the yin-yang master
หยิน หยาง ศึกมหาเวท
สอบเสร็จแล้ว ได้ฤกษ์ดูหนัง เรื่องนี้เป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากเกม onmyouji ของจีน ซึ่งก็อ้างอิงมาจากนิยายของญี่ปุ่นอีกทอด เนื่องจากเราไม่ได้เล่นเกม เลยไม่ได้คาดหวังกับตัวหนังมาก เพราะคิดว่าหนังที่สร้างมาจากเกม คนเล่นเกมน่าจะดูแล้วอินกว่า อีกอย่างคือเราไม่ชอบหนัง CG แบบมีมอนสเตอร์เยอะๆ ด้วย แต่ตอนดูเทรลเล่อร์รู้สึกว่าเฉินคุนน่าจะเหมาะกับบทฉิงหมิงมากๆ ดูการแสดงเฮียเขาก็น่าจะคุ้มแล้ว 5555
ความรู้สึกหลังดูจบคือ หนังดีกว่าที่คิดมาก!
ขอเล่าเรื่องย่อก่อน
เรื่องย่อ
ย้อนไปในยุคที่มนุษย์ยังอยู่ร่วมกับภูต มีภูตชั่วร้ายตนหนึ่งเป็นงู 9 หัว ปรมาจารย์หยินหยางใช้ดาบสังหารภูตงูตนนั้น แต่วิญญาณของมันไม่แตกดับ ปรมาจารย์หยินหยางจึงผนึกวิญญาณภูตงูไว้ในศิลาเลือด เก็บไว้ในหอของสำนักหยินหยาง จากนั้นมามนุษย์กับภูตก็แยกจากกัน มนุษย์อยู่ในโลกมนุษย์ ส่วนภูตก็อยู่ในแดนภูต
ฉิงหมิงเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งภูต ถูกเก็บมาเลี้ยงในสำนักหยินหยางตั้งแต่เด็ก แม้จะได้ยินเสียงเรียกจากภูตงูให้ปลดปล่อยตนอยู่เสมอ แต่เขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากศิษย์พี่ฉือมู่ และเพื่อนร่วมรุ่นอย่างไป๋หนี่ที่เชื่อมั่นในตัวเขา
แต่แล้ววันหนึ่ง ฉิงหมิงเกิดลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับศิลาเลือด เมื่อมาถึงหอผนึกก็พบว่าพี่น้องปรมาจารย์ที่เข้าเวรเฝ้าศิลาเลือดรวมถึงศิษย์พี่ฉือมู่ถูกภูตน้ำแข็งสังหาร แต่ภูตน้ำแข็งหลบหนีไปได้ ฉิงหมิงที่รอดชีวิตอยู่คนเดียวจึงถูกสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุ สำนักหยินหยางพยายามจับตัวเขา ฉิงหมิงจึงหนีออกจากสำนักนับแต่นั้นมา
7 ปีต่อมา ฉิงหมิงอาศัยอยู่ในป่านอกเมือง มีบริวารเป็นภูตมากมาย ใช้ชีวิตด้วยการขโมยทรัพย์สินมีค่าไปแลกเปลี่ยนกับนายด่านแห่งแดนภูต วันหนึ่งเขาไปขโมยของบรรณาการที่ราชองครักษ์หยวนป๋อหย่าคุ้มกัน อีกฝ่ายจึงผูกใจเจ็บและออกตามล่าตัวฉิงหมิง
ขณะเดียวกันภูตน้ำแข็งก็ไม่ละความพยายาม ส่งอีกาสุนัขสวรรค์มาชิงศิลาเลือดจากสำนักหยินหยางอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็พลาดท่าจนศิลาเลือดตกไปอยู่ในมือของภูตบริวารของฉิงหมิง
ภูตน้ำแข็งและสำนักหยินหยางซึ่งนำโดยไป๋หนี่ออกตามล่าฉิงหมิงเพื่อชิงศิลาเลือด ฉิงหมิงแม้จะออกจากสำนักหยินหยางมาแล้ว แต่ก็ยังมุ่งมั่นที่จะปกป้องโลกมนุษย์ จึงทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งไม่ให้วิญญาณชั่วร้ายของภูตงูที่ถูกผนึกในศิลาเลือดฟื้นคืนชีพ หยวนป๋อหย่าที่ตามฉิงหมิงมาจนถึงแดนภูตก็จับพลัดจับผลูต้องมาร่วมต่อสู้กับฉิงหมิงและเหล่าภูตบริวาร
ความคิดเห็น
เรื่องนี้มีจุดที่ประทับใจหลายอย่างมาก แต่ขอเริ่มจากจุดที่ประทับใจน้อยสุดก่อน นั่นก็คือ เนื้อเรื่อง
เราชอบการผูกเรื่องและการปรับบทจากตำนานของญี่ปุ่น เช่นเรื่องงู 9 หัวกับดาบพิฆาตภูตก็เอามาจากตำนานเรื่องยามาตะโนะโอโรจิ (ซึ่งมี 8 หัว) กับดาบคุซานางิ รู้สึกว่าเรื่องมีบรรยากาศความเป็นจีนผสมญี่ปุ่นในระดับที่กำลังดี
แต่จุดอ่อนในส่วนของเนื้อเรื่องคือใช้พล็อทสูตรสำเร็จเกินไปจนน่าเบื่อ เปิดเรื่องมาเหมือนจะมีอะไรซับซ้อนหักมุม แต่เอาเข้าจริงเส้นเรื่องค่อนข้างตรงไปตรงมา ทำให้เดาเนื้อเรื่องได้ง่ายสุดๆ การดำเนินเรื่องชวนให้คิดถึงการ์ตูนโชเน็นยุคเก่า พระเอกเป็นพวกนอกคอกที่มีอุดมการณ์อะไรบางอย่าง สู้กับตัวร้ายแล้วแพ้ ไปอัพเกรดตัวเองมาด้วยวิธีการอะไรสักอย่างแล้วกลับมาสู้ใหม่จนชนะ คือเป็นการชนะที่ว่ากันด้วยค่าพลังล้วนๆ ไม่ได้มีชั้นเชิงอะไรเลย ลาสท์บอสก็เปิดเผยตัวแบบสูตรสำเร็จมากๆ จนไม่ต้องลุ้นเพราะเดาได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง
แรงจูงใจในการทำชั่วของลาสท์บอสก็ไม่ชวนให้อินแต่อย่างใด คือแค่อยากครองโลก (...) จริงๆ จะมองว่าเป็นความตั้งใจให้ตัวร้ายเป็นภาพด้านตรงข้ามกับฝั่งฉิงหมิงก็ได้ คือฝั่งฉิงหมิงจะเป็นกลุ่มคนชายขอบ มนุษย์รังเกียจ ภูตก็ไม่เอา เข้ากับใครไม่ได้เลยต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆ แรงจูงใจของกลุ่มฉิงหมิงมันเลยชัดเจนว่าทุกคนต้องการสถานที่ไหนสักที่หรือใครสักคนที่ยอมรับตัวเอง ซึ่งมันเป็นพอยท์ที่ทัชใจคนดู ชวนให้รู้สึกเห็นใจ หนังก็พยายามขยี้ประเด็นนี้และทำได้ดีพอสมควร พอเทียบกับตัวร้ายที่ไม่ได้เป็นคนชายขอบแต่อยู่ดีๆ เกิดอิจฉาพวกชายขอบขึ้นมา มันเลยเกิดความอิหยังวะ เป็นอีลีทอยู่ดีไม่ว่าดี ชีวิตมีปัญหาอะไรขนาดนั้นถึงต้องไปอิจฉาคนชายขอบ ตัวร้ายของเรื่องนี้เลยเป็นตัวร้ายที่แบนราบไร้มิติอย่างน่าเสียดาย
อีกจุดที่เกือบจะดีแต่ยังไม่ประทับใจเท่าที่ควรคือความสัมพันธ์ของฉิงหมิงกับไป๋หนี่ ธีมหลักของหนังคือความสัมพันธ์ระหว่างนายกับภูตบริวาร ซึ่งเป็นธีมที่ควรจะส่งเสริมความสัมพันธ์ของคู่นี้เป็นอย่างมาก เพราะปูเรื่องในอดีตมาได้ซาบซึ้งกินใจสุดๆ แต่พอมาเจอกันอีกครั้ง ไป๋หนี่กลับมีความลังเลใจที่จะเชื่อฉิงหมิงในบางช่วงของเรื่อง กลายเป็นคู่กัดอย่างหยวนป๋อหย่าที่ดูจะเข้าใจตัวตนของฉิงหมิงมากกว่าเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กซะอีก แต่หนังก็ไม่ได้ผูกเรื่องให้หยวนป๋อหย่ามีความสำคัญอะไรกับฉิงหมิงมากมาย ถึงบทจะเด่นแต่ในแง่ความสัมพันธ์ก็ไม่ต่างอะไรกับภูตบริวารตนอื่นๆ
ส่วนความสัมพันธ์ของฉิงหมิงกับบรรดาภูตบริวารก็ทำออกมาได้กลางๆ คือภาพออกมาดูน่ารัก ดูมีความเป็นครอบครัว แต่เนื่องจากตัวละครค่อนข้างเยอะเลยไม่สามารถให้เวลากับภูตแต่ละตัวได้มากนัก พอขาดแบคกราวด์ ความสัมพันธ์มันเลยไม่ได้กินใจอะไรขนาดนั้น ฉากจบที่ควรจะซึ้งก็ไม่ได้สร้างอิมแพคท์อะไรให้คนดูมากนัก
ถามว่าบทแย่มั้ยก็คือไม่ได้แย่นะ ไปได้ตามเนื้อผ้า แค่ดูแล้วไม่ได้รู้สึกประทับใจเฉยๆ
โอเค เขียนจุดที่ไม่ค่อยประทับใจมายาวมาก 5555 ต้องขอบอกว่านอกจากเนื้อเรื่องแล้ว อย่างอื่นของเรื่องนี้คือดีหมดเลย ที่เด่นสุดคืองานภาพ อย่างที่บอกไปว่าเราไม่ชอบหนัง CG เท่าไร แต่เรื่องนี้ทำ CG ออกมาได้ดีมาก! คือไม่ได้เนียนระดับที่ว่าดูไม่ออก มันก็ยังมีความลอยๆ แบบดูออกว่าเป็น CG แต่เป็น CG ที่สวย โดยเฉพาะฉากบ้านฉิงหมิงกับตลาดในแดนภูต คือดูแฟนตาซีแต่ก็ไม่ได้เฟคมาก การเคลื่อนไหวของภูตเวลาอยู่ในฉากเดียวกับนักแสดงก็ไม่ได้โดดออกมาจนหลอกตา
สิ่งที่เราชอบมากแบบน่าประหลาดใจคือดีไซน์ภูต ภูตในเรื่องนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่ภูตที่หน้าตาน่ารัก แต่พอดูไปๆ จะพบว่ามันน่ารักโดยฟีลลิ่ง คนไม่ชอบสัตว์อย่างเรายังรู้สึกว่าภูตที่เป็นสัตว์ประหลาดทั้งหลายมีเสน่ห์กว่าบรรดาภูตสาวที่รูปร่างเป็นคนซะอีก คือออกแบบมาได้ดีมากจริงๆ ที่เราชอบเป็นพิเศษคือยักษ์แดง ซึ่งออกมาทีแรกก็รู้สึกว่าเป็นตัวที่ไม่น่ารักเอาซะเลย แต่มันดูน่ารักขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยการออกแบบการเคลื่อนไหวและบทที่ส่งแบบสุดๆ กับอีกตัวคือภูตพระจิโซที่นั่งเรียงหิน ถึงจะไม่ค่อยมีบทแต่มันน่ารักแบบแปลกๆ ดี
ดนตรีประกอบของเรื่องนี้เป็นอีกองค์ประกอบที่เราชอบมากกกก! ความพิเศษของมันคือ umebayashi shigeru ซึ่งเป็น composer คือ composer ของหนัง onmyouji เวอร์ชั่นญี่ปุ่นทั้ง 2 ภาคจ้า! นอกจากนี้ยังทำ bgm ให้หนังดังๆ อีกหลายเรื่อง รวมถึงเกมย้อนยุคอย่าง ghost of tsushima ด้วย bgm ของหนังเรื่องนี้เลยฟังดูเป็นเพลงจีนสำเนียงญี่ปุ่น ผสมผสานมาได้กลมกล่อมกำลังดี ฟังละคิดถึง bgm ของเรื่อง the last emperor แต่เพลงจบ 2 เพลงยังแอบเฉยๆ สำหรับเรา คือชอบเสียงโจวเซินมากนะ แต่ ost หนังหรือซีรี่ส์ที่โจวเซินร้อง มีน้อยเพลงมากจริงๆ ที่เราจะชอบ orz
สุดท้ายที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือการแสดงของเฉินคุน ตอนที่รู้ว่าเฉินคุนได้บทนี้คือเราตื่นเต้นมาก! เพราะรู้สึกว่าเฮียเหมาะสุดๆ กับบทประเภทกึ่งดีกึ่งชั่วที่ทำให้คนดูหมั่นไส้นิดๆ แต่ดูไปดูมากลับตกหลุมรักตัวละครตัวนั้นไปแบบไม่รู้ตัว ซึ่งพอได้ดูหนังก็พบว่าไม่ผิดหวังเลยจริงๆ เรียกว่าเป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เทียบกับบทที่ผ่านมาของเฉินคุน คิดว่าบทฉิงหมิงจะคล้ายกับบทหนิงอี้ใน the rise of phoenixes แต่ไม่ดาร์คเท่า
นอกจากความซับซ้อนของคาแรกเตอร์ในช่วง 7 ปีให้หลังแล้ว ฉิงหมิงใน 2 ช่วงอายุก็มีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกัน คือเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการแบบก้าวกระโดดต่างจากคนอื่นๆ ในเรื่อง จากปรมาจารย์หยินหยางธรรมดา ทำตามกฎระเบียบ รักพวกพ้อง กลัวการเผชิญหน้ากับภูตงู กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ขี้แกล้ง ทำอะไรตามใจตัวเอง แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่ไหนเลย การแสดงของเฉินคุนที่ดูมีอินเนอร์ความเหงาความอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาเลยมีส่วนช่วยอย่างมากในการสร้างคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกันแต่ยังดูเป็นคนเดิม
ส่วนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรให้ติ คอสตูมสวย ตัวละครหญิงงานดีทุกคน ฉากแอคชั่นก็ทำออกมาได้ในระดับกลางๆ ดูแล้วไม่ขัดตา การดำเนินเรื่องอาจจะเร็วนิดหน่อยแต่ข้อดีคือไม่น่าเบื่อ เนื้อเรื่องก็ไม่ได้ทำความเข้าใจยาก บาลานซ์ส่วนที่ตลกและส่วนที่จริงจังได้ดี
สรุป
ถึงจะเป็นหนังที่สร้างมาจากเกม แต่ก็ดูง่ายกว่าที่คิด ไม่ต้องมีพื้นฐานความรู้อะไรมาก่อนเลยก็ได้เพราะหนังอธิบายหมด ไม่มีสอดแทรกมิตรภาพลูกผู้ชายเลยแม้แต่น้อย และที่ทำให้เราประหลาดใจนิดหน่อยคือ คาแรกเตอร์ฉิงหมิงกับป๋อหย่ามีเค้าโครงเดิมของฉบับนิยายยิ่งกว่าหนังเวอร์ชั่นจ้าวโหย่วถิง/เติ้งหลุนที่สร้างจากตัวนิยายตรงๆ ซะอีก หลายฉากในหนังก็ชวนให้คิดถึงฉบับนิยาย เช่นฉากคลาสสิกที่จะขาดไปไม่ได้คือฉากฉิงหมิงชวนป๋อหย่าดื่มเหล้า 5555 (มีทุกเวอร์ชั่นจริงๆ ในนิยายก็แต่ละตอนก็ต้องเริ่มจากการที่เซย์เมย์ชวนฮิโรมาสะดื่มเหล้า)
************************
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in