เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ว่ายพระจันทร์thisisnothing
ข้างขึ้น
  • 1

    ฉันเห็นเธอเกือบทุกวัน

    ฉันเห็นเธอเกือบทุกวัน แรก ๆ ไม่ใช่อย่างนี้หรอก แรก ๆ ฉันเหม่อลอย เดินทางไปทำงานในหัวตัวเอง รู้สึกตัวเพียงตอนก้าวเท้าออกจากบ้านกับอีกทีตอนสแกนนิ้วชี้เข้าที่ทำงาน

    ฉันอยู่กับเรื่องราวในหัวตัวเอง อาจฟังดูเพ้อฝัน มีจินตนาการ หรือแม้แต่โรแมนติก ทั้งที่จริงฉันก็แค่ไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้าง หากมีอะไรสักอย่างผิดจากปกติไป ชีวิตอาจย่ำแย่เพราะไร้การเตรียมตัว

    พูดแบบนี้แล้วฉันฟังดูเหมือนพวกรณรงค์ให้คนเงยหน้าจากจอโทรศัทพ์มาคุยกัน แต่ไม่ใช่หรอกนะ ได้โปรดอย่ามองฉันเป็นอย่างพวกนั้น ชีวิตเราไม่ได้มีเพียงขวาหรือซ้าย บนหรือล่าง ขาวหรือดำ เราไม่จำเป็นต้องเงยหน้าตามหาปฏิสัมพันธ์จากคนรอบข้างตลอดเวลา ขณะเดียวกัน เราเองก็ไม่ควรหลีกหนีโลกแห่งความเป็นจริงเข้าไปอยู่ในหัวตัวเองตลอดเวลาเช่นกัน อย่างน้อยก็ขณะที่กำลังเดินทางไปไหนมาไหนในโลกแห่งรูปธรรม

    เกริ่นอะไรใหญ่โตเสียยืดยาว ที่จริงฉันแค่อยากเล่าแค่เรื่องของเธอ

    ฉันเห็นเธอเกือบทุกวัน เป็นเพราะอยู่มาวันหนึ่ง ฉันกำลังปล่อยให้ตัวเองโคลงเคลงไปตามจังหวะการเคลื่อนไหวที่ไม่สวยงามนักของขนส่งมวลชนลอยฟ้า — เรียกว่าลอยฟ้าก็ไม่ถูก เพราะจะว่าไปรถไฟพวกนี้ไม่ได้ลอย แค่ไม่ได้แล่นบนถนนเหมือนยานยนต์ทั่วไป — มือข้างหนึ่งจับห่วงพลาสติก เมื่อรถหยุดที่สถานีระหว่างทาง ประตูเลื่อนเปิดออกจากกัน คนไหลทะลักพรั่งพรูเข้ามาพร้อมไอความร้อนชื้นเหนียว ปกติแล้วฉันจะไม่สนใจกิจกรรมประจำวันเช่นนี้เท่าไร แต่แล้วจู่ ๆ หนึ่งในผู้โดยสารที่เข้ามาใหม่ก็ทิ้งน้ำหนักใส่ฉันเต็มแรง

    เคราะห์ดีกระมังที่รถแน่นมาก ฉันจึงไม่ล้มลงไปกองกับพื้น ส่วนเธอ — ผมยาวเข้มตัดกับริมผีปากแดงอิ่ม — ใช้ไหล่ฉันเป็นที่เกาะเพื่อทรงตัว "ขอโทษค่ะ" เธอพึมพำ

    ฉันเกร็งมือจับห่วงพลาสติกให้แน่นขึ้น ดูเหมือนคนข้างหลังจะเป็นฝ่ายเบียดเธอเข้ามาอีกทีแต่ไม่ปริปากพูดอะไร ฉันเหลือบตาขึ้นมองหน้าเธอชั่วครู่แล้วสั่นหัวพร้อมยิ้มพอประมาณ "ไม่เป็นไรค่ะ"

    เธอยิ้มให้ฉัน ยิ้มกว้างพร้อมสายตาแสดงความเกรงใจชัดเจน ดวงตาชั้นเดียวล้อมกรอบด้วยขนตายาวสีเดียวกับเรือนผม แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีแดงส้มอ่อน ๆ พอให้ใบหน้ามีสีสัน

    เรายืนอยู่บริเวณที่ไม่สามารถเอื้อมจับเสาตรงกลางรถได้ ส่วนห่วงด้านบนก็โดนจับจองไปหมดแล้ว จะให้ฉันเสียสละห่วงของตัวเองให้ก็ออกจะประหลาดเกินไป บรรยากาศแปลก ๆ ชวนกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นระหว่างเรา ฉันหนีกลับไปหาเรื่องราวในหัวไม่ได้อีก

    เธอยกมือออก แต่ไม่นานนักรถก็เลี้ยวโค้งใหญ่ ทำให้เธอต้องอาศัยฉันเพื่อรักษาการทรงตัวอีกครั้ง

    มือของเธอยังวางอยู่บนไหล่ฉัน



    2

    หลังจากวันนั้น พอถึงสถานีของเธอ ฉันก็อดไม่นึกถึงเหตุการณ์ของเมื่อวานและห้ามตัวเองไม่ให้ชะเง้อคอมองหาดวงหน้าจิ้มลิ้มนั่นไม่ได้ ปกติฉันขึ้นรถแถวท้ายขบวน วันนี้ก็เหมือนกัน และดูเหมือนเธอเองก็มีนิสัยเหมือนฉัน เช้านี้ริมฝีปากไม่แดงเท่าเมื่อวาน เหมือนเธอจะแต่งหน้าอ่อนลงมาหน่อย ชุดกระโปรงแขนกุดสีดำยาวสวยงามเมื่ออยู่บนตัวเธอ

    ฉันคงจ้องนานเกินไป พอประตูเลื่อนปิดไม่นานนัก เธอก็หันมาสบตาฉัน ก่อนจะยิ้มพร้อมพยักหน้าให้อย่างเป็นมิตรหนึ่งที

    ฉันยิ้มตอบ แต่รู้สึกได้ว่ารอยยิ้มบนหน้านั้นค่อนไปทางแยกเขี้ยวมากกว่าจะสื่อความหมายอะไรในทางบวก

    เราไม่ได้แลกเปลี่ยนคำพูดกัน ต่างฝ่ายต่างลงจากรถเมื่อถึงที่หมายของตนเอง



    3

    ฉันชะเง้อคอคอยดูเรือนผมดำขลับและแก้มที่ปัดเครื่องสำอางสีแดงอ่อนเมื่อรถจอด ผู้คนไหลเข้าออกมากมาย แต่ไม่พบคนที่มองหา

    ฉันก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือข้างซ้าย ความคิดแว่บเข้ามาในหัวชั่วขณะ จินตนาการภาพตนเองเดินลงที่สถานีนี้

    เสียงเตือนปิดประตูดังแสบแก้วหูก่อนประตูจะปิดลง ฉันปล่อยให้รถพาร่างไปถึงที่หมาย

    ความคิดยังคงติดอยู่ที่สถานีนั้น



    4

    เราสบตากัน

    "สวัสดีค่ะ" เธอเอ่ย เสียงแผ่วเบา สำหรับฉันเท่านั้น

    "สวัสดีค่ะ" ฉันยิ้ม-แยกเขี้ยวให้เธอ



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in