รีวิวการตัดใจจากสตีฟ โรเจอร์ส โดย เจมส์ บูแคแนน บาร์นส์ (ครั้งที่ 13)
คะแนนความเอาใจใส่: N/A (แต่ก็ 8/10 ล่ะมั้ง?)
19.08
สตีฟยังไม่กลับ
บัคกี้ไถเก้าอี้ของตัวเองกลับมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะสโครลดาวน์เม้าส์ของตัวเองไปเรื่อยๆ กดนั่นกดนี่ ทำท่าที่เหมือนว่ายุ่งอยู่นักหนานั่นแหล่ะ เขาไล่ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย กดเข้าสเปรดชีทที่ตรวจทานแล้วอย่างดี จ้องเข้าไปจนเหมือนกับว่าจะมีข้อผิดพลาดอะไรบางอย่างปรากฎขึ้นบนจอมอร์นิเตอร์
ก็ใช่ บัคกี้กำลังหาข้ออ้างในการนั่งอยู่ตรงนี้ให้นานขึ้นอีกนิดนึง
แสงวาบพร้อมแรงสั่นน้อยๆ จากโทรศัพท์เครื่องบาง
กลับได้เลยไม่ต้องรอ งานเพียบ
:/
ยังไม่กลับอีก ดื้อ
บัคกี้ส่งเสียงออกมาจากลำคอไม่รู้ว่าด้วยความเขิน รำคาญ หมันเขี้ยว หรือทุกอย่างที่ว่ามา เขาเขกหัวตัวเองเข้ากับโต๊ะทำงานเบาๆ ก่อนที่จะหยิบสมาร์ทโฟนในเคสสีเขียวมาพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาเหลือบมองผ่านทางช่องแคบๆ ของคอกกั้นโต๊ะทำงานไปยังเก้าอี้ของเจ้าของข้อความ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อในครั้งนี้เก้าอี้ตัวเดิมของสตีฟ โรเจอร์สว่างเปล่า ไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้น
และในตอนที่กำลังจะพิมพ์ข้อความกลับไป เขาก็สัมได้ถึงมือคู่หนึ่งที่แตะเข้าที่ไหล่เบาๆ เพียงแค่เสี้ยววินาที เมื่อหันตามสัมผัสเขาก็ไม่พบใคร
เว้นเสียแต่ สตีฟ โรเจอร์ส หันมาวิ้งค์ให้ครั้งหนึ่งก่อนจะเดินหายไปในห้องเบรคไม่ใกล้ไม่ไกล
เขาทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ในออฟฟิสพร้อมกับเอามือปิดหน้าตัวเองอย่างเหลืออด เขาได้ยินเสียงของปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เด็กฝึกงานที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาหันหลังมาถามว่าเขาโอเคมั้ย บัคกี้ตอบกลับไปว่าไม่เป็นไรแค่ปวดหัวนิดหน่อย ทั้งที่ในใจเขามันปั่นป่วนและเสียงดังโครมครามเหมือนมีใครมาจุดพลุในวันชาติอเมริกายังไงยังงั้น เขาพยักหน้ารับเจ้าเด็กปีเตอร์ที่บอกให้เขาพักผ่อนเยอะๆ ก่อนจะขอตัวกลับบ้านก่อน บัคกี้ลูบหน้าลูบตาตัวเองอยู่สักพักก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นสตีฟกำลังยืนคุยกันอยู่กับเพ็กกี้ คาร์เตอร์หัวหน้างานฝ่ายกลยุทธ์งานขายอย่างออกรส เขาไม่รู้ว่าสองคนนั้นกำลังคุยเรื่องอะไรกัน แต่ท่าทางตีอกชกหัว ขำออกมาอย่างชอบใจของสตีฟก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย บัคกี้ปิดสเปรดชีทไร้สาระตรงหน้า ล็อคเอ้าท์จากบัญชีของบริษัท โกยข้าวของลงจากโต๊ะอย่างคนไม่สบอารมณ์ ก็แน่ล่ะงานของเขาเองเสร็จตั้งแต่ยังไม่ทุ่มดี ที่นั่งหาอะไรทำไปเรื่อยก็เพราะรอสตีฟลุกขึ้นมาจะได้กลับพร้อมกัน แต่แผนที่วางออกมาอย่างเหมาะเจาะก็ล่มไม่เป็นท่าเพราะความ ‘สตีฟ’ นั่นแหล่ะ
ความสตีฟก็คือความสตีฟ เขาอธิบายไม่ถูกนักหรอก อันที่จริงบัคกี้เคยหลุดปากบรรยาย (หรือที่แซมเรียกว่าพร่ำเพ้อ) ความสตีฟเอาไว้ว่ามันเป็นความน่ารัก ความอบอุ่นที่ดูน่าวิ่งเข้าไปหา แต่พอเข้าไปใกล้ๆ ก็เหมือนมีอะไรไม่รู้มาขวางไว้ทุกที เหมือนจะใช่แต่ก็เหมือนจะไม่ และเขาก็ติดอยู่ในวังวนโง่ๆ แบบนี้มาเกือบจะ 2 ปีแล้ว
ใช่ 2 ปี หรือจะเจาะจงกว่านั้นก็คือเป็นเวลาประมาณ 26 เดือนแล้วที่บัคกี้ บาร์นส์กำลัง ‘ตามจีบ’ ใช่เลย ตามจีบไอ้คนที่ทำตัวกะล่อนทีเล่นทีจริงที่เพิ่งเดินผ่านไปเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา จะว่าตามจีบหรือไม่เขาก็ไม่มั่นใจนัก เท่าที่รู้ก็เพียงแค่ว่าเขาบอกสตีฟตั้งแต่วันแรกที่ได้คุยกันว่าเขาชอบ
สตีฟไม่ได้บอกให้เขาเลิก ไม่ได้บอกว่าฝันไปเถอะ อันที่จริงสตีฟไม่ได้พูดอะไรสักคำ นอกจากยิ้มให้เขาเหมือนอย่างทุกที พร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างติดตลกว่าเขาโชคร้ายเหลือเกินที่มานึกชอบคนอย่างสตีฟ ในตอนแรกเขาไม่เชื่อคำพูดนั้นเลยสักนิด แต่หลังจาก 26 เดือน กว่า 800 วันของความวุ่นวายใจ บางวันยิ้ม บางคืนก็นอนร้องไห้จนหมอนเปียก เขาก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขาโชคร้ายถูกสาปขึ้นมาจริงๆ หรือเปล่า
แล้วก็หนึ่งข้อที่ทุกคนควรรู้ บัคกี้ไม่ใช่คนโง่ เขาเคยคิดจะออกจากเขาวงกตที่ชื่อว่าสตีฟมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 ครั้ง แต่ทุกทีที่เห็นแสงสว่างที่เหมือนจะเป็นทางออกไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ก็กลับกลายเป็นว่ามีสตีฟมายืนขวางเอาไว้
เหมือนอย่างตอนนี้
“ถ้าจะรอกลับด้วยกันก็บอกสิ จะได้รีบเก็บของ”
เขาเงยหน้าขึ้นมาจากฝ่ามือของตัวเอง ความพยายามจะออกจากเขาวงกตสตีฟครั้งที่ 13 พังไปครึ่งหนึ่งเมื่อสตีฟเลื่อนเก้าอี้ออฟฟิสตัวใหญ่มาข้างๆ เขา
“ใครรอ ไม่มี” เขาเอานิ้วไขว้กันไว้ข้างหลังอย่างที่ทำจนติดเป็นนิสัยแต่เด็ก และเขาก็ใช้มันบ่อยกว่าเดิม พอดิบพอดีกับตอนที่สตีฟบอกว่ามันน่ารักดี เขาคิดว่ามันเป็นความบังเอิญ แค่ความบังเอิญเท่านั้น ยืนยันเลยว่าเขาไม่ได้ทำมันลงไปทุกครั้งเพียงเพราะแค่สตีฟบอกว่ามันน่ารัก
คิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องไขว้นิ้วอีกที
“?”
สตีฟที่เลิ่กคิ้วขึ้นอย่างคนไม่เชื่อ เล่นหูเล่นตาเหมือนมองเขาออกเสียทะลุปรุโปร่งก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เขาไปไหนไม่ได้สักที +1 ใช่ ความสตีฟ มันรู้สึกเหมือนกับอยู่ที่บ้าน เหมือนเขาได้นอนดู Netflix กับ Hulu ทั้งวันพร้อมกับขนมถุงใหญ่ๆ กองรวมกันไว้ข้างโซฟา เหมือนกับการได้กลับไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงในอพาร์ทเมนท์ นอนแช่น้ำในอ่างพร้อมๆ กับบาธบอมบ์กลิ่นวนิลลา
ให้ตาย
ไม่สิ หมอนี่ก็แกล้งทำตัวใกล้ชิด ทำตัวแสนดีแค่ตอนนี้เท่านั้นแหล่ะ เหมือนอย่างทุกทีที่ดูออกว่าเขากำลังจะเดินไปเจอทางออก ก็จะพาตัวเองกลับมาขวางทุกครั้ง
แต่ แต่
รอบนี้บัคกี้จะไม่ยอมแพ้หรอก
ครั้งที่ 13 อาจจะเป็นครั้งที่ประสบความสำเร็จก็ได้ใครจะไปรู้
“เพ็กกี้บอกว่านายน่ารัก”
“ห้ะ?”
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดเลย เอาเป็นว่าเขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าชื่อของตัวเองจะไปปรากฎอยู่ในบทสนทนาในห้องพักเบรคระหว่างสตีฟและคุณคาร์เตอร์ น่าแปลก แค่เพียงความรู้ใหม่ที่ว่าตัวเขาเองเป็นส่วนหนึ่งในบทสนทนาของสตีฟกับคนอื่น เขาก็ดีใจขึ้นมาแล้ว
บ้าเอ้ย แม่ไม่ได้สอนมาให้ใจเหลวเป็นขี้ผึ้งโดนไฟแบบนี้น่าเจมส์
“อันนั้นรู้อยู่แล้ว”
“ว่าตัวเองน่ารัก?” บัคกี้แกล้งทำหน้าเฉยพร้อมกับยักคิ้ว ทั้งที่ในใจก็คือเละตุ๊มเป๊ะไปแล้วกับสิ่งที่เพิ่งได้ฟังมส เขาปั้นหน้าด้วยความพยายามสุดชีวิตเพราะสตีฟที่หลุดขำออกมาจนตาหยีมันตรายกับเขาในทุกๆ ทางจริงๆ เขานึกขอบคุณสวรรค์ในใจที่แซมลาป่วยวันนี้ ไม่เช่นนั้นท่าทีใกล้ชิดกว่าปกติระหว่างเขาและสตีฟนั้นจะต้องกลายเป็นหัวข้อบทสนทนาในทุกเที่ยงอย่างแน่นอน
“เขาบอกฉันว่า โควทมาเลยนะ -จะปล่อยให้ลูกหมาน้อยนั่งรออยู่ตรงนั้นอีกนานแค่ไหน-“
ให้ตาย
“พอเพ็กกี้ทักว่าดูสิ หูตกหมดแล้ว พาไปกินขนมเร็ว ก็เลยนึกขึ้นมาได้..”
ไม่ถึงอึดใจคูปองร้านซอฟต์เสิร์ฟชื่อดัง (ที่เขาไม่เคยบอกกับใครนอกจากแซมและแฝดแมกซิมอฟว่าชอบกิน) ก็ถูกโบกอยู่ตรงหน้าเขา
ท่าทางแผนของเขาจะล่มเสียแล้ว
“ไอ้นี่มันโผล่มาจากไหนไม่รู้เนี่ย อยู่ดีๆ ก็มาอยู่ในกระเป๋าตังค์ สงสัยจะมีใครรู้ว่าทำคนน่ารักงอนอีกแล้ว เลยเสกคูปองของอร่อยมาไว้ให้ง้อ”
เอาเป็นว่าค่อยวางแผนตัดใจจากสตีฟใหม่คราวหน้าก็แล้วกัน
———
เพราะชีวิตจืดชืด เลยอยากจะมาแบบกระชับๆ ทีละนิดละน้อย อ่านตอนเดียวก็เข้าใจอ่านต่อกันก็พอไหว ฝากติดตาม ใากเ่า ใากชม ได้ทางทวิตเตอร์เลยนะคะ แฮชแท็กจามชื่อ แร้วพบกันใหม่ สวัสดีค่า ?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in