บนโลกที่ทุกสรรพสิ่งเวียนว่ายไปตามกระแสของมันซึ่งยากจะบอกว่านั่นใช่ตัวตนหรือแก่นสารแท้จริงของมันหรือไม่ หาใช่เรื่องง่ายในการจะหาคำตอบที่น่าพอใจให้กับคนรอบข้างหรือแม้กระทั่งตัวเองว่าทิศทางที่สองเท้าของเราได้ก้าวเดินไปนั้นหมายถึงสิ่งใด อาจเป็นสักวันข้างหน้าที่เราหันหลังกลับมาแล้วยิ้มให้ตัวเองในอดีต หรือทอดสายตาอาลัยอาวรณ์พร้อมรอยยิ้มเศร้าที่แขวนอยู่บนมุมปาก หลายต่อหลายครั้งที่เราเฝ้าตั้งคำถามต่อตัวเองถึงอะไรบางอย่างที่ยากจะระบุลงไปว่ามันคืออะไร เป็นการตอบคำถาม การค้นหา หรือการพิสูจน์ว่าสิ่งไร้ชื่อเรียกที่ว่านั่นดำรงอยู่ อาจเป็นสักที่แห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ ในตัวของเราเอง หรือไม่แม้แต่จะเคยมี ทำให้ลมหายใจที่พ่นรดดูจะสูดเข้าและเป่าออกอย่างว่างเปล่าและไร้ซึ่งเป้าหมาย
วันที่ 17 ก.ค. 2018 เป็นวันที่เราเขียนบันทึกนี้ขึ้นด้วยความรู้สึกบางอย่างหลังกจากที่ภาระหน้าที่กดเราเอาไว้จนยากจะหาเวลาแม้แต่การนอนร้องไห้ อะไรบางอย่างที่ไม่สามารถระบุชื่อเรียกทำให้เรารู้สึกอึดอัดจนต้องหยิบคีย์บอร์ดขึ้นมาเคาะบ้างเล็กน้อยด้วยหวังว่ามันจะบรรเทาความรู้สึกที่ยากลำบากเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นหรือกระทั่งชื่อที่อาจจะหาได้ในตอนท้ายหรือไม่ได้เลยของบทความที่กำลังดำเนินอยู่นี้ล้วนยากต่อการจะระบุชื่อเรียกไม่ต่างกันกับความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นหลังม่านหมอกของอารมณ์ เราเป็นแบบนี้อยู่เสมอ เป็นอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะสามารถเจียดเวลาออกจากหน้าที่หรือแม้แต่จะเรียบเรียงมันออกมาเป็นตัวอักษรได้
ครั้งหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เราเคยเชื่อว่าการเรียบเรียงอะไรบางอย่างออกมาเช่นนี้จะทำให้ก้อนความรู้สึกเหล่านั้นเบาบางลง และเราเชื่อแบบนั้นมานานอยู่หลายปี เพื่อจะพบว่ามันไม่เคยจากไปไหน ในเวลาที่มันคล้ายกับจะหายจากไปเป็นเพียงการพักผ่อนเล็กๆของมันเช่นเดียวกับการนอนหลับจึงถือเป็นเรื่องธรรมดาหากสักวันหนึ่งมันจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันทำให้เรายากลำบาก ทุกครั้งที่มันตื่นขึ้น การใช้ชีวิตของเรานั้นล้วนแล้วแต่จะเต็มไปด้วยความเหนื่อยยากที่ชวนให้รู้สึกเหนื่อยล้า การพบปะผู้คนกลายเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจจนอยากหลีกเลี่ยงให้พ้นไปในทุกกรณี ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นใครก็ไร้ซึ่งความแตกต่าง ความเงียบที่รายล้อมอยู่โดยรอบเปลี่ยนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างไร้เหตุผลยามที่เราได้ใช้เวลาด้วยกันตามลำพัง เราแค่อยากอยู่แบบนั้น นอนหลับตาหรือมองเพดานที่ว่างเปล่า มีภาวะสุญญากาศห่มอยู่รอบตัว และภาพสีใสที่ไม่ถูกบรรจุหรือบรรจุสิ่งใดข้างในสมอง
เรามีคำถามต่อตัวเองเต็มไปหมด แต่ทุกคำถามล้วนแล้วแต่ไร้ซึ่งคำตอบไม่ว่าจะพยายามหามานานเพียงใด คำถามที่เคยคิดว่าได้รับการแก้ไขกลับมาหนักอึ้งเหมือนก้อนอิฐถ่วงอยู่ในสมองอีกครั้ง
แม้จะได้ทำในสิ่งที่คิดว่าดีหรือเหมาะสม ได้ทำในสิ่งที่คิดว่าทำให้ก่อซึ่งความสุขขึ้นมา ทั้งหมดที่เหลือทิ้งไว้ในตัวเรากลับมีแต่ความว่างเปล่าและความโศกเศร้า เราเจ็บปวดอย่างไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น อ่อนล้าและเหนื่อยยากเหมือนกับวิ่งบนเส้นทางชีวิตมานานแสนนาน และมันยังคงทอดยาวราวกับปราศจากเส้นชัยที่ครั้งหนึ่งเราต่างเชื่อว่ามันเคยมีอยู่ สิ่งที่เราเรียกหาในช่วงนี้จึงมีแต่การหยุดพัก ขอพักแม้เพียงสักชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี แต่มันกลับไม่เคยเกิดขึ้นเลย
เราหยุดตัวเองไม่ได้ สั่งให้ร่างกายผ่อนคลายและพักผ่อนไม่ได้ทั้งที่ภาระหน้าที่ที่พึงกระทำในตอนนี้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ความรู้สึกยากลำบากยังอยู่ ร่างกายที่แสนอ่อนล้ายังคงอ่อนแรง เช่นกันกับก้อนความสุขที่เดินหนีกันไปยังไม่ยอมกลับมา
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่สิ่งที่เราเคยทำแล้วคืนความสุขกลับมาให้ได้หายไปจากเรา แม้จะทำแบบเดียวกันกับที่เคยทำในอดีต แต่อะไรที่ได้คืนกลับมาหาใช่ความสุขเหมือนแต่ก่อน และพอความสุขหายไป อะไรๆมันก็ยากลำบากไปเสียหมด เรามีทั้งคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ อีกทั้งยังมีช่องว่างที่ไม่ถูกถมให้เต็มจากความสุขที่หายไปด้วย
หากไม่จำเป็น เราไม่อยากสื่อสาร พบปะ หรือพูดคุยอะไรกับใครเลย และการทำตัวให้เป็นปกติ ซึ่งหมายถึงเหมือนกับตัวเองในวันอื่นๆ กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกถึงความยากลำบาก
‘แค่ใช้ชีวิตให้เหมือนตัวเองเมื่อวาน ทำไมมันถึงยากลำบากได้มากขนาดนี้นะ?’ — หนึ่งในคำถามที่เรามีต่อตัวเองและยังไม่สามารถให้คำตอบได้
เราพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด อาจเพราะไม่ได้ยินคำถามที่ตัวเองก็ยังตอบไม่ได้จากคนอื่น พยายามยิ้มและหัวเราะให้เป็นปกติที่สุดด้วยหวังว่านั่นจะคืนความปกติและความสุขให้เราไม่ก็ใครคนอื่นได้บ้าง และในเวลาที่ความเงียบอยู่กับเราเพียงลำพัง สิ่งที่เราพยายามฝังมันเอาไว้ก็จะลอยเอ่อขึ้นมา แต่ละวันเป็นไปแบบนั้น วันแล้ววันเล่า และเราไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
สิ่งที่เรารู้มีแค่เราเหนื่อย เราอยากพอแล้ว เราอยากหยุด หรือไม่ก็หาทางออกสักทางที่จะพาตัวเราหลุดออกจากความรู้สึกนี้แต่เราไม่รู้ซึ่งวิธีการหรือเส้นทางเหล่านั้น การพบเจอพลังบวกหรือผู้คนที่ดี ซึ่งเราเคยคิดว่านั่นเป็นหนึ่งในวิธีการที่จะทำให้ตัวเราคืนรูปสู่ตัวเองในสภาวะปกติสามารถเยียวยาเราได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ ตรงกันข้ามกับความอ่อนล้าที่กลับมาหาเราอย่างรวดเร็ว
เรามีแต่คำว่าเหนื่อยและก้อนสีเทาอยู่ในหัว ซึ่งนานวันมันยิ่งรบกวนเรามากขึ้นเรื่อยๆ และเราเหนื่อยกับการบอกตัวเองซ้ำๆ ให้ความหวังตัวเองทุกวัน ว่ามันจะหายไปในสักวันหนึ่ง
เราแค่อยากหยุด อยากบอกว่าพอแล้ว ตอนนี้เราต้องการเพียงเท่านั้น
แค่นั้นจริงๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in