เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyfarah_chaitrong
Marriage Story - คำว่า รัก มันยังไม่พอ
  • Marriage Story คำว่า รัก มันยังไม่พอ

    ฉันว่า ฉันกำลังนั่งดูหนังรักแม้จะอ่านรีวิวผ่านตามาบ้างแล้วว่า เป็นหนังหย่าร้างและประสบการณ์ส่วนตัวของผู้กำกับเอง

    ที่สำคัญกว่านั้น ฉันไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมใดๆกับความรัก หรืออะไรเถือกหย่าร้าง แยกย้ายแบบนี้เลย อ่ะตัดเรื่องประสบการณ์ส่วนตัวอะไรออกไปได้เลย

    ... แต่เมื่อเริ่มต้นฉันพบกว่าตัวเองอินมาก เข้าไปนั่งมองเหตุการณ์ระยะใกล้แบบเอาหัวใจไปรู้สึกเกินไปด้วยซ้ำT_T คนขี้แงแบบฉันร้องไห้เป็นบ้าไปเลยแหละ

    ถ้ารักกันแล้วเลิกกันทำไมหรือเพราะว่าไม่ได้รักกันแต่แรก หรือรักกันน้อยไป หรืออะไรกันแน่

     ระหว่างทางหนังบอกเราตลอดเลยว่าสองคนรักกัน ผู้หญิงก็รัก เป็นผู้ดูแล เป็นคนปกป้อง มีความเป็นแม่ (Motherhood) สูงเฉียดฟ้า ก็ไอ้ฉากง่ายแบบ ตัดผมให้ทั้งพ่อลูก ฉากรู้ใจรอรับฟังคำคอมเมนท์ของผู้กำกับส่วนตัวของตัวเอง แม้แต่ตอนจะแตกหักมานั่งหาทางออกปัญหาครอบครัวโดยให้บุคคลที่3 เข้ามาเกี่ยว ฝ่ายชายประสบปัญหาเล็กน้อย เช่น เลือกว่าจะกินอะไร เธอยังยื่นมือเข้าไปช่วยเลือกอาหารให้แบบคนรู้ใจเขาทำกันแล้วในด้านพระเอกเองก็ใช่ว่าจะเหลวแหลก ไม่เอาไหน แต่กลับเป็นมนุษย์ที่รักของทีมทำงานของตัวเองเป็นพ่อ เป็นระเบียบ รับผิดชอบ ทำกับข้าวเองยังได้ แถมบอกว่ารีดผ้าได้ด้วย (ถ้าเทียบมาตรฐานพ่อเอเชียแบบของฉัน) เรียกว่า งานนี้เป็นผู้ชายที่อยู่ระดับสูงกว่ามาตรฐานไปเสียด้วยซ้ำแต่ถ้าเป็นฝั่งตะวันตก ชาติที่มองเห็นความเท่าเทียมและกระทำการแสดงความเท่าเทียมออกมาอย่างชัดเจนคงมองว่ามันปกติมาก แต่สำหรับฉันไม่นะ

    พอเรื่องเริ่มเล่าต่อไปในช่วงชั้นตอนของการตกลงแยกย้ายอย่างสันติที่สุด กลับวุ่นวายและหน้าเวียนหัวที่สุดทั้งตัวแปรสำคัญคือ ลูก และอีกหนึ่งสิ่งมีบทบาทสำคัญ คือ สถานที่และพื้นที่ (space) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทั้งเรื่องผู้กำกับแสดงให้เราเห็นว่า สถานที่ในแง่เมืองที่อยู่อาศัยอ่ะ ง่ายๆก็สิ่งแวดล้อมมีส่วนหล่อหลวมความเป็นร่างกายจิตใจของเรา (น่าจะเห็นและเริ่มเดาได้ตั้งแต่ปล่อยโปสเตอร์เวอร์ชั่นหญิง-ชายด้วยภาพของเมืองเป็นเงาสะท้อน ความต่างของ LAและ New York  สะท้อนวิธีคิด ความเป็นตัวตน(Self )ของแต่ละคนได้มากโข)  (shorturl.at/jvER5)


    ฉันว่าเมืองที่เราอยู่หล่อหลอมความเป็นเราได้ชัดเจนมากเลยแหละจุดสำคัญที่มาถึงทางแยกของคนสองคนก็จะเป็นเรื่อง เมือง และพื้นที่ของทั้งสองคน ที่ผลักดันตัวตนของเรามันไม่ตรงกันแล้วอาจจะเกิดคำว่า ที่ผ่านมาอยู่กันมายังไงทำไมถึงเพิ่งรู้ เรากลับรู้สึกว่า เวลาที่นานมากพอเช่นนี้แหละที่บอกว่าที่ที่เรา “เลือกอยู่มันอาจจะไม่ใช่ บ้าน ทั้งทางกายภาพและจิตใจ (physically and mentally) ที่เราตามหาก็เป็นได้

    นั่งดูไป ตัวฉันมองว่า เมืองน่าจะส่งเสริมอุ้มชูคนทั้งสองไปด้วยกันไม่ใช่คนใดคนหนึ่งกำลังดื่มด่ำ เติบโต อีกคนกำลังถูกกลืนและทิ้งไว้ข้างหลัง(อย่าเกลียดคำนี้นะ เราว่ามันเหมาะ) ตอนนางเอกพยายามสื่อสารให้คนรอบข้างทั้งตัวสามีและทนายแม่ ครอบครัวเข้าใจว่า ฉันต้องแยกจากกันกับคนรัก เพราะนางเอกรู้สึกว่าตัวตนของตัวเองหายไปที่ผ่านมาทำหน้าที่ตามเส้นทางไหลไปกับสามีและครอบครัวอย่างเดียว ถ้าคนฟังเฉยๆอาจจะมีเครื่องหมายคำถามใหญ่ที่หน้าว่าอะไรอ่ะ เธอเป็นไรมากไหม แต่ถ้าได้ดูเนื้อหาที่หนังสื่อ คำพูดบวกกับการแสดงของสกาเล็ตหน้าตาจะร้องไห้ จมูกแดงตลอด น้ำตาคลอจะไหลเรื่อยๆ ทำฉันว่า ฉันเข้าใจมาก ฉันพยายามเป็นคนอื่นเหมือนที่เธอทำการแสดงตามที่ผู้กำกับเลือกกำกับทิศทางไว้แล้ว

    เหมือนจะเป็นหนังหย่าร้างธรรมดาของคนรักธรรมดาฉันกลับพบว่า รสชาติของหนังคือตัวประกอบทั้งหมดของหนังนะ ปรุงจนกลมกล่อมมากที่แน่ๆก็ คุณทนาย ที่บทเข้าปากมาก แม่เจ้าทำไมมันดูเสียดสี จิกกัด แสบสันได้ขนาดนี้หรือบทเล็กๆอย่างคุณแม่นางเอก ที่ลูกแยกไปเติบโต วนกลับมาหา ความเป็นแม่” ก็ยังเหมือนเดิม หรือบทน้องสาว ที่โผล่มาไม่กี่นาทีแต่ฉันชอบมาก หลงรักไปเลย

    เหมือนที่พูดมาทั้งหมดฉันจะให้น้ำหนักไปทางผู้หญิงในเรื่องมากเลยนะ ฉันยอมรับว่า ใช่ แต่ไม่กล่าวถึงตัวพ่อไม่ได้คุณอดัมทำได้เยี่ยมมากจริงๆสมที่เป็นตัวเก็งทุกเวทีเลยไหมนะ คนส่วนใหญ่อาจจะชมฉากร้องเพลงฉันกลับชอบฉากอ่านข้อความของภรรยาไปพร้อมๆกับลูกชายมากกว่า เมื่อการเดินทางจบลงแล้วทุกอย่างชัดเจนแล้ว ท่าทางกลั่นน้ำตาเพราะนางเป็นคนอ่อนไหว มันทำให้ฉันน้ำตาไหลตามนะ

    สุดท้ายฉากระเบิดอารมณ์ใส่กันอันลื่อลั่น มันทำให้รู้ว่าทั้งหมดทั้งมวล2 คนนี้รักกันแต่อยู่กันไม่ได้ และอธิบายให้ฉันเข้าใจกับคำที่คนชอบพูดว่า เราไม่ได้ไม่รักกันนะแต่เราเข้ากันไม่ได้จริงๆ

    สวัสดีค่ะ

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in