เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Look a Breathe (Series 1 - 2)nimon
#204 The Sound of Colors (โลกลับยามหลับตา)


  • “สายตาที่เราเห็นจากตาเนื้อ

    ก็เพื่อมองโลกให้สวยงามนั้น

    คงไม่เท่าตาใจที่มองผ่านกัน

    จะเห็นวันนั้นที่เป็นตัวตนฉัน

    ฉันจะเห็นความสวยงามในที่นั้น

    เห็นจากใจฉันไม่ได้อยู่ในฝัน

    เห็นจินตนาการที่เท่าเทียมกัน

    เห็นวันนั้นที่มีฉันและทุกคน”



    “เราช่างโชคดีเหลือเกินที่ไม่รู้จริงเห็นแจ้งว่า 

    โลกที่เราอยู่นั้นเป็นเช่นไร”

    (We’re extremely fortunate not to know precisely the kind of world we live in.)

    -W.Szymborska-



         หญิงตาบอดคนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตในเมืองไทเป โดยที่ต้องใช้การโดยสารรถไฟเพื่อเดินทางไปและกลับอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ทุกคนกำลังรีบร้อนในเวลาที่ต้องรีบ หรือบางเวลาไม่มีผู้คน หรือบางครั้งทุกคนดูเคร่งเครียดกัน 



            แต่หญิงตาบอดผู้นั้นพร้อมหมาที่ตามเธอมา กำลังอยู่ในจินตนาการในโลกที่ไม่มีใครรู้หรือไม่มีใครเห็น หญิงผู้นั้น กำลังได้ยินเสียงลม เสียงน้ำ เสียงฝน แสงแดดยามเช้า แสงแดดยามเย็น หรือ แสงจันทร์ส่องกระทบกับผิวกาย อันทำให้ชีวิตของเธออยู่ในจินตนาการมากมาย



          โลกของหญิงผู้นั้นเห็นเป็นโลกที่สดใส มีสีสันสวยงาม กำลังเดินเล่นกับสรรพสิ่งมีชีวิตในทุกฤดูกาล กำลังเห็นสรรพสิ่งมีชีวิตกำลังร่ายรำ ร้องเพลง เล่นดนตรี และชวนหญิงผู้นั้นเล่นด้วยกัน หญิงกับหมาที่ตามมาก็กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน



          บางครั้งผู้หญิงผู้นั้นรู้สึกว่า ตนกำลังเดินหลงทาง ตนกำลังอยู่ในเขาวงกต ตนกำลังอยู่ในกรงที่หาทางออกไม่ได้ ตนกำลังนั่งเรือหงส์อยู่ที่ทะเลสาปเพียงผู้เดียว  และตนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเก้าอี้หลากหลาย



          หลายครั้งที่กำลังโบยบินอยู่ท่ามกลางสัตว์ โบยบินโดยใช้ปีกตัวเอง ใช้ไม้กวาด กำลังอยู่ในโลกเวทย์มนตร์ วิ่งเล่นอยู่กับสัตว์ทั้งหลายในสายฝนโดยมีการกางร่มกันฝน และตามหาแสงสว่างในใจตลอดไป



    “ฉันอยู่บนทางเดินอันไม่มีที่สิ้นสุดของสถานีรถไฟใต้ดิน ได้ยินเสียงของผีเสื้อกระพือปีกบางเบา

     โบยบินไปมาอย่างชัดเจน”



         หนังสือเล่มนี้ได้จบลงที่คำพูดของหญิงผู้มีนามว่า ไรเนอร์ มารีอา ริลเค หญิงสาวผู้ตาบอดที่กล่าวว่า



    “บัดนี้ฉันไม่ต้องเป็นคนนอกอีกต่อไปแล้ว 

    เมื่อสีสันทั้งปวงได้ถูกแปรเปลี่ยนแปลงให้เป็นเสียงและกลิ่น แล้วยังขานขับท่วงทำนองได้พริ้งเพราะเสนาะหู

    ฉันยังต้องการหนังสือไปอีกทำไม

    เมื่อสายลมลู่ผ่านกิ่งไผ่และไพรพฤกษ์ แล้วฉันรับรู้ภาษานั้นที่สื่อสาร แล้วบางครั้งยังท่องทวนถ้อยคำนั้นอย่างอ่อนโยนอีกทั้งความตายนั้น ผู้เด็ดดวงตาได้ดั่งเด็ดดอกไม้ ก็มิอาจพบเจอสองตาของฉันได้”



         เรื่องราวเหล่านี้ได้จบลงว่า แม้กระทั่งเราผู้มีตาที่มองเห็นก็ใช้ตาใจในการจินตนาการไม่รู้จบสิ้นได้เช่นกัน เราคิดว่า หลายครั้ง หญิงผู้นั้นคงมีความสับสน ซึ่งไม่ต่างจากเราทุกคนในโลกนี้



         ในบางครั้งที่เราเคยคิดว่า เรามาทำอะไรอยู่ที่นี้นะ เราถูกทั้งสังคม ทั้งคนอื่น ทั้งทุกอย่างกรอบความคิดเราเอาไว้ เราไม่เป็นตัวของเราเองในหลายครั้ง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นเรา คือ ความคิดที่อย่าให้ใครมากรอบเราไว้ได้เลย

     


          พอเราคิดอะไรที่ไม่เหมือนก็จะหาว่าเราแปลก หรือหลายครั้งที่เราทำตัวไม่เหมือนคนอื่น คนจะมองว่า แปลกแยกได้ แต่จริงๆแล้ว สังคม ใครเป็นคนกำหนดขึ้นมา ถ้าไมใช่มนุษย์ด้วยกัน เพียงแค่ ถ้าเราทำตัวให้ถูกต้องในศีลธรรม เราสามารถเป็นตัวของเราได้อย่างไม่ต้องอายใคร



    “เราอย่าให้ใครมากำหนดชะตาชีวิตของเรา

    จงใช้ตา ใช้หู ใช้ปาก ใช้จมูก ใช้ลิ้นในการทำให้ชีวิตเรามีสีสัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ 

    การใช้ใจในการสื่อสาร”

    Look a Breathe

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in