“ความโสด ไม่ใช่เรื่องหนักใจ”
สถานะความโสดไม่ว่าใครอยู่นานเข้าเริ่มเคยชิน
แต่จะมีผู้ใหญ่และคนรู้จัก (หวังดี) ไม่ชินสักที
ส่วนของญาติ
- ช่วงสมัยวัยรุ่น -
คำถามยอดฮิตของเหล่าผู้ใหญ่ถามว่า
“มีแฟนหรือยัง”
- พอโสดมานาน -
ญาติผู้ใหญ่มีคำถาม Exclusive มากขึ้นกว่าเดิม
“ตอนนี้ แต่งงานหรือยัง”
- โอ้ พระเจ้าช่วย -
ข้ามขั้นตอนการมีแฟน เป็นสอบถามเรื่องสามีแล้วหรือเนี่ย
และหลังจากนั้น เริ่มมีคำถามที่หลากหลายตามความคิดคนมากขึ้น
คำถามคนอื่น | ความคิดในใจเรา |
“ไม่เหงาหรือ” | มีแฟนก็เหงานะ ถ้าเขาไม่อยู่ |
“ไม่อยากมีลูกหรือ” | มีลูกเป็นภาระนะ เพราะโตไป ลูกอาจไม่เลี้ยง |
“ไม่มีคนคอยให้คำปรึกษา” | ที่ปรึกษาหรือที่ทะเลาะกันแน่ |
“เวลาทุกข์จะคุยกับใคร” | คุยกับตัวเอง เพราะคุยกับสามีอาจทุกข์กว่าเดิม |
“เวลาสุขจะแบ่งปันใคร” | แบ่งปันตัวเราเอง เพราะเเบ่งปันคนอื่นไม่รู้เรื่อง |
ส่วนของคนรู้จัก
คนรู้จักที่หวังดีถามว่า
“มีสามีดีนะ มีคนคอยให้กำลังใจ”
เราตอบคนหวังดีว่า
“บางทีก็เป็นห่วงและภาระนะ”
คนรู้จักที่หวังดีถามว่า
“ภาระนี้ดีออก เพราะมีคนคอยห่วงอยู่เคียงข้าง”
เราตอบคนหวังดีว่า
“แล้วถ้าเขามีใหม่ล่ะ ใครจะเคียงข้างเราล่ะ”
คนรู้จักที่หวังดีถามว่า
“อย่าเพิ่งพูดในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น”
สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด อยากบอกกับทุกคนว่า
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใย”
นี่เป็นเรื่องราวที่เกือบจะใกล้เคียงกับหนังสือเล่มนี้
เพราะหนังสือเล่มนี้ พูดถึงเรื่องราวของการดำเนินชีวิตของคนโสด ว่า เป็นการดำเนินชีวิตแบบสบายๆ คลายกังวล ไม่เหงา และมีความสุขกับการตัดสินใจโสดของตัวเอง
(เรื่องราวของคุณ Plariex คล้ายๆกับคุณนาโอโกะ
ที่เราเคยแบ่งปันเล่าสู่กันฟังไปแล้วในเรื่อง ชีวิตโสด 9 สมัยซ้อนค่ะ)
โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง สำคัญ ได้แก่
-1-
ช่วงอยากมีแฟน
พอเห็นใครปุ๊ปหลายครั้ง ความปิ๊งก็เกิดขึ้น เพราะใช่ เขาคือคนที่ใช่สำหรับเรา และอยากได้เป็นแฟน ดังนั้น ช่วยวัยรุ่น มีความกล้าที่จะเอาของไปให้เขา พอโตขึ้นมา เริ่มมีความเอียงอาย และโตขึ้นมาเรื่อยๆก็ไม่กล้าจนเริ่มเข้าสู่โหมดความโสดในที่สุด
-2-
ช่วงมีแฟน
ตอนแรกที่มีแฟน รู้สึกสนุกดี แต่พอนานวันเข้าที่ผู้ชายเริ่มสอบถามมากขึ้น ก็มีความรู้สึกว่า เผ่นหนีดีกว่า และเริ่มมีแฟนในช่วงเป็นมหาลัย ก็รู้สึกน่ารัก และในไม่ช้าก็ได้เลิกลากันไป
-3-
ช่วงโสด
หลายต่อหลายครั้ง เวลาเห็นเพื่อนมีแฟนหรือแต่งงานก็เครียด แต่พอเริ่มชินกับชีวิตโสด นานวันเข้า ก็เริ่มค้นพบความสุขในเส้นทางการดำเนินชีวิตความโสดนี้ และบางครั้ง พอไปกับเพื่อนก็อึดอัดกับความไม่กล้าบอกว่า อยากทำอะไร
เพราะมีหลากหลายเหตุผลสนับสนุนความคิดนี้อยู่
ไม่ว่าจะ
“ไปเที่ยวไหนก็ได้”
“กินอะไรก็ได้”
“อยากทำอะไรก็ได้”
“เข้าร้านไหนนานก็ได้”
“อยากดูของอะไรนานก็ได้”
“ชิวๆที่ไหนก็ได้”
“ไม่มีความกังวลอะไร”
“ไม่ต้องห่วงความรู้สึกใคร”
สิ่งเหล่านี้คือข้อดีของความเป็นโสดที่เราสามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างเต็มขั้น และพอความโสดอยู่กับเรานาน เราเริ่มมีมุมมองว่า มันก็สนุกและสบาย แถมยังทำให้ชีวิตมีสีสันและชีวิตชีวาในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย
5 เหตุผลที่เลือกอ่านหนังสือเล่มนี้
1. คลายเครียด
เรื่องราวของคุณปลาสนุกและอดขบขันกับยิ้มตามได้ เพราะเห็นภาพในเวลาแอบรักเขาข้างเดียว ก่อนที่จะเริ่มเป็นโสดยาวนาน ทำให้เรานึกถึงกลอนที่ว่า
"รักเขาข้างเดียวเปล่าเปลี่ยวจิต เขาไม่คิดรักเราอนาถไฉน
เขาไม่รักเราแล้วก็แล้วไป คงมีใครรักเราสักคนจริง"
“เมื่อเราไม่มีใคร เราไม่มีความกังวล ไม่มีความห่วง
ว่าเขาเป็นอะไรไหมนะ หายไปไหน ทำไมยังไม่กลับมา
ไปกับใคร มีใครอื่น เราไม่ต้องทุกข์กับเขาคนนั้น
เราไม่ต้องไปเป็นภาระใคร
ความกังวลและเครียดทั้งหลายก็หายไป”
2. สนุกสนาน
เราเข้าใจเลยว่า ผู้หญิงทุกคนต้องมีความคิดเดียวกันแบบเพ้อฝันว่า สักวันจะเป็นวันของเรา วันที่รักเบ่งบาน วันที่มีเขาในใจ เราเคยถึงขั้นคิดอย่างสนุกสนาน ว่า จะปลอมตัวเป็นผู้ชายเข้าไปในโรงเรียนชายล้วน เพื่อพบรักกับผู้ชายสักคนอย่างนางเอกในการ์ตูนญี่ปุ่น (แต่ความจริงเป็นไปไม่ได้ ต้องตื่นอย่างแรง ฮ่าๆๆ)
“เวลาคิด มโนไปเรื่อยๆ มันก็มีความสุขและสนุกเหมือนกัน แต่พอเรียนรู้ที่จะอยู่กับความโสด
มันก็สนุกกันคนละแบบ เพราะมันสนุกกับตัวเอง
และเรียนรู้เพื่อพึ่งพาตัวเอง”
3. ไม่เหงา
เพื่อนหลายคนบอกว่า อยู่กับตัวเองไม่ได้ เพราะเหงามาก มีน้องคนรู้จักคนหนึ่งเคยเล่าว่า น้องไม่กล้าปิดเสียงมือถือ เพราะเวลาพิมพ์ไลน์มีเสียงพิมพ์เป็นเพื่อนแก้เหงา และน้องคนนั้น ยังสร้างไลน์ขึ้นมาอีกไลน์หนึ่ง เพื่อคุยกับตัวเอง เพื่อทำให้คนอื่นเห็นว่า มีคนคุยด้วยกันตลอด เพราะกลัวเหงา น้องเคยบอกว่า อยู่คนเดียวไม่ได้ ถ้าขาดคนรัก เราอดห่วงความคิดน้องมาก
เราอยากตะโกนบอกน้องมากว่า การทำอะไรด้วยตนเอง อยู่ด้วยตนเอง เดินเที่ยวด้วยตนเอง คนภายนอกอาจมองว่า “เหงา” แต่คนภายในใจอย่างเราบอกได้เลยว่า “ไม่เหงาเลย แถมสนุกด้วย”
“ความเหงาฆ่าคนไม่ได้
ถ้าคนๆนั้นไม่ถูกความเหงาครอบงำ”
4. แอบชอบ
เราเคยแอบชอบเพื่อน คนทำงานร่วมกัน แต่ทุกครั้ง คนเหล่านั้นกลับมีแฟนกันไปหมด เหลือแต่ตัวเราที่ต้องหักห้ามใจไม่ให้รักเขาไปมากกว่านี้ (นางเอกละครมาก ฮ่าๆๆ) และบางคนถึงกลับแต่งงานเลยนะ
แต่เราไม่ชอบผู้ชายประเภทหนึ่ง ประเภทที่มีแฟนแล้ว แต่ทำเป็นโสด และมีทีท่าเล่นกับเราด้วย พอเราจับได้ที่ใด ความรู้สึกไม่พอใจอย่างแรงจะเกิดขึ้นทันที แต่เดี๋ยวนี้ ผู้ชายแบบนี้เยอะ ก็เริ่มจะคุ้นชิน ว่า เราต้องมีสติเวลาคุยกับผู้ชายทุกคนล่ะ ทำให้เรามีความคิดว่า
“ความมีแฟนสนุกช่วงแรก แต่ทุกข์ช่วงหลังก็เป็นไปได้”
“ความรักเป็นทุกข์ ถ้าเผลอตัวเข้าวงทุกข์นั้น
แต่จะสุขต่อเมื่อออกจากวงทุกข์นั้นเอง”
5. อยู่อย่างสุข
หลังจากโสดแล้ว เราได้เรียนรู้จากหนังสือและตัวเรา พบว่า ความโสดไม่ได้นำพาความทุกข์มาสู่ใจอย่างไร แต่คำถามของคนที่มีอคติกับเราต่างหากที่นำพาความทุกข์มาให้
เราเคยเจอคนๆหนึ่งที่
ไม่ชอบคนไม่แต่งงานหรือมีครอบครัว เพราะเธอบอกว่า
“คนเหล่านี้มักขาดความเป็นผู้ใหญ่และความรับผิดชอบ”
เราอดคิดไม่ได้นะว่า
“ทำไมคนนี้ใจแคบจัง”
แล้วเราอยากย้อนถามกลับไปด้วยว่า
“ตัวเองก็ยังไม่มีเหมือนกัน
งั้นตัวเองไม่มีความรับผิดชอบใช่ไหม”
“ความสุขจากการคุยกับตัวเอง
รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง
ไม่เหนื่อยใจกว่าความทุกข์
ที่เกิดจากคำพูดของคนอื่นที่ไม่เข้าใจ”
เราเรียนรู้ความโสดจากหนังสือเล่มนี้ และอดที่จะสนุก ขบขัน ยิ้มตามกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ เพราะ มันเป็นทางออกที่ดีจริงๆ
“ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปด้วยตัวเอง”
"ชีวิตโสดเป็นสุขกว่าที่คิด
ทุกชีวิตมีค่ากว่าที่เห็น
ชีวิตโสดไม่ทุกข์และละเว้น
สายตาเห็นความสนุกทุกวัน
จะนั่งนอนที่ใดก็เป็นสุข
ไม่มีทุกข์เพราะตามใจนี้
ไม่ต้องตามใจใครดูให้ดี
ทุกวันนี้ชีวิตอยู่ดีได้เอย"
“ขอบคุณสำหรับการอ่านเรื่องเล่านี้จนจบค่ะ เรามาใช้เวลาร่วมกันในการทบทวนตัวเองดีกว่าค่ะ”
Look a Breathe
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in