ภาษาเรียบง่าย เนื้อหาไม่ซับซ้อน ภาพประกอบน่ารัก อ่านสบายๆ และที่สำคัญอุดมไปด้วยแรงบันดาลใจเต็มเปี่ยมและสร้างเสริมความคิดสร้างสรรค์ได้จริงๆ  โอกาสนี้เราจะขอมาแชร์ข้อคิดและคำแนะนำต่างๆที่เราชอบจากหนังสือเล่มนี้ให้ฟังนะ :D

1) เลียนแบบคนที่เราอยากเป็น
ก่อนอื่นหาบุคคลต้นแบบที่เราชื่นชอบ ชื่นชม และอยากจะเป็นแบบเขาคนนั้น ศึกษาความคิดและเส้นทางชีวิตของเขา ให้เราสังเกต ศึกษาวิธีคิด ความชอบ ความสนใจของเขา ค้นหาแรงจูงใจแบบเดียวกัน แล้วลงมือเลียนแบบ ทำซ้ำมากเข้าแล้วคุณจะเจอทางของตัวเอง การเลียนแบบเป็นกระบวนการเรียนรู้ขั้นแรกของการได้มาซึ่งทักษะ

Study everything there is to know about that thinker/writer/artist etc. Then find three people that thinker loved, and find out everything about them. (page 15)

"Start copying what you love. Copy copy copy copy. At the end of the copy, you will find yourself" Yohji Yamamoto (page 33)

2) Garbage in, Garbage out
เราเป็นส่วนผสมของคนที่เราคบค้าสมาคม เพลงที่เราฟัง หนังที่เราดู หนังสือที่เราอ่าน สถานที่ที่เราไป ดังนั้นถ้าเราอยากเป็นคนแบบไหน ก็เลือกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเราในแบบที่เราต้องการให้ชีวิตเราเป็นแบบนั้น

You are, in fact, a mashup of what you choose to let into your life. You are the sum of your influences. (page 11)

You're going to be as good as the stuff you surround yourself with.(page 13)
3) จัดทำแฟ้มแรงบันดาลใจ
อาจจะเป็น sketch book โน้ตพกพาเล่มเยินๆที่พกติดตัวไปไหนมาไหนตลอด หรือจะเป็นโทรศัพท์มือถือของเรา เวลาเจออะไรน่าสนใจ ให้บันทึกทุกอย่างลงไปในอุปกรณ์ที่เรามี อ่านเจออะไรบันดาลใจก็จดไว้ เห็นอะไรสะดุดใจก็บันทึกไว้ ทุกอย่างที่เราชอบเหล่านั้นมันจะกลายแหล่งเป็นวัตถุดิบเวลาเราสร้างสรรค์งาน มันคือตัวเรา

See something worth stealing? Put it in the swipe file. (page 22)

4) ลงมือทำเดี๋ยวนี้ อย่ารอให้พร้อม
เพราะวันที่พร้อมไม่มีอยู่จริง การเริ่มต้นนั้นยากที่สุด แต่ถ้าเราได้เริ่มแล้วมันจะมีทางไปต่อ เราจะเดินก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ หรืออย่างดีก็หยุดอยู่กับที่ซึ่งมันดีกว่าการไม่ลงมือทำอะไรเลย เราจะค่อยๆเรียนรู้และพัฒนาจากการลงมือทำ ความคิดสร้างสรรค์หรือไอเดียดีๆมันมาโดยที่เราไม่คาดคิด และมันจะผ่านไปถ้าเราเพียงแค่คิดแต่ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่เอาไอเดียนั้นมากทำให้เกิดขึ้น

Don't make excuses for not working- make things with the time, space, and materials you have, right now. The right constraints can lead to your very best work. (page 138)

5) อยู่ห่างจากหน้าจอ
ไม่ว่าจะหน้าจอโทรทัศน์ โทรศัพท์หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่เข้ามาและจากไปอย่างรวดเร็ว ความสนุกและง่ายในการเข้าถึงข้อมูลและทางเลือกมากมายดึงความสนใจจากเรา จนรู้ตัวอีกทีก็หมดวัน ผ่านไปโดยไม่ได้ประโยชน์ที่ช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายหรือความฝัน เราต้องเลือก/จำกัดข้อมูลและตัดพฤติกรรมบางอย่างทิ้งหากต้องการจดจ่อหรือมีสมาธิกับงาน ผู้เขียนแนะนำให้จัดโต๊ะทำงานออกเป็นสองส่วน คือ ส่วน Digital และ Analog เวลาต้องการทำงานที่ใช้สมองหรือความคิดสร้างสรรค์ เช่น อ่านหนังสือ เขียนรายงาน แต่งเพลง วาดรูป etc. ให้เราอยู่ในพื้นที่ Analog ที่ที่เราจะตัดขาดจากโลกภายนอกหรือสิ่งเร้าเช่นโซเชียลมีเดียทั้งหลาย มีแต่สมุด ปากกา กระดาษโน้ต อุปกรณ์เครื่องเขียนต่างๆ ส่วนเวลาทำงานทั่วไป ก็ให้อยู่ในพื้นที่ Digital

The way to get over creative block is to simply place some constraints on yourself. It seems contradictory, but when it comes to creative work, limitations mean freedom. (page 137)
6) ทำงานประจำของคุณไปและอย่าละทิ้งความฝัน
อะไรคือ passion ในชีิวิตคุณ หลายสิ่งหลายอย่างที่คุณอยากทำ อยากเป็น อยากเรียนรู้ อันที่จริงเราสามารถทำมันทั้งหมดได้ ขอแค่ไม่ใช่ในคราวเดียวกัน ณ เวลาหนึ่งเราทำได้แค่อย่างเดียวซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องละทิ้งความฝันอื่นๆของคุณ คุณมีเวลาทั้งชีวิตในการทำมัน มันขึ้นอยู่กับว่าเวลาที่เหมาะสมสำหรับตอนนี้คือสิ่งไหน เพราะฉะนั้น อยู่กับปัจจุบันให้มีความสุข ทำมันให้ดีที่สุด ทำความฝันนี้เสร็จค่อยทำความฝันถัดไป ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เราทำไปมันจะเป็นประสบกาณ์ติดตัวเรา เรื่องใหม่ที่เราเรียนรู้มันก็จะเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรามี บางทีมันอาจช่วยเสริมกันก่อเกิดเป็นผลงานที่ไปไกลกว่าตอนที่ประสบการณ์แรกเป็นศูนย์ก็เป็นได้

Don't throw any of yourself away. Don't worry about unity - what unifies your work is the fact that you made it. One day, you'll look back and it will all make sense. (page 72)

ขอให้ทุกคนมีชีวิตแบบที่ตัวเองฝันไว้
ขอให้ขโมยให้ได้อย่างศิลปิน

<3

ms.messy