นิทรรศการนี้เป็นนิทรรศการแสดงงานภาพของ “VAN GOGH” โดยที่นิทรรศการนี้มีการแสดงผ่าน “MULTI-SENSORY EXPERIENCE” รวมถึงเล่าเรื่องราวของเขาผ่านรูปภาพเคลื่อนไหวที่สวยงาม โดยแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 โซน ได้แก่
“ห้องแรกคือห้องที่เริ่มต้น
กล่าวค้นถึงเรื่องราวของเขา
ที่ผ่านภาพวาดห้องนอนเก่า
ระลึกถึงเขาในวันวานที่ผ่านมา”
1.) BED ROOM AND HISTORY : เมื่อเดินเข้าไปในห้องนี้ก็เปรียบเหมือนกับจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของทั้งหมดนี่ค่ะ โดยที่จะมีห้องนอนของแวนโก๊ะที่ให้ทุกคนไปถ่ายภาพได้ และทุกคนค่อยๆดื่มด่ำกับเรื่องราวของแวนโก๊ะทั้งหมด โดยเริ่มต้นเล่าเรื่องคร่าวๆของแวนโก๊ะให้คนดูได้รู้จักก่อน
“ห้องสองคือห้องที่กล่าวเล่า
เรื่องราวเขาน่าสนถึงเพียงไหน
ชีวิตของเขาต้องพยายามต่อสู้ไป
กับจิตใจที่ค่อยๆจะเปลี่ยนไป”
2.) MULTI-SENSORY EXPERIENCE : ห้องถัดไปจะเป็นห้องแสดงแสง สี เสียง กลิ่นหอมจางๆ ที่เล่าถึงเรื่องราวเริ่มต้นของแวนโก๊ะ จนถึงเรื่องราวที่แวนโก๊ะเริ่มไม่สบาย (จิตเวช) และเขายังใช้สีแบบไหนในการสร้างสรรค์ภาพของเขา และเพราะผลข้างเคียงจากยารักษาจิตเวชของเขา ทำให้เขาเห็นภาพจริงของดวงดาวแตกต่างไปจากคนอื่น จึงทำให้เขาวาดภาพที่มีชื่อเสียงอย่าง “The Starry Night” ก่อนจะถึงจุดวาระสุดท้ายของแวนโก๊ะ รวมถึงคำคมที่เขาใช้ในการดำเนินชีวิตอีกด้วย
ภาพแรก คือ “แวนโก๊ะขายได้เพียงแค่
ภาพเดียวในชีวิตของเขา
คือ ไร่องุ่น (The Red Vineyard)”
“ห้องสุดท้ายคือภาพวาดขึ้นชื่อ
และเล่าลือถึงเรื่องราวของภาพนั้น
ถ่ายภาพให้เสมอเหมือนภาพวาดกัน
และวาดภาพนั้นออกมาให้สมจริง”
3.) VAN GOGH PAINTING : ห้องนี้จะเป็นเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงตัวตนของเขาผ่านภาพวาดมากมายที่ทำออกมาเป็นจุดให้เราถ่ายภาพเหมือนกับภาพวาดที่มีชื่อเสียงของเขาเขาได้ และห้องนี้ยังประกอบด้วย
3.1.) ห้องวาดภาพเหมือน (ฟรี)
3.2.)ห้องระบายสี (ค่าธรรมเนียมคนละ 990 บาท)
3.3.) ห้องถ่ายรูปคล้ายภาพวาดเขา (ฟรี)
และยังมีการจัดห้องที่เป็นภาพชื่อดังอย่าง “Cafe Terrace” ที่มี After You ขายเมนูเด่นๆ 4 เมนู ตามแรงบันดาลใจจากรูปภาพของแวนโก๊ะ ได้แก่ “The Chocolate Easter,” “The Starry Night,” “Sunflower,” และ “Wheatfield” โดยที่เราสั่งเมนู
ภาพสอง คือ The Chocolate Easter
(หวานกำลังดี รสชาติช็อกโกแลตเข้มข้น เราเอาแก้วกลับไปใช้ที่บ้านต่อ)
ราคา 285 บาทต่อถ้วย
ภาพสาม คือ Wheat Field
(หวานจนเลี่ยนมากอยู่ แต่ไม่ถึงกับแย่)
ราคา 135 บาทต่อถ้วย
สองเมนูที่เราทาน มาจากภาพชื่อดังของแวนโก๊ะทั้งสองภาพ ได้แก่
ภาพสี่ คือ คนกินมันฝรั่ง (The Potato Easters)
ภาพห้า คือ ฝูงกาเหนือทุ่งข้าวสาลี (Wheat Field With Crows)
หลังจากนั้น เราเดินออกมาเลือกซื้อของที่ระลึกกัน โดยโซนของที่ระลึกมีแต่ของน่ารัก แต่ส่วนใหญ่ราคาแพง ดังนั้น เราซื้อแค่แม่เหล็กติดตู้เย็น เพราะดูแล้วคุ้มสุดกับราคาเพียงอันละ 149 บาทค่ะ
พอทุกคนซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ทุกคนเดินออกมาถ่ายภาพกับดอกทานตะวันสวยๆที่ไหลออกมาจากโถค่ะ
ภาพหก คือ ตั๋วค่าเข้า
(ซื้อวีไอพีในราคา 1,490 บาท + 30 บาท ต่อคน)และเพื่อนๆสามารถเลือกกระเป๋า
หรือชุดสมุดโน้ตได้อย่างไรอย่างหนึ่ง
พอดีเราไปกับพี่สาว พวกเราสองคนเลือกอย่างละชุด
วันนี้ เราขอบอกว่า เรารู้สึกประทับใจมากกับนิทรรศการนี้ และทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของแวนโก๊ะมากยิ่งขึ้น ความเจ็บปวด ความปวดใจ ความปวดร้าวที่เขาได้รับทั้งหมดนั้นได้ถ่ายทอดผ่านภาพวาดของเขาสู่การจินตนาการของเราที่เสพงานศิลป์ออกมาได้เป็นอย่างดี จนเราเข้าใจทุกอย่างที่เขาต้องการสื่อให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ว่า
“เขาคือคนธรรมดา
คนหนึ่งที่สร้างสรรค์ผลงานที่ไม่ธรรมดา
ออกมาสู่สายตาชาวโลกได้เป็นอย่างดี”
ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ เราหวังว่า เพื่อนๆจะสนุกและมองเห็นภาพเกี่ยวกับนิทรรศการนี้อย่างดีค่ะ ขอบคุณค่ะ
LOOK A BREATHE
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in