You Are My Spring (너는 나의 봄) เป็นซีรีส์ประเภท Romantic-Healing (โรแมนติก-เยียวยาจิตใจ) หากดูจากใบปิด (Poster) แล้วนั้นอาจจะคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้มีเนื้อหาสบาย ๆ สดใส ทว่าเส้นเรื่องที่แท้จริงนั้นผสมผสานไปด้วยความ Drama (ชีวิต), Thriller (ระทึกขวัญ), Crime (อาชญากรรม) แถมยังมีการสอดแทรกเรื่องของ Psychogical (จิตวิทยา) เข้ามาผ่านการเล่าเรื่องแบบ Slice of life ได้อย่างสวยงาม และลงตัวมาก ๆ เลยค่ะ
ถึงแม้เส้นเรื่องอาจดูหนักหน่วงไปกว่าใบปิดอยู่มาก แต่ขอบอกเลยว่า You Are My Spring เป็นสุดยอดซีรีส์ที่สามารถ 'เยียวยาจิตใจ' ของผู้ชมได้อย่างไร้ที่ติ ด้วยความที่ซีรีส์จะเล่าถึงการใช้ชีวิตของเหล่าตัวละครหลักที่มีเบื้องหลังชีวิต และการจัดการบาดแผลของตัวเองที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เราได้มองเห็นมุมมองใหม่ ๆ ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ความสวยงามของภาพ และ Dialouge สุดลึกซึ้งที่ทำให้เราได้รับการปลอบประโลม และอ้อมกอดแสนอบอุ่นจากซีรีส์เรื่องนี้ราวกับกำลังใช้ชีวิตในฤดูใบไม้ผลิจริง ๆ
ดังนั้น หากใครกำลังมองหาซีรีส์น้ำดีที่สามารถเยียวยาหัวใจจากความเจ็บปวดไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม You Are My Spring เป็นซีรีส์ที่จะชุบชูชีวิตของทุกคนให้กลับมาสดใสได้อย่างแน่นอนค่ะ
ซีรีส์จะเล่าเรื่องผ่าน 'คังดาจอง' (รับบทโดย ซอฮยอนจิน) หญิงสาวที่เติบโตมาพร้อมกับบาดแผลจากครอบครัวในวัยเด็กที่ยังฝังลึกอยู่ในหัวใจ เธอใช้ชีวิตด้วยการฝังอดีตเหล่านั้นไว้ในเบื้องลึกของหัวใจพยายามอยู่กับปัจจุบัน และผลักดันตัวเองขึ้นมาจนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ซึ่งปัจจุบันนั้นเธอเป็นหัวหน้าแผนกพนักงานต้อนรับของโรงแรมสุดหรู
หากพูดถึงเรื่องความรัก เธอกลับได้รับฉายาว่า 'นักสะสมขยะ' เพราะแฟนเก่าแต่ละคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตเธอนั้นล้วนแต่เป็นพวกโรคจิต, เจ้าชู้ หรือแม้แต่เข้ามาเพื่อหลอกเงินเธอก็มีเช่นเดียวกัน
ทว่าไม่กี่วันก่อนที่ดาจองจะย้ายเข้ามาอาศัยที่ชั้นดาดฟ้าของตึกกูกูนั้นกลับเกิดเหตุฆาตรกรรมที่ยังหาตัวฆาตกรไม่ได้ทำให้คนในตึกเองก็ยังอยู่ในความหวาดกลัว ก่อนที่เธอจะได้พบกับ 'จูยองโด' (รับบทโดย คิมดงอุค) จิตแพทย์ชื่อดังผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยาที่เปิดคลินิกให้คำปรึกษาอยู่ชั้นล่างของตึก เขาคอยถามไถ่ และให้ความช่วยเหลือกับเพื่อนบ้านคนใหม่ด้วยความห่วงใย
จูยองโดสามารถวิเคราะห์ และมองเห็นบาดแผลในใจของเธอได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ด้วยของตกแต่งที่อยู่ในห้องของเธอแม้จะเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็น รูปนกไม่มีขา, รูปแมวดำ, แม่เหล็กดูดขยะ และต้นหางกระรอกแดง
_____________
"คุณจะเป็นคนอ่านนิยายแนวสืบสวนจากการจบก่อน ..
ถ้าเป็นซีรีส์ก็ชอบอ่านสปอยล์ก่อน ถ้าจบแบบผิดหวังก็จะไม่ดู"
_____________
อีกหนึ่งตัวละครสำคัญอย่าง 'แชจุน' (รับบทโดย ยุนพัค) หนุ่มสุดหล่อดีกรีเลิศที่ตามจีบดาจองมาพักใหญ่จนเริ่มคบหาดูใจกันกลับกลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมตึกกูกู ซึ่งในระหว่างการสืบสวนคดีแชจุนได้เขียนจดหมายสารภาพความผิดทิ้งเอาไว้ให้เธอ และเลือกจบชีวิตตัวเองพร้อมกับรูปถ่ายปริศนา พร้อมกับความจริงที่ว่าแท้จริงแล้วชื่อจริงของแชจุนนั้นคือ ชเวจองมิน
ดาจองรู้สึกสับสน และสะเทือนใจเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ได้รับการปลอบโยน และการช่วยเหลือจากคุณหมอจูยองโดทำให้บาดแผลในใจที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นค่อย ๆ เบาบางลง
_____________
"คำว่าแผลใจไม่ใช่คำเปรียบเทียบ บาดแผลอาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
... แต่มันเป็นแผลจริง ๆ ครับ"
_____________
เราว่าทุกคนเองก็คงจะเคยมีประสบการณ์กับสิ่งที่เรียกว่า 'แผลใจ' กันบ้างใช่ไหมล่ะคะ เราชอบที่ซีรีส์พยายามจะถ่ายทอดออกให้เห็นถึง 'ความเจ็บปวด' ในรูปแบบต่าง ๆ บางคนอาจจะเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้, บางคนอาจจะไม่ทันรู้ตัวถึงบาดแผล ในขณะที่บางคนเองก็เปิดเผยออกมาให้กับคนอื่นได้รับรู้เลย มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวซีรีส์นั้นต้องการสื่อให้ทุกคนมีความเห็นอกเห็นใจทั้งกับตัวเองแล้วก็ผู้อื่นเช่นเดียวกัน
สำหรับเราแล้วความพิเศษของซีรีส์เรื่องนี้คงจะเป็นถ้อยคำแสนธรรมดาที่สามารถปลอบประโลมหัวใจของคนดูได้ดีเป็นพิเศษในทุก ๆ ตอนค่ะ เมสเสจของเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก แต่ตัวเรื่องก็เล่าออกมาได้ดี และครบถ้วนมาก เรียกง่าย ๆ ว่างานปราณีตเลยล่ะ อีกหนึ่งเรื่องที่เราประทับใจมาก ๆ คือการที่เขาเล่าเรื่องแบบไม่ยัดเยียดให้คนดูต้องรู้สึกตามว่าต้องคิดแบบนี้นะ ต้องเป็นแบบนั้นนะ แต่จะใช้ความเป็นจิตแพทย์ของคุณหมอจูยองโดนี่แหละที่เป็นการ guide ตัวละครรวมถึงคนดูให้เริ่มเปิดใจ
อาจด้วยเพราะตัวละครหลักเป็นจิตแพทย์เราถึงได้รู้สึกเหมือนได้รับกำลังใจดี ๆ ที่ไม่มีการ Judge หรือตัดสินชีวิตของใคร เราชอบคำพูดเชิงจิตวิทยาที่เขาเลือกมาใช้มากเลยนะ เพราะแต่ละเนื้อความสามารถเข้าใจ และตีความได้ง่าย แถมความหมายยังดีมาก ๆ อีกด้วย
_____________
"คำพูดที่บอกว่า 'คุณคงลำบากมากสินะ หวังว่าต่อจากนี้คุณจะไม่เจ็บปวดแบบนั้นอีก'
มันมีความหมายว่า แม้จะโอบกอดคุณในวันนั้นที่คุณสั่นเทาไม่ได้
... แต่ก็อยากกอดคุณในตอนนี้ที่ฝ่าฟันช่วงเวลานั้นมาได้"
_____________
ถึงแม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่ความคิดของบางคนอาจยังไม่เปลี่ยนแปลง เราเชื่อว่ายังมีอีกหลาย ๆ คนที่ยังตกอยู่ในความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่าการไปพบหรือรับคำปรึกษาจากจิตแพทย์นั้นเป็นเรื่องผิดแปลก และน่าอาย แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เลย และซีรีส์เรื่องนี้นั้นให้คำตอบเอาไว้ดีมาก ๆ
จะเห็นได้ว่านอกจากคำพูดที่ให้กำลังใจแล้ว ตัวซีรีส์ก็ยังมีประเด็นสังคมด้านอื่น ๆ สอดแทรกเข้ามาด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเหยียดเชื้อชาติ, ระบบปิตาธิปไตย, ระบบอาวุโสในที่ทำงาน รวมถึงความรู้ทางจิตวิทยา เช่น อาการของโรคซึมเศร้า, โรคโซซิโอพาธ (Sociopath)
_____________
"คนเราไม่ถามว่าสบายดีไหมกับคนที่สบายดีหรอกครับ"
_____________
นอกจากนี้อีกสิ่งที่เราประทับใจเป็นอย่างมากก็คงจะเป็นการดำเนินเรื่องที่จะใช้การเล่าแบบเรื่อย ๆ (สำหรับบางคนอาจจะเรียกว่าช้าก็ได้นะ) แต่ไม่น่าเบื่อเลยเพราะในแต่ละตอนจะต้องมีสักจุดที่สามารถรั้งคนดูไว้ให้สงสัยจนอยากติดตามต่อ เรียกได้ว่าทุก Timing ของซีรีส์เรื่องนี้มันลงตัวแบบไร้ที่ติ (สำหรับเรา) เลยค่ะ
ในด้านงานเบื้องหลังเรารู้สึกว่าซีรีส์วาง Background ของแต่ละตัวละครได้ดีแล้วถ่ายทอดออกมาได้น่าสนใจมาก ๆ เลยนะ ทั้งความสัมพันธ์ของตัวละครหลัก และตัวละครรอง ทุกอย่างมีเหตุผลรองรับ ไม่ได้วางมาแบบสะเปะสะปะ แล้วก็ไม่ได้ทิ้งตัวละครตัวไหนไปเลย ที่สำคัญตัวละครทุกตัวมีมิติด้วย
สำหรับใครที่ชอบซีรีส์ภาพสวย ๆ บอกเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้ตอบโจทย์มาก ๆ เพราะทั้งมุมภาพ และองค์ประกอบด้านศิลป์นั้นสวยตระการตา และเข้ากันอย่างลงตัว ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่ามีการใช้สัญญะต่าง ๆ แทนการเล่าเรื่องด้วยนะ มีเสน่ห์มากกกกก
_____________
"แค่อดทนผ่านพ้นแต่ละวันมาได้ ก็นับว่าทำได้ดีมากแล้ว"
_____________
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in