……….
ตอนที่ 12 : เปิดศึก
“แต่ตอนนี้นายต้องรีบหายากินโดยด่วน” อ๋องพยุงร่างอันหนักอึ้งของผมออกจากห้องครัวผ่านเศษซากข้าวของที่แตกพังเสียหายเดินอ้อมเพื่อจะออกจากเคาน์เตอร์ ร่างเจ้าหน้าที่ยังนอนอยู่กับพื้นรู้สึกเหมือนหัวจะฟาดกับขอบอะไรสักอย่างเพราะเลือดออกมานองพื้นบริเวณที่ศพอยู่
“ต้องรีบไปแล้วครับหัวหน้า” ลูกทีมตะโกนบอกกับอ๋องที่กำลังเดินออกจากร้านลูกทีมพยุงร่างนอร่าไว้กับตน โดยมีริกยืนกุมท้องอยู่ข้างหลัง
“เกิดอะไรขึ้น” อ๋องถาม แต่คงไม่ต้องการคำตอบอีกแล้วเมื่อตนเห็นฝูงอมนุษย์กลุ่มใหม่กำลังวิ่งมาทางพวกตนมากมาย
“ยังดีที่เป็นพวกนี้” ผมบอกกับอ๋อง เพราะเท่าที่เห็นมีแต่พวกที่วิ่งเร็วอย่างเดียวมันก็ไม่ต่างกับพวกธรรมดาเท่าไร แต่แล้วเสียงใบพัดขนาดใหญ่พร้อมกับแรงลมมหาศาลก็เกิดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ปรากฏอยู่เหนือหัวพวกตน
“ทำไม...”
“ผมบอกให้ลูกทีมคุณเรียกมาเอง” ผมบอกกับอ๋องที่กำลังใจใจเมื่ออยู่ๆกำลังเสริมก็มา
“ดีมากๆ พวกเราบวกกับพวกมันไม่ไหวแล้ว ทั้งร่างกายและอาวุธตอนนี้” ริกพูด
ฮ. ลงเทียบพื้นช้าๆพวกเราทั้งหมดเขยิบออกเป็นวงกว้างยกมือขึ้นป้องลมที่เกิดจากใบพัดที่หมุนรอบอย่างรวดเร็วฝูงซอมบี้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พวกเราทั้ง 4 เท่าที่เหลือ ปีนขึ้นห้องหลังคนขับก่อนที่คนขับจะพาเครื่องขึ้นฟ้า
“อ้ากก !” ผมดึงมีดสั้นออกจากหน้าท้องตัวเองเลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาแทบทันที
“เจ้าบ้าเอ้ย ! ทำไรปรึกษากันก่อนสิวะ” ริกตะคอกเมื่อเห็น
“เอายามาเร็วเข้า” อ๋องตะโกนสั่งลูกทีมผมรู้สึกอ่อนล้าเต็มที ร่างกายหนักอึ้ง ไม่รู้สึกถึงแรงขยับของกล้ามเนื้อ
“ยาถอนพิษด้วยก็ดี” ผมพูดเสียงค่อย
..........
“ราฟ เร่งฝีเท้าให้เร็วกว่านี้ !” ไบรอันตะโกนบอกราฟที่วิ่งช้าที่สุดในกลุ่มไบรอันจับมือแคลพาเธอวิ่ง ทั้งหมดวิ่งไปบนถนนที่ทอดยาวสองข้างทางยังคงเป็นร้านรวงและตึกรามต่างๆ
ทั้งกลุ่มโดนฝูงซอมบี้จู่โจมตั้งแต่รุ่งสางก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นแล้วดีที่ไบรอันไหวตัวทันจึงพากันวิ่งหนีออกมาจากร้านขายของเก่าทันท่วงที
“ฉันวิ่งอยู่ๆ !” ราฟตะโกนขณะหอบแฮ่ก
“เราใกล้จะถึงแล้วใช่มั้ย” แคลตะโกนถามไบรอัน หอบไม่แพ้ราฟ
“ถ้ามีรถล่ะก็ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว แต่นี่วิ่งคงอีกพักใหญ่” ไบรอันตอบ
อลิซลั่นปืนจัดการซอมบี้ที่วิ่งตามพวกตนมามันเกือบจะได้ตัวราฟไปเขมือบซะแล้ว ทั้งคณะเริ่มวิ่งช้าลงเรื่อยๆต่างจากพวกมันที่ยังคงความเร็วเท่าเดิม
“ไม่รู้ทางฝั่งนั้นจะเป็นไงบ้าง ขนาดพวกมันยังรอดมาถึงตรงนี้ได้ทางนั้นคงสาหัส”
“อลิซ !” ไบรอันปรามพร้อมกับส่งสายตาไปทางอลิซว่าไม่น่าจะพูดออกไปยังงั้น
ความรู้สึกเศร้าเริ่มถาโถมเข้าสู่จิตใจของแคลอีกครั้งเมื่อได้ยินอลิซพูดแบบนั้นออกมา อลิซส่งสายตาขอโทษขอโพยมาทางไบรอัน
“ดูนั่นข้างหน้ามีรถยนต์” ราฟตะโกนด้วยความดีใจ ถัดไปข้างหน้าสามสี่ร้อยเมตรเห็นรถซีดานสีเทาจอดอยู่ข้างทางเท้ากระจกหลังแตกเสียหาย
อลิซเร่งฝีเท้าตัวเองขึ้นวิ่งนำทั้งกลุ่มเพื่อไปยังรถคันดังกล่าว เธอไปถึงรถก่อนพวกไบรอันประมาณร้อยกว่าเมตร
“ยังใช้ได้ใช่มั้ย !” ไบรอันตะโกนถามขณะวิ่งไปพร้อมๆ กับแคล
“มันไม่มีกุญแจ !” อลิซตะโกนตอบ
ปัง ! ไบรอันหันไปยิงซอมบี้ข้างหลังพวกตนไม่กี่ก้าวก็ถึงรถแล้ว
“ราฟ พาแคลไปก่อน เร็วเข้า เดี๋ยวฉันถ่วงพวกมันไว้ให้” ไบรอันปล่อยมือจากแคลให้ราฟก่อนกลับไปจัดการซอมบี้ต่อ
“ทำไมเราไม่ทำเหมือนในหนังล่ะ สายไฟจี้ๆ กันไง” ราฟพูด
“แล้วฉันทำเป็นที่ไหนเล่า !” อลิซนั่งอยู่ที่นั่งคนขับราฟพาแคลนั่งข้างหน้าส่วนตนเข้ามานั่งเบาะหลัง
“ลองดูที่กันแดดบนหัวรึยัง?” แคลถาม อลิซคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนดึงที่กันแดดตรงคนขับออกมาล้วงลงไปในช่องเก็บของขนาดเล็กที่พอจะเหน็บกระดาษหรืออะไรก็ได้
“เธอรู้ได้ไงเนี่ย” อลิซทึ่งที่ตนล้วงไปเจอกุญแจเข้าจริงๆ เธอรีบเสียบกุญแจ สตาร์ทเครื่องอย่างรวดเร็วตัวรถยังคงทำงานได้อยู่
“ไบรอัน !” อลิซตะโกนเรียกไบรอันที่กำลังนัวเนียยิงซอมบี้อย่างเมามันส์เจ้าพวกนี้ดีแต่เร็วอย่างเดียว เรื่องความโหดยังเหมือนเดิม
“กรี๊ด !” อลิซหันขวับไปทางแคลที่ร้องลั่นเมื่อกระจกข้างตัวแตกก่อนจะมีมือเจ้าซอมบี้เอื้อมเข้ามาภายในรถ
“ก้มหัว !” อลิซบอกกับแคลก่อนยกปืนขึ้นยิง
“เหวอ !” ทางฝั่งราฟก็เป็น เมื่อซอมบี้เริ่มตะเกียกตะกายอยู่ข้างๆรถขึ้นเรื่อยๆ
ประตูเบาะหลังเปิดออกไบรอันแทรกตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนตะโกนให้อลิซรีบออกรถ ก่อนที่พวกตนจะโดนพวกมันปิดล้อมไปมากกว่านี้
เนื้อตัวไบรอันโชกไปด้วยเลือดของซอมบี้กระสุนปืนไม่เหลือแล้ว ไบรอันใช้มีดผีเสื้อที่ตนเจอมาจัดการซอมบี้ทีละตัวๆแต่พวกมันก็ไม่รู้มากันจากไหนมากมาย
อลิซเหยียบคันเร่งพารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ตามถนนไปอย่างรวดเร็วเห็นเพียงจุดเล็กๆที่วิ่งตามหลังพวกตนมาก่อนพวกมันจะลับหายไป
“ยังงี้อีกไม่นานก็คงถึง” ไบรอันเอ่ย เอนหลังพิงเบาะด้วยความเหนื่อยล้า
……….
“นอร่ายังไม่ได้สติเลย” ริกพูดขึ้น กระดกขวดยาระดับกลางขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
“นายใช้ยาระดังสูงไปสองขวดแล้วนะ” อ๋องบอกกับผมยาระดับสูงเป็นยาที่ทำให้บาดแผลต่างๆ สมานตัวได้รวดเร็วแต่ก็ยังไม่สามารถรักษาพิษของพวกมันได้หมด
เฮลิคอปเตอร์บินด้วยความเร็วคงที่ไปเรื่อยๆไม่ช้าไม่เร็ว มองเห็นสภาพเมืองข้างล่างที่เต็มไปด้วยตึกรามที่ถูกทิ้งร้างผู้คนที่ยังมีอยู่บ้างที่ต่างกำลังเดินทางตามถนนสายหลักเพื่อจะไปยังนิวเคลโอผมนั่งห้อยขามองลงไปยังวิวตลอดทางจนสายตาไปสบเข้ากับรถยนต์คันหนึ่งที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วมุ่งหน้าไปยังนิวเคลโอ ห่างไปจากตัวรถข้างหลังมีฝูงซอมบี้วิ่งไล่ตามอยู่
“นั่นแคล !” ผมตะโกนบอก ทุกคนพากันมองลงไปยังรถข้างล่าง
“ฉันว่าเราไม่ต้องลงไปช่วยเธอแล้วล่ะ ดูท่าเธอกำลังดิ่งไปนิวเคลโอเลยนี่”อ๋องพูด
“ผมต้องลงไปช่วยเธอ”
“ช่วยจากอะไร” ลูกทีมถาม
“มองไม่เห็นกันรึไง !” ผมตะโกนพลางชี้ลงไปข้างล่างมันดักรออยู่ข้างหน้ารถยนต์ถัดไปหลายกิโลเมตรอยู่
“งานนี้ได้ตายหองแน่ๆ” ริกพูดขึ้นเมื่อเห็นในสิ่งที่ผมชี้มันคือเจ้ายักษ์สูงสามเมตรกำลังเดินต้วมเตี้ยซุ่มรออยู่ข้างหน้าแต่ที่ตกใจมากที่สุดคือมันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว
“แล้วข้างหน้านั่นมีอะไร” ผมถามชี้ไปข้างหน้าเลยเจ้ายักษ์ไปอีก
“นิวเคลโอขยายการก่อสร้างลงมาข้างล่างน่ะ เลยมีด่านเวรยามอาวุธพร้อม คอยป้องกันอยู่ตลอด” นักบินอธิบาย
“ไม่คิดว่าจะสร้างลงมาได้เร็วขนาดนี้” อ๋องพูดเริ่มวิตก เพราะเจ้ายักษ์อยู่หน้าค่ายไม่ถึงห้ากิโลเมตรด้วยซ้ำ
“สงสัยต้องลง” ริกพูด รีบคว้าเอาอาวุธที่อยู่บน ฮ.
“เร่งความเร็วขึ้นอีก เราต้องหยุดมันก่อนที่รถจะไปถึง” อ๋องสั่งนักบินพร้อมกับเตรียมอาวุธ
“นายก็เอาอาวุธไปด้วย มีดนั่นอย่างเดียวทำไรไม่ได้หรอก” อ๋องพูดพร้อมกับยื่นปืนพกให้ผมอีกกระบอก อันที่จริงผมก็มีแล้วที่ต้นขาแต่ยังไม่ได้ใช้สักที ผมเหน็บอันใหม่ไว้ด้านหลัง
“เอ้านี่ ! เอาไปใช้ น่าจะดีกว่า” อ๋องยื่นมีดยาวให้ผม
“มันก็แค่มีดไม่ใช่รึไง”
“มันเป็นมีดความร้อน ตัดได้ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่เปิดมันก็คมเหมือนมีดทั่วไปนั่นแหละ”ริกอธิบาย
“ถึงที่หมาย จะทำการลดระดับความสูง” นักบินพูดขึ้นขณะบังคับ ฮ.ลงเรียบกับชั้นดาดฟ้าของตึกๆ หนึ่ง ตอนนี้ ฮ. อยู่ระหว่างรถยนต์ที่กำลังวิ่งมาและเจ้ายักษ์
“โยนเชือก” อ๋องสั่ง ลูกทีมรีบโยนเชือกสำหรับไต่ลงไป มันลอยเหนือพื้นอยู่ไม่กี่นิ้วตัวเชือกน่าจะยาวเกือบ 8-9 เมตรได้
“เอาล่ะ ! ลงๆๆ !” อ๋องเป็นคนแรกที่ไต่ลงไป พวกยักษ์มันเห็นเราแล้ว
“รีบๆ หน่อยเร็วเข้า” ลูกทีมเป็นคนที่สองที่ไต่ตามลงไปตามด้วยริก
“นั่นเสียงอะไร?” ผมถาม มองไปข้างล่างเห็นอ๋องตะโกนขึ้นมาพลางชี้นิ้วไปทิศข้างหลังผมริก ทำสีหน้าตกใจแบบสุดขีด ผมหันหลังกลับไปโดยเร็ว พบว่ามียักษ์ตัวหนึ่งกำลังวิ่งจากดาดฟ้าอีกตึกนึงมายังพวกเรา
“โดดลงไปเลยเร็วเข้า !” ผมตะโกนสุดเสียง หันไปเห็นเจ้ายักษ์กระโดดลอยมาทางฮ. นักบินเคลื่อนตัวหมายจะเบี่ยงหลบแต่ช้าไปซะแล้วน้ำหนักตัวมันกดเครื่องลงไปอีกสามสี่เมตร เครื่องบินส่ายหมุนเป็นวงกลมเจ้ายักษ์จับใบพัดก่อนฉีกทึ้งจนหลุด
เครื่องบินกำลังลอยออกจากตัวตึกไปข้างหน้าริกกับลูกทีม เกือบจะโดดลงไม่ทันไม่งั้นได้ลอยตามเชือกไปแน่ๆ
“สละเครื่องเร็วเข้า !” ผมตะโกนบอกนักบิน จังหวะเดียวกับที่เจ้ายักษ์มันพุ่งกำปั้นทะลุกระจกข้างนักบินและจับหัวไว้แน่นพลางบีบสุดแรงโพละ ! เสียงหมวกนักบินซึ่งอาจจะรวมถึงเสียงกะโหลกด้วยเลือดกระเซ็นทั่วห้องคนขับราวกับแตงโมที่โดนกระทืบจนแตก
‘อยู่ไม่ได้แล้ว’ ผมคิดเมื่อเครื่องกำลังมุ่งหน้าไปชนตึกฝั่งตรงข้ามกับตึกที่เราจะลงผมกระโดดลง คว้าเชือกที่ยังคงห้อยอยู่ จับไว้แน่น ก่อนรูดไต่ลงมาอย่างรวดเร็วรู้สึกแสบร้อนที่มือราวกับว่ากำลังจะไหม้
โครม ! เฮลิคอปเตอร์พุ่งเข้าชนตึกที่เป็นอาคารกระจกทั้งหลังเต็มๆส่วนหัวที่เจ้ายักษ์เกาะอยู่ปักเข้าไปในตัวตึก คงสูงประมาณชั้นสามชั้นสี่ได้
ตอนนี้ผมห้อยอยู่กับเฮลิคอปเตอร์ที่ยื่นออกมาจากตึกครึ่งลำกลางความสูงหลายสิบเมตร ผมออกแรงแกว่งตัวไปมาส่งตัวเองพุ่งผ่านเข้าไปในตัวอาคารผ่านกระจกที่แตกผมอยู่ชั้นลงมาจากเจ้ายักษ์ชั้นนึง
ผมรีบลุกขึ้น ได้ยินเสียงตึงๆอยู่เหนือหัว มองลงไปเห็นรถยนต์ของพวกไบรอันหยุดจอดอยู่กลางถนนปักหลักต่อสู้อยู่แถวๆ รถ ไม่เห็นพวกเจ้าหน้าที่แล้ว
“เอาจริงเด่ะ” ผมพูดออกมาเมื่อเจ้ายักษ์มันโหนตัวเองจากชั้นบนลงมายังชั้นที่ผมอยู่มันจ้องผมด้วยสายตาเคียดแค้น อยากจะทึ้งร่างผมให้ขาดกระจุย
“กูไปทำอะไรให้พวกมึงล่ะเนี่ย” ผมชักมีดที่อ๋องให้มาเปิดการทำงานของมีด ตัวดาบเริ่มเรืองแสงสีแดงช้าๆ จนกลายเป็นสีส้มลาวาทั้งด้ามไอร้อนทำเอาผมเหงื่อเริ่มออก นี่ถ้าเผลอโดนตัวเข้าก็แย่นะเนี่ย
“มาเล่นกันหน่อยมา” ผมพูด กวักมือเรียก เดินเข้าไปหาช้าๆ
..........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in