลังฟังใจ" กลายเป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนให้เราเป็นอย่างที่เราเป็นอยู่ใยปัจจุบัน

    "ปีแสง" บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของผู้เขียน ที่เผชิญปัญหาต่าง ๆ มากมาย ที่ในท้ายที่สุดมันกลายเป็นชวนสำคัญของปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตของผู้เขียน ทั้งปมปัญหาในเรื่องของครอบครัว ปมปัญหาในเรื่องของตัวตนของบุคคลที่เธอเองคิดว่ามันเลือนลาง และปมปัญหาอื่น ๆ อีกหลายประการที่ส่งผลต่อการหล่อหลอทตัวตนของคนคนหนึ่ง และสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นชวนที่คอยก่อเชื้อปะทุในความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของเธอ

    "ปีแสง" อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังสือที่จริงใจกับผู้อ่านอย่างจริงจัง ในเรื่องของการเปิดเปลือยตัวตนของผู้เขียน ที่ผู้เขียนยอมเอาตัวตนมาแผ่ให้เราได้รับรู้ถึงปัญหาและปมต่าง ๆ ที่ผ่านมาในอดีต ปมที่มันก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทั้งดีและไม่ดี กระทั่งปมเหล่านั้นมันส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของผู้เขียน ซึ่งในท้ายที่สุดการเลือกเดินบนเส้นทางของนักบำบัด มันช่วยให้ผู้เขียนได้เรียนรู้ ทบทวนปมต่าง ๆ เหล่านั้น และได้ซ่อมแซมตัวตนที่เสียหากไปจากการหล่อหลอมของอดีต

    "ปีแสง" ช่วยเตือนให้เราลองหันกลับมามองดูตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ว่าในท้ายที่สุดแล้ว เราเองกำลังปกปิด ลบเลือน กลบเกลื่อน หรือทำเป็นลืมปมบางปมที่มันหล่อหลอมให้เราเป็นอย่างที่เป็นอยู่หรือไม่ และถ้าเรากำลังพยายามทำสิ่งเหล่านั้น เราควรที่จะซ่อมแซมมันรึเปล่า (?) เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ปมเหล่านี้ก็คือสิ่งที่มันประกอบสร้างความเป็นเราในปัจจุบันและในวันพรุ่งนี้ คงไม่มีใครที่อยากจะปล่อยผ่านความผิดปกติบางประการของตัวเองไปแบบที่ไม่พยายามหาคำตอบไปกับมัน บางครั้ง "ปีแสง" ก็ช่วยกระตุ้นเตือนว่าเราเงเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไรกัน

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in