หลายครั้งที่ในนิทาน จบลงด้วยคำว่าแล้วทั้งสองก็แต่งงานและอยู่อย่างมีความสุขตลอดไป
หลายครั้งในงานแต่งงาน ผู้คนต่างอวยพรให้คู่บ่าวสาวอยู่ด้วยกันตราบดินจรดฟ้า มีความสุขกับชีวิตคู่ไปจนกว่าความตายจะมาพรากทั้งสอง
หลายครั้ง เราเห็นสาวน้อยนั่งเฝ้าฝันถึงวันที่จะได้สวมชุดลูกไม้สีขาวและมีใครสักคนที่มีรักมั่นในตัวเธอมารับไปอยู่ด้วยกันอาจจะเป็นเจ้าชายบนหลังม้าสีขาวพ่วงพี อาจจะเป็นเศรษฐีในบ้านหลังใหญ่หรืออาจจะเป็นผู้ชายธรรมดาสักคน ที่รักเธอหมดหัวใจ
วันนี้ ฉันถามป๊า ในเช้าวันธรรมดาของการไปทำงาน
' ป๊าคะทำไมป๊าถึงขอม่าม๊าแต่งงาน '
ป๊าคงจะประหลาดใจเลยหัวเราะแล้วถามว่า ถามทำไม
จริงๆ พราะช่วงนี้ มีหลายคนในชีวิตของฉัน ทั้งแต่งงานบ้าง หย่าร้างบ้างพึ่งจะมีลูกบ้าง ไม่ก็ มีเรื่องกับแม่สามีบ้าง เป็นเรื่องเล็กน้อยแหละแต่ก็ได้ยินผ่านๆมาทำให้อดสนใจไม่ได้
ป๊าให้คำตอบว่า เพราะป๊าเลือกแล้วว่าอยากจะอยู่กับคนนี้ ฉันก็เลยถามต่อไปอีกว่า แล้วรู้ได้ยังไงว่าม่าม๊าเป็นคนที่อยากจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต
ป๊าเงียบไปแปบนึง (คงจะนึกว่าลูกสาวตัวเองเพี้ยน มาถามอะไรแบบนี้แต่เช้า) แต่ป๊าก็ตอบ
' คนเรานะลูก ไม่มีทางรู้หรอกว่า ในวันข้างหน้า จะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างชีวิตมันก็ไม่แน่นอนแบบนั้นแหละ เราใช้ชีวิตอยู่สามวัน คือเมื่อวาน วันนี้และพรุ่งนี้ ชีวิตคนเรามันก็เหมือนหนังสือ เมื่อเราเจอเรื่องราวอะไรในวันนี้ไม่ได้หมายความว่าวันพรุ่งนี้เราต้องเจอกับมันอีก เราอ่านไปข้างหน้าและเนื้อเรื่องก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงบทสุดท้ายที่เราเองก็ไม่รู้อีกน่ะแหละว่ามันจะจบแบบไหนอาจจะต่างจากหนังสือบ้างตรงที่ถ้าเราใจร้อน เราก็จะรีบเปิดไปดูหน้าสุดท้ายแต่ชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าหน้าสุดท้ายจะอยู่ตรงไหน จนกว่าเวลานั้นจะมาถึงจริงๆ '
ฉันนั่งฟัง แล้วได้แต่รู้สึกกลัว ไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ (ซึ่งจริงๆ ตอนนี้ก็พ้นวัยเด็กมาได้พักนึงแล้วล่ะนะ) พอบอกป๊าไปแบบนั้น ป๊าก็เอาแต่หัวเราะ
' มันต้องมีบ้าง เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าต้องเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจ วันนี้หนูอาจะผิดหวัง แต่ในความผิดหวังหนูจะได้รู้ว่าหนูทำอะไรพลาดตรงไหน เหมือนเวลาป๊าปลูกกะหล่ำ ปลูกปีแรก ทำไมลูกไม่โตเหมือนของคนอื่น แทนที่ป๊าจะมานั่งคิดโกรธว่าทำไมของเราไม่เหมือนที่คิดไว้ หรือไม่เหมือนคนอื่น ป๊าจะได้รู้ว่า อ๋อ เราใส่ปุ๋ยไม่พอรึเปล่านะ เรารดน้ำน้อยเกินไปใช่มั้ยนะ พอปลูกครั้งที่สอง มันก็จะดีกว่าเดิม ถ้ายังโทษคนอื่นปลูกกี่ครั้งมันก็จบลงที่เดิม เพราะเราไม่รู้จักตัวเอง
ถ้าคนเรา รู้จักตัวเองมากกว่าที่รู้จักคนอื่น หรือสนใจตัวเองมากกว่าสนใจคนอื่น หรืออย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองเป็นยังไงมากกว่ารู้ว่าคนอื่นเป็นยังไง เราอาจจะมีความสุขมากกว่าเดินขึ้นอีกหน่อย หรือไม่ก็รู้สึกดีกับตัวเองขึ้นอีกหน่อย และไม่คิดถึงตอนจบเหมือนในนิทานรึเปล่านะ
ถ้าเป็นแบบนั้น เราอาจจะไม่ต้องรองานแต่งงานและการอยู่อย่างมีความสุขไปชั่วกาล
ถ้าเป็นแบบนั้น เราคงอวยพรบ่าวสาวให้มีความสุขในวันนี้ที่จับต้องได้มากกว่าอนาคตที่ยังมองไม่เห็น
ถ้าเป็นแบบนั้นเราคงฝันสีชมพูถึงตัวเองที่จะมีความสุขมากพอจะแบ่งปันให้ผู้อื่นและกล้าที่จะมอบความรักโดยไม่ต้องรอให้ใครเข้ามามอบให้ก่อน หรือเปล่านะ?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in