เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
bluesgiftmeme
blue light
  • (สิบชั่วโมงที่แล้ว)

    "คืนนี้ บลูไลต์ สองทุ่ม"

    สักวันหนึ่ง ถ้าวันนั้นมาถึงและถ้าเกิดเขานึกอุตริเขียนถึงชั่วขณะนั้นออกมาเป็นบทภาพยนตร์ คริสมั่นใจว่าตัวเองเห็นประโยคแรกบนหน้ากระดาษอย่างแจ่มแจ้ง: วันเสาร์ สิบโมงเช้า ภายในร้านกาแฟตรงข้ามแฟลตแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มผมบลอนด์อายุราวๆ ยี่สิบกำลังนั่งเขียนบทร่างที่สี่ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าในอีกสิบนาทีข้างหน้า เขาจะได้จินตนาการถึงสถานการณ์ที่เพิ่งพ้นไปในรูปแบบเดียวกัน เหมือนฝันซ้อนฝัน เมื่อผู้ชายสถานะกึ่งแปลกหน้าคนนั้น (รุ่นราวคราวเดียวกัน ตัวผอมบาง ผมน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีฟ้าที่นิยามไม่ได้ และมีชื่อชวนเขย่าขวัญ) เดินโฉบผ่านโต๊ะริมหน้าต่างและเอ่ยถ้อยคำปริศนาสามคำที่ทำให้คนฟังต้องถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง คืนนี้/บลูไลต์/สองทุ่ม ฟังดูเหมือนการนัดหมายลึกลับที่ตัวละครเซ่อซ่าคนนั้นอาจถูกลากไปฆาตกรรม หรือไม่อย่างนั้น จังหวะจะโคนและน้ำเสียงที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยออกมาก็ทำให้เขานึกถึงกลอนเปล่าสมัยใหม่อย่างบอกไม่ถูก

    "อะไรนะ" ตัวละครชายผมบลอนด์ถาม

    "ถ้าว่างก็มา" ตัวละครปริศนาตอบ ถึงแม้จะไม่ใช่คำตอบของคำถามนั่นสักเท่าไร ก่อนที่เขาจะเดินออกจากร้านกาแฟเล็กๆ ไปอย่างไม่มีพิธีรีตองแบบเดียวกับตอนที่เข้ามา ทิ้งให้คนที่เพิ่งถูกจู่โจมในร้านมองตามไปจนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายเข้าไปในแฟลตฝั่งตรงข้าม ตัวละครชายหน้าซื่อคนนั้นถึงได้รู้ว่า (เสียงวอยซ์โอเวอร์) ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย พ่อหนุ่มคนนั้นย้ายมาพักอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนนี่เอง

    คริสยกชาขึ้นดื่ม ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันและฉับพลันเกินไป ข้อสรุปที่ได้นั้นเรียบง่าย หนึ่ง) ชาในถ้วยเย็นชืดไปแล้ว และสอง) ตัวละครหนุ่มผมบลอนด์ยังจะมีทางเลือกอะไรอีกนอกจากไปที่นั่น ส่วนเขาในฐานะคนเขียนบทจะทำอะไรได้อีกนอกจากสานต่อบทสนทนากระท่อนกระแท่นนั้นให้จบ 


    (สองชั่วโมงที่แล้ว)

    "นายจะดื่มไอ้นั่นในนี้จริงๆ เหรอ" คิลว่า 'ไอ้นั่น' ที่เขาหมายถึงก็คือชาในกระติกที่คริสพกใส่กระเป๋าเสื้อโค้ตตลอดเวลา และ 'ในนี้' ก็คือไอริชผับเล็กๆ ที่มีคนหนุ่มวัยทำงานถึงวัยกลางคนนั่งดวดเบียร์ยามค่ำกันอยู่ "รู้ไหมว่ากระติกนั่นดูตลกชะมัด"

    คริสอยากจะตอบว่าเขารู้ดี แต่บางอย่างดลใจให้เขาเลือกพูดออกไปว่า "มันคือโทเท็มของผม" ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะกลิ่นบุหรี่เจือแอลกอฮอล์ที่ทำให้เขามึนหัวนิดๆ และเสียงดังจ้อกแจ้กเป็นพื้นหลังที่ทำให้เขานึกว่าจะพูดอะไรออกไปก็ได้ แน่นอนว่าผู้ที่เชื้อเชิญเขามาที่นี่ส่งสายตาที่มีเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเริ่มมาให้ การตีความนัยน์สีฟ้าเย็นยะเยือก (ซึ่งดูจะเป็นสีฟ้าอย่างเดียวในสถานที่ที่ชื่อบลูไลต์) นั่นไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ ในเมื่อมันสื่อความออกมาอย่างไม่ปิดบังว่า "อะไรวะ" ทุกครั้งที่คริสสบตาด้วย

    "มันเอาไว้ตรวจสอบว่าผมไม่ได้ฝันอยู่" 

    "นายนี่หมกมุ่นกับอะไรนามธรรมจังนะ คราวก่อนก็เรื่องเวลา" คิลเอนหลังกับเก้าอี้ รอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากนั้นเป็นของใหม่ที่คริสยังไม่เคยเห็น "ถ้านายฝันอยู่ ชาในกระติกนั่นจะกลายเป็นวอดก้างั้นเหรอ"

    คริสยักไหล่ อันที่จริงเขาก็ไม่เคยรู้ พ่อหนุ่มนักดนตรีส่ายหน้า ก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วหยิบกีตาร์ขึ้นมา ตอนแรกคริสก็พอจะอนุมานได้ว่าการมานั่งจิบเหล้ากระชับความสัมพันธ์คงไม่ใช่จุดประสงค์หลักของการชักชวนในคราวนี้ แต่คนอย่างคิลก็ห่างไกลจากพวกที่ขาดความมั่นใจจนต้องพาใครมานั่งชมการแสดง ทุกอย่างดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดนตรีในมืออีกฝ่ายไม่ใช่กีตาร์ไฟฟ้าเจ้าปัญหาตัวนั้น แต่เป็นกีตาร์โปร่งซึ่งดูผ่านอะไรต่อมิอะไรมาอย่างโชกโชน

    "ชอบเดอะบีเทิลส์หรือเปล่า"

    "ถ้าตอบว่าไม่ ผมจะโดนถอนสัญชาติหรือเปล่า" 

    "ให้ตายเถอะ —"

    "ชอบสิครับ"

    "แม็คคาร์ทนีย์หรือเลนน่อน"

    "แม็คคาร์ทนีย์กับเลนน่อน"

    คิลยิ้มเป็นครั้งแรก ถ้าจะเรียกการกัดริมฝีปากเหมือนพยายามหักห้ามใจไม่ยิ้มว่ายิ้มเหมือนกันล่ะก็ คริสรู้สึกว่าท้ายที่สุดเขาก็เป็นเพียงนักเรียนที่ต้องการตอบคำถามให้อาจารย์พึงพอใจ ใครสักคนเรียกคิลให้ขึ้นเวทียกพื้นเล็กๆ ที่มุมร้าน ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างว่องไว ภายในพริบตาเดียวคอร์ดแรกของเพลงก็เริ่มบรรเลง ไม่ใช่เพลงร็อคเกรี้ยวกราดชวนให้ไล่ออกจากแฟลตเมื่อสองอาทิตย์ก่อน แต่เป็นดนตรีแสนเรียบง่ายอ่อนหวาน ทว่าอานุภาพรุนแรงมากพอที่จะตบหน้าคริสและบอกข้อเท็จจริงที่ว่า "เฮ้ นายไม่รู้จักฉัน" และใช่ — นอกจากดวงตาคู่นั้นที่เขาพยายามค้นหาความหมาย เขาไม่รู้จักอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

    คริสลืมหยิบแว่นมาใส่ เขาจึงไม่รู้ว่าคิลกำลังยิ้มเยาะเขามาจากอีกฟากของห้องหรือไม่ แต่เมื่อเขายกชาขึ้นมาดื่มอีกครั้ง คราวนี้รสชาติของมันเริ่มคล้ายกับวอดก้า


    (ตอนนี้)

    "ตัวแทนจากค่ายเพลงงั้นเหรอ เชื่อเขาเลย" 

    คริสจำไม่ได้ว่าเขาแตะแอลกอฮอล์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่และตอนไหนที่เขาหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง คิลหัวเราะประสานเสียง คอยดึงเขาไม่ให้เซจนล้มลงข้างทาง แม้แต่ส่วนสูงที่แตกต่างและกระเป๋ากีตาร์ที่ใหญ่เกือบเท่าตัวจะทำให้ลำบากไปสักหน่อย คริสเองก็เพิ่งตระหนักว่าแท้จริงแล้วหนุ่มนักดนตรีตัวจิ๋วแค่ไหน ในเมื่อวาจาและท่าทางของคิลมักทำให้เขาดูตัวใหญ่กว่านี้สามเท่าเห็นจะได้

    "นายเป็นคนเดียวในลอนดอนที่ฉันรู้จักที่น่าจะรับบทบาทนั้นได้" คิลหัวเราะชอบใจ "หมู่นี้ฉันเห็นคนจากค่ายเพลงตามมาดูเรื่อยๆ ดังนั้นใช้นายเป็นตัวลวงว่าเขามีคู่แข่งก็น่าจะดี" 

    นั่นอธิบายการจับมือเขย่าอย่างเป็นการเป็นงานเมื่อการแสดงจบลง รวมถึงคำพูดลอดไรฟันว่า "เลี้ยงเหล้าฉันสิ" จนพากันเมาไปหมด คริสไม่ถนัดการแสดงนัก แต่ถ้าเป็นการแสดงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่ากำลังตบตาใครอยู่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหลือเชื่อเหลือเกิน เขาคิด นี่ไม่น่าจะใช่เรื่องจริง แต่ช่วยไม่ได้ที่ชาของเขาหมดเกลี้ยงกระติกไปนานแล้ว

    "ราตรีสวัสดิ์ นักดื่มชา" คิลโบกมือลา "เฮ้ แฟลตนายอยู่ทางโน้น"

    "คุณร้องเพลงเพราะมาก" คริสรู้สึกว่าสมองส่วนหน้าของเขาเริ่มไม่อยากทำงานและปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติเข้ามาจัดการแทนที่ น่าเสียดายที่พรุ่งนี้สิ่งที่เหลืออยู่จะมีเพียงแค่อาการปวดหัวตุบๆ และความทรงจำไม่ปะติดปะต่อ "กีตาร์นั่นด้วย คุณน่าจะเอาดีทางนี้ เวรล่ะ ผมเข้าใจทุกอย่างผิดหมด ให้ตาย คุณเป็นใครกันแน่"

    ไม่มีคำตอบอื่นใดนอกจากเสียงหัวเราะที่เขาได้ยินเป็นเสียงสุดท้ายก่อนผล็อยหลับไปในคืนนั้น



    เช้าวันรุ่งขึ้น คริสไม่แน่ใจว่าเขาตื่นขึ้นมาในความฝันหรือความจริง ระหว่างรอให้น้ำในกาเดือดเพื่อชงชา เขาเริ่มต้นเขียนบทร่างที่ห้าอีกครั้ง



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
callmesaowwhy (@callmesaowwhy)
เราชอบงานเขียนคุณมากๆเลยนะค้า