ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ที่จู่ๆก็เป็นบ้าตาม Style คนที่ไม่ค่อยใช้ความรู้สึกเท่าไหร่ พอได้ใช้เลย control ได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่และเสียสูญไปตามระเบียบ เอาเป็นว่าข้ามดีเทลตรงนี้ไป
เราอ่านหนังสือเรื่องตู้ไปรษณีย์สีแดงและรู้สึกได้ว่าตัวเองก็ไม่ต่างอะไรกับไอ้ไข่ย้อยเลย สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนั้นคือ "ออกเดินทาง" แต่คิดเองเออเองว่าแผลเรามันหนักกว่าไอ้ไข่ย้อย ขอไปไกลกว่ามันหน่อยล่ะกัน
เส้นทางรถไฟที่ยาวทีี่สุดเท่าที่จะจิตนาการออกในตอนนั้นคือการเดินทางไปปีนัง ไปเพียงลำพังก็กลัวตัวเองจะโดดรถไฟตายไปก่อนเลยมีเพื่อนร่วมทางมา 1 คน ที่ต่อมาก็เทเราไปก่อนอยู่ดี (ต่างกับมาคนเดียวตรงไหนวะ?)
รู้แค่จากกรุงเทพไปบัตเตอเวิร์ธใช้เวลาประมาณ 20-25 ชม.แล้วแต่บุญกรรมที่เคยทำไว้ ขาไปนี่ดราม่าหนักเบอร์เดียวกับ Greasy Cafe เลย เขียนในสมุดบันทึกไว้ว่า
"การจะหนีความรู้สึกเป็นเรื่องยาก เพราะต่อให้สองข้างทางเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาแต่ในใจก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมที่คุ้นเคย"
โอ้โห้ ... กูเขียนอะไรลงไปวะนี้
จนทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าเราต้องดราม่าเบอร์นั้นเลยหรอ สติหายไปไหนก็ไม่รู้ ตอนนั้นอินกับทุกอย่าง ฝนตก ลมพัด เขียนบันทึกด้วยมือได้เป็น 10 หน้า บอกตัวเองว่าคงอีกนานกว่าจะรักษาและเจืองจางเรื่องนี้ออกไป
อีกนานไหมกว่าจะเลิกรู้สึกอะไรกับเรื่องนี้?
สิบปี
หนึ่งปี
หกเดือน
สามเดือน
หรือจริงๆแล้วอาจจะแค่ 1 วันกว่าๆ
ในวันที่เราเดินทางกลับเพียงลำพังพร้อมหัวใจที่หนักอึ้งเท่าตอนขามา (ยืมคำจากสมุดบันทึกตัวเองมา อ่านเองพิมพ์เองยังจะอ้วกเลย) เรารู้สึกว่าการมาครั้งนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
5 วันกว่าๆที่อยู่เพียงลำพังไม่ได้ช่วยให้คิดอะไรได้เลย ยกเว้นแต่ "เบื่อ" เออ ... เบื่อตัวเองที่เป็นบ้า เบื่อตัวเองที่ไม่มีสติ เบื่อตัวเองที่หยุดคิดเรื่องที่พาเรามาที่นี้ไม่ได้
ขากลับไม่อยากคุยกับใครแต่จำเป็นจะต้องมีคนมานั่งด้วยเพราะจองเตียงบนไป คนที่นั่งตรงข้ามเราเป็นป้าคนไทยคนนึงที่มาทำงานในมาเล แต่แกแขนหักเลยได้โอกาสกลับบ้านไปพักผ่อนจนกว่าแขนจะหาย แต่เราไม่อยากคุยกับใครเลยปลอมตัวเป็นคนสิงคโปร์ (ขอโทษป้าคนนั้นจากใจ) ทำทีว่าฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง จริงๆคืออยากอยู่คนเดียวเสียบหูฟังทำตัวเป็น Mv เพลงเศร้าทั้ง 108 เพลงใน Playlist ที่เตรียมมาตลอด 5 วัน
ความอัศจรรย์คือป้าพยายามชวนเราคุยตลอดเวลา ชวนคนข้างๆอีกฝั่งที่เป็นป้าคนไทยกับแหม่มที่จะมาเรียกชกมวยที่หัวหินคุย ชวนน้องคนไทยที่จะกลับบ้านที่หาดใหญ่คุย เราฟังเพลงไปเรื่อยแต่ทุกคำพูดของป้า (ที่เราแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ) ก็ยังคงดังแทรกมาเป็นระยะ
"ป้าไม่มีครอบครัวหรอ?"
"เคยมี มันบอกจะมาทำงานหาเงินที่มาเลย์ รอมาจะ 15 ปีแล้วมันยังไม่กลับมาเลย ฮ่าฮ่าฮ่า"
"ป้าไม่หาใหม่ล่ะ"
"คนเดียวสบายดี ไม่รู้สึกเยอะ ไม่เหนื่อย"
เออ จริง ... อยากจะแทรกเข้าไปว่าเห็นด้วย แต่ตอนนั้นก็เถียงกับตัวเองในใจว่าป้าคงยังรักผัวแกอยู่แน่ๆ เห็นไหมความรักมันทรมาน
"ป้าไม่อยากรู้หรอว่าเขาหายไปไหน"
"รู้ไปแล้วทำอะไรได้ เอาเวลาไปเก็งเลขซื้อหวยดีกว่า อย่างน้อยถ้าถูกก็ยังได้ตัง"
หลังจากนั้นก็ไม่ได้จดแล้วว่าเขาคุยอะไรกัน แต่เปลี่ยนมาอ่านบันทึกเล่มหนามากๆของตัวเองว่าตลอดเวลาที่เป็นทุกข์นี่ เราเป็นทุกข์เพราะอะไรวะ เราโทษความรู้สึกว่าทำไมไม่หายออกไปซักทีโดยที่ลืมไปว่าเราเองนั่นแหละที่วนเวียนคิดตลอดเวลา เขียนเป็นบันทึกเต็มไปหมด ยิ่งคิดยิ่งเขียน จะกินกาแฟก็เขียน เดินไปไหนก็เขียน จับจดไปหมดกับเรื่องเดิมๆ
ถามตัวเองว่าตลอด 5-6 วันที่มาจำอะไรเกี่ยวกับที่เที่ยวหรือเพื่อนร่วมทางหรืออื่นๆที่ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เสียใจได้ไหม คำตอบคือ "ไม่ .."
อีเวง แล้วมึงเปลืองเงินออกมาเที่ยวทำไมวะ
ตลอด 5-6 วันที่หมกมุ่นอยู่แต่กับตัวเองจนลืมไปแล้วว่าเพื่อนที่มาด้วยใส่เสื้อสีอะไร คนญี่ปุ่น ที่ช่วยพาไปโฮสเทลเรียนที่ไหน ลืมไปหมดว่าสตรีทอาร์ตที่เห็นหน้าตายังไง
หวังเอาไว้ว่าการออกมาเที่ยวจะทำให้ลืม ซึ่งมันทำให้ลืมจริงๆเว้ย ลืมตัวเราเองแล้วไปจำแต่เรื่องที่พยายามหนีออกมา ...
หยิบปากกาขึ้นมาอีกครั้งแล้วเขียนบันทึกหน้าสุดท้ายด้วยลายมือหวัดๆตามจังหวะการเคลื่อนที่ของรถไฟ กระดาษครึ่งเอสี่ถูกเขียนด้วยปากกาสีดำเป็นประโยคสั้นๆตัวโตๆว่า
"อีโง่ ... มีสติด้วย"
ก่อนจะไม่มีการบันทึกใดๆอีกต่อไปในสมุดเล่มนั้น ซึ่งพอย้ายหอย้ายบ้านสมุดเล่มนั้นก็อันตทานหายไปตามกาลเวลาก่อนจะมาเจออีกครั้งในกล่องเก็บหนังสือเก่า เวลาเจือจางทุกอย่างไปหมด เจือจางแม้กระทั่งความสามารถในการแกะลายมือตัวเองว่าข้อความน้ำเน่า 108 ข้อความที่บันทึกไว้อ่านว่าอะไรบ้าง
ความรู้สึกคนเรานี่โคตรน่ากลัวอ่ะ ...
หมดอายุเร็วกว่าข้าวกล่องใน 7-11 อีก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in