ปี 2017 เป็นปีที่มีเรื่องอะไรก็ไม่รู้เกิดขึ้นเยอะมาก การเปลี่ยนแปลงและการตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิตมีมากมาย มากจนสุดท้ายพอจะหมดปีก็ต้องมานั่งรีแคปให้ตัวเองฟังว่าในปีนี้เราทำอะไรไปบ้างและมันมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ใจหายนะแป๊บเดียวหมดปีแล้ว ...
Love
1. เรื่องคาราคาซังที่เคยค้างมาตั้งแต่ปีก่อนจบลงแล้วแบบจบจริงๆ จบกันด้วยดี (คิดว่า) พูดกันด้วยความเคารพในกันและก้นว่าระหว่างเราตอนนั้นมันดีมากๆแต่ให้ไปต่อก็ไม่ได้จริงๆ เรายังอยากรักษาความเป็นเพื่อนไว้ ไม่อยากให้มันเดินทางไปถึงจุดที่เกลียดกัน แต่ถามว่าตอนนี้เกลียดไหม ก็ไม่นะ มันเป็นจุดที่รู้สึกเฉยๆมากกว่า แต่เป็นจุดเฉยๆที่สบายใจ วันไหนคิดถึงก็โทรไปหาบอกว่าคิดถึง แต่ไม่ใช่ในเขิงชู้สาวแบบเดิม คิดถึงในฐานะเพื่อนคนนึง
2. รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นจากเรื่องในข้อแรก รู้สึกว่าเราต้อง "เลือก" ในที่นี้หมายถึงเลือกจริงๆ บอกตัวเองว่า sex is just sex แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ ยังไงก็ได้แล้วก็จบเหี้ยๆให้เสียความรู้สึก มีหลายครั้งที่เกือบหลุดไปแต่ก็กลับมาได้ทัน เลือกที่จะปฏิเสธไป
3 ไม่เสียเวลากับการคิดอะไรเองแล้ว สงสัยก็ถามออกไปจะได้จบ เรารู้สึกว่าชีวิตมีอะไรต้องโฟกัสเยอะมาก มากจนไม่อยากเสียเวลาไปกับการนอนคิดว่าเขาจะชอบเราไหม เขาจะคิดแบบเรารึป่าว คนนั้นแฟนเขาหรือเพื่อน มันเสียเวลา เสียสุขภาพจิตด้วย พอลองเปลี่ยนให้ตัวเองพูดอะไร uprightly มากขึ้นก็ค้นพบว่ามันดีมากๆ มากจนสงสัยว่าปล่อยให้ตัวเองเป็นคนคิดอะไรข้างเดียวมาทำไมตั้งนาน
4. ชัดเจนกับความชอบของตัวเองมากขึ้น รู้สึกอยาก settle down กับคนในแบบที่อยากเจอ ซึ่งมันก็กลายเป็น Condition ว่าถ้างั้นก็ต้องทำตัวให้ดีๆเพื่อเจอคนดีๆ อยากได้คนแบบนั้นก็ต้องเป็นคนที่คนแบบนั้นอยากได้ ทำชีวิตให้ดีเพื่อเจอกับคนที่ดีในอนาคต
Friendship
5. เลิกตั้งคำถามว่าเราไม่ดีตรงไหน เขาไม่โอเคกับเราเพราะอะไร เพราะสุดท้ายแล้วการที่วันนึงตื่นมาแล้วรู้สึกว่าเราไม่โอเคที่จะคบคนนี้เป็นเพื่อนแล้วมันเป็นเรื่องอจินไตยอ่ะ หาคำตอบไม่ได้หรอกว่าตรงไหน เพราะอะไร ทำได้แค่ยอมรับการตัดสินใจของเขาและเดินออกมา
6. คบเพื่อนกลุ่มเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อก่อนจะรู้สึกนอยมากเวลาเห็นเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆลงรูปไปกินเหล้าหรือไปปาร์ตี้กันโดยไม่ชวนเรา แต่เดี๋ยวนี้คือเฉยมาก ชอบการไปนั่งร้านชิวๆแล้วคุยกัน 2-3 คนมากกว่าไปกับกลุ่มใหญ่ๆคนเยอะๆแล้วจบด้วยการแบกเพื่อนกลับบ้านเก็บอ้วก
7. ให้ความสำคัญกับการเติบโตไปด้วยกัน การมีเพื่อนสนิทมากๆที่มีแผนอนาคตร่วมกันมันเป็นอะไรที่ดีมากๆอ่ะ มันอุ่นในหัวใจเหมือนไม่ว่าอนาคตจะเป็นไงอย่างน้อยๆเราก็ยังมีคนๆนี้อยู่ด้วย เหมือนเป็นมากกว่า Best friend / Close friend แต่เป็น Soul sister สนุกกับการคิดนั่นนี้ในอนาคตที่มีกันและกันอยู่ในนั้น
8. พึ่งได้สัมผัสกับคำว่าเพื่อนที่ทำงาน / พี่ที่ทำงาน ซึ่งมันเป็นความสัมพันธ์ที่เย็นและอุ่นในเวลาเดียวกัน มีหลายคนที่ยังอยากรู้จักต่อถ้าลาออกจากที่นี้แล้ว มีหลายคนที่เก่งมาก Attitude ดีมากจนทำให้เรารู้สึกว่าคนแบบนี้มีจริงๆด้วยหรอ นึกว่ามีแค่ในนิยายแจ่มใส ถือเป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนรูปแบบใหม่ที่ดี
Life
9. เริ่มต้นปีด้วยการเดินสายวิชาการเต็มตัว รู้สึกเต็มอิ่มกับเส้นทางนี้มาก ถามว่าชอบไหมคงตอบได้แค่ว่ารัก แต่ไม่ผูกมัด ถ้าวันนึงโอกาสในแวดวงนี้โคจรมาก็ยิดดีจะรับไว้ด้วยความเต็มใจ เริ่มจากแค่ในปี 2016 ต้องทำธีสิสจบในหัวข้อที่ไม่มีใครทำและเกี่ยวข้องกับการสืบสวนการก่อการร้าย ลากยาวไปจนเจอเรื่องราวมากมายในมาเลย์ จนมาถึงต้นปี 2017 ที่ดอกของมันออกผล ตัดสินใจไปปัตตานีแบบไม่กลัวอะไร ไม่บอกที่บ้าน ไปด้วยความเชื่อล้วนๆ พลังอุดมการณ์ในตาลุกโชนกว่าไฟร่านในใจ ยังจำบรรยากาศในห้องพรีเซ้นบทความวิชาการที่มีเด็กรัฐศาสตร์ในพื้นที่ (ที่เขาว่ากันว่าสับงานแนวนี้ของคนจากกรุงเทพจนเละเสมอ) เขามาฟัง มาถาม มาถกประเด็นกัน คือสนุกมากและรู้สึกว่าที่เราทุ่มเทมา 1 ปีเต็มมันออกผลแล้ว หลังจบการพรีเซ้นมีนักข่าวท่องถิ่นมาขอสัมภาษณ์ แต่น่าเสียดายที่ตื่นเต้นมากจนจำไม่ได้ว่าของหน่วยไหนช่องไหน เขาขออัดเสียงไว้ ถามคำถามต่างๆ ชื่นชมงานเรา ยังจำประโยคของเขาที่บอกว่า "ขอบคุณที่มาและขอบคุณที่ทำงานชิ้นนี้" เหมือนลอยได้เลย
10. ค้นพบว่าการอยู่เฉยๆไม่ออกไปไหนไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ทำให้เรารวยขึ้นหรือมีความสุขขึ้นเลย ปี 2017 เป็นปีแรกที่ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศไปไหนเลย หมกมุ่นอยู่กับการเก็บเงินและประหยัด ซึ่งไม่มีความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว เงินที่มีมากขึ้น (นิดหน่อย) ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีหรือมีชีวิตเลย ตอนปลายปีเลยตัดสินใจเอาเงินออกไปใช้ทำนู้นทำนี้ จนตอนนี้ไม่มีเงินเก็บแล้ว แต่รู้สึกมีชีวิตมีไอเดียในการอยู่ต่อมากกว่าตอนมีเงิน บอกตัวเองว่าปีหน้าจะออกไปใช้ชีวิตให้เยอะขึ้น เรื่องที่เสียดายที่สุดในปีนี้คือการที่ปิดตัวเองไม่ออกไปไหนเลยนี้แหละ
11. เผชิญหน้ากับ quarter life crisis อย่าเต็มที่และหนักหน่วงมากกก (ก.ไก่ล้านตัว) ยิ่งกว่าสมัยเริ่มเป็นวันรุ่นตอนม.ต้น-ม.ปลาย มันคือการทะเลาะกับตัวเอง สับสนและหวาดกลัว (คาดว่าอาจจะกลับมาเขียนเรื่องนี้เพิ่มในอนาคต) เหมือนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นวัยรุ่นและความเป็นผู้ใหญ่ เหมือนกำลังสับสนว่าควรเอาไงต่อกับชีวิต อยากเติบโตแต่ก็ยังไม่อยากละทิ้ง Teen spirite ของตัวเอง หนักมาจนถึงขั้นนั่งคุยกับเพื่อนคนนึงว่า เพลงของ Youth brush ที่เคยชอบฟังสมัยเรียน เรื่อง Track song เท่ๆใน soundcloud ที่สมัยเรียนเปิดฟังทุกวัน ตอนนี้เรารู้สึกไม่อินกับเพลงพวกนั้นแล้ว ไม่อินเลยแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ออกมาทำงานก็นับครั้งที่เข้า Soundcloud ไปฟังเพลงได้เลย เรารู้สึกว่า Teen spirite ของเรากำลังค่อยๆเลือนหายไป เหมือนเพื่อนในจินตนาการในวัยเด็ก ซึ่งเราไม่อยากปล่อยให้มันหายไป ยังโหยหา ยังอยากเหนี่ยวรั้งไว้ คนไทยชอบพูดว่า 23-24 คือวัยเริ่มสร้างตัว พอ 25-26 ก็เริ่มหมั่น เริ่มหาคนมาแต่งงานด้วย ซัก 28-30 ก็เริ่มชีวิตครอบครัว ซื้อบ้านซื้อรถ แต่สำหรับเรามันไม่ใช่อ่ะ เรารู้สึกว่าชีวิตพึ่งเริ่ม ชีวิตที่เป็นของเรา เราไม่อยากเห็นภาพตัวเองในวัย 30 เป็นแม่ที่เหนื่อยกับงานและยังต้องกลับบ้านมาทำกับข้าวให้ลูกกิน เรายังอยากใช้ชีวิตของตัวเองที่มี Teen spirite ในใจไปเรื่อยๆ
12. นิ่งมากขึ้น สงบจิตใจได้มากขึ้น ค้นพบว่าปีนี้เป็นปีที่ถ่ายรูปในมือถือน้อยมาก อัพรูปในโซเชียลน้อยมาก ทวิตเตอร์ก็ทวิตเรื่องต่างๆน้อยลง เพราะรู้สึกโฟกัสกับวินาทีในชีวิตจริงมากขึ้น เคยอ่านเจอประโยคนึงในว่า "สำหรับมนุษย์ยุคปัจจุบันอะไรที่ไม่ถูกอัพลงโซเชียลถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริง" ซึ่งมันก็จริงครึ่งนึงตรงที่คนอื่นจะไม่ได้รับรู้ว่าเราไปทำอะไรมาผ่านอะไรมาบ้าง เราใน perspective ของเขาอาจจะเป็นช่อง blank space แต่ทำไมต้องแคร์วะ คนเราแม่งก็แค่อยากเสือกเฉยๆอยู่แล้ว การที่คนอื่นจะรู้ / ไม่รู้ สุดท้ายตัวเรารู้ว่ามันเกิดขึ้นจริงๆในชีวิตเราก็พอแล้วป่ะวะ
13. เข้าหาศาสนามากขึ้น อันนี้พีคมาก ปกติเราเป็นไม่อะไรกับเรื่องพวกนี้เลย พยายามเลี่ยงมาโดยตลอด ไม่ชอบไปวัด ไม่ชอบทำบุญ รู้สึกว่าเป็นพุทธพาณิชย์ จนกระทั่งคนที่เรารักตาย (ซึ่งเขาเสียนานแล้ว) แต่เรายังคิดถึงและรู้สึกว่าอยากทำอะไรเพื่อเขา / ให้เขาบ้าง ศาสนาเป็นทางออกเดียวที่มี เป็นเหมือน condition ให้เราสบายใจว่าเราได้ส่งข้อความนี้ออกไปแล้วนะ ไม่รู้หรอกว่าจะถึงหรือไม่ถึง แต่มันก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย รู้สึกชอบการไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้วแวะทำบุญ แวะเดินดูโบสถ์ดูวัด วิจารณ์ตามที่เคยเรียนมา คือดูแก่มาก ดูสวนทางกับ Life style มาก แต่ก็อย่างที่บอกไปข้อบน สุดท้ายแล้วเราก็ต้องใช้ชีวิตในแบบที่เราชอบ ไม่ใช่ใช้ชีวิตเพื่อให้คนอื่นชอบ
14. เป็นปีที่ใช้ร่างกายหนักมากและเริ่มสัมผัสถึง Limit ของร่างกายตัวเอง กินหนัก สูบหนัก น้ำหนักขึ้นจนคนรอบข้างตกใจ แต่เรารู้สึกว่าโอเค เราแตะจุด Limit ของร่างกายแล้ว ต้องเริ่มกลับมาดูแลสุขภาพแบบจริงจังแล้วนะ ไม่ใช่แค่ตั้งเป้าลอยๆตอนต้นปี ปีนี้สิ่งที่เลิกขาดได้แล้วคือพวกกาแฟชงๆน้ำหวานชงๆ เบเกอรี่พวกขนมเค้ก รู้สึกชอบกินชาร้อนๆมากขึ้น หวังว่าปีหน้าจะเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรงและสุขภาพดีกว่านี้ อยากกลับไปวิ่ง Fun Run อีก อยากสะสมเหรียญวิ่งน่ารักๆแบบเมื่อก่อน
15. ปีนี้เป็นปีที่ดูแลตัวเองน้อยมากในเชิงการช้อปปิ้งเสื้อผ้าเครื่องสำอาง เสียเงินกับพวก Skin care มากขึ้น ใช้ของราคาแพงขึ้น เพราะรู้สึกว่าไม่อยากเป็นคนที่แต่งหน้าแล้วสวย อยากเป็นคนที่หน้าสดแล้วสวย กังวลกับเรื่องฝ้า กระ ตีนกามากขึ้น ดูแลพวกรอยแผลเป็นต่างๆมากขึ้น ส่วนเสื้อผ้าน่าจะเป็นผลมาจากการที่อ้วนขึ้นและไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนเลยทำให้ไม่มี Passion ในการซื้อเท่าไหร่ ชุดทำงานก็ใส่วนๆไป ปีนี้ซื้อรองเท้าแค่ 3 คู่เอง ซึ่ง 2 คู่เป็นรองเท้าใส่งาน ส่วนอีกคู่เป็นรองเท้ารับปริญญา หวังว่าปีหน้าจะแต่งตัวดีขึ้น ไม่เป็นอีป้าบ้างานแบบปีนี้
16. จริงจังกับแผนการชีวิตในอนาคตมากขึ้น เริ่มหาข้อมูลเรียนต่อ ข้อมูลสอบ Liceses ต่างๆเพื่อพัฒนาอาชีพตัวเอง ค้นพบว่าที่เรียนมา 4 ปีในมหาลัยมันเล็กมากถ้าเทียบกับสิ่งที่อยากทำและความฝันในอนาคต ไม่รู้ว่าปีหน้าจะเป็นยังไงก็จะขอสู้ให้ถึงที่สุด หวังว่าปีหน้าน่าจะต้องได้ Liceses อะไรซักใบและได้เปลี่ยนงานไปตำแหน่งที่เข้าใกล้ความฝันมากขึ้น
17. รู้สึก Cherish the moment มากขึ้น มีความสุขกับเรื่องเล็กๆน้อย ไม่ทำชีวิตให้ยากเหมือนเมื่อก่อน ตัดสินใจอะไรง่ายขึ้น ไม่สร้างข้อแม้อะไรเยอะแยะให้ตัวเอง พูดง่ายๆคือปีนี้เป็นปีที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยในระดับนึง เมื่อก่อนเป็นคนอกหักทุกวินาที ทวิตเตอร์คุมโทนเศร้า ปีนี้คือคุมโทนตลก รู้สึกว่าจริงๆความสุขมันไม่ได้อยากอะไรขนาดนั้น เราเองไปตั้ง Standard ให้มันว่าถ้าจะเป็นความสุขจะต้องเท่าๆนี้แบบนี้ๆ ทั้งที่จริงๆแล้วแค่ได้กินอาหารดีๆ ได้อาบน้ำอุ่นในวันอากาศหนาว อะไรพวกนี้ถือเป็นความสุขแล้วอ่ะ
สุดท้ายแล้วก็อยากจะขอขอบคุณตัวเองที่ต่อสู้มาจนจบไปอีกปี รักตัวเองเยอะๆนะ ทำดีที่สุดแล้ว โฟกัสที่ชีวิตตัวเองให้มากๆ จงใช้ชีวิตในแบบที่อยากเป็น ขอให้สู้ๆนะ ปีหน้าอาจจะดีกว่านี้หรือแย่กว่านี้ก็ได้ แต่แกแข็งแรงมากๆต้องผ่านมันไปให้ได้นะรู้ไหม ความพยายามไม่เคยทรยศใคร ซักวันความอดทนและความพยายามเหล่านี้จะตอบแทนแก
เป็นกำลังใจให้แกเสมอนะ
ตัวแกเองในปี 2017
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in