เมื่อรถไฟเริ่มวิ่งออกจากสถานี ผมรู้สึกได้ทันทีว่า จังหวะของการเคลื่อนรถ นิ่งกว่าที่บ้านเราเยอะเลย ภาพนอกหน้าต่างบอกให้รู้ว่ารถกำลังวิ่งอยู่ใต้ดิน เมื่อไม่มีวิวให้ดู ผมเลยมองไปรอบๆตัวรถ อ่านโน่น นี่ นั่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถไฟเริ่มโผล่ออกมาจากใต้ดิน( MRT ที่นี่ วิ่งทั้งบนดินและใต้ดิน)
สองข้างทางเริ่มมีบรรยากาศของบ้านเมืองให้มอง เราทั้งสี่คนได้ยืน จึงง่ายต่อการชมวิวข้างทาง ผมชะโงกหน้ามองผ่านกระจก มองซ้าย มองขวา มือข้างหนึ่งเกาะราวพลาสติกวงกลม มันได้อารมณ์เหมือนตอนเข้าไปทำงานกรุงเทพใหม่ๆเลย ผิดกันที่ตรงอารมณ์นี้ ผมไม่ต้องกังวลว่าจะลงรถผิดป้ายแล้ว....
ผมย้ายกรอบสายตา มองลงไปที่ถนน รู้สึกว่าบ้านเมืองเค้าสะอาดมาก ถนนเรียบ ไม่มีรถจอดข้างทางซักคัน ผู้คนก็น้อย “เหมือนเมืองในการ์ตูนเลย ...” ผมบอกน้องที่มาด้วย
น้องร่วมทริปตั้งข้อสังเกตุว่า ตอนนี้อาจจะเป็นเวลาทำงานของบ้านเค้า คนทั้งหมดเลยอยู่ในอาคาร “มั้งเนาะพี่”
ผมพยักหน้า “คงงั้น” ในใจคิดอยากจะหยิบกล้องออกมาถ่ายภาพ แต่คิดไปคิดมา ไม่ดีกว่า ภาพสองข้างทางมันมองเพลิน จนอยากจะมองด้วยตาเปล่าแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถเริ่มแล่นเข้าสถานี น้องถึงสะกิดแขนผม “พี่ลงสถานีนี้ “
เราทั้ง4 ลงจากรถ ช่วยกันเช็คของที่ตนเองรับผิดชอบ เมื่อครบแล้วเราก็เดินตรงไปที่ทางออก ขึ้นบันไดเลื่อนจนสุดราง เลี้ยวซ้ายตามป้ายบอกทาง เดินอีกนิดหน่อยก็ โผล่มาเจอ ป้ายรถเมล์ พอดี
แต่ว่า...
ภาพมันไม่เหมือนกับที่คิดและดู กูเกิลสตรีตวิว ไว้ คือภาพในนั้น เราจะเจอป้ายรถเมล์ตั้งอยู่มุมถนน แต่ความจริงคือ มันมีป้ายรถเมล์ที่เหมือนกันเป๊ะอยู่คนละฝั่งของถนน
แล้วความงง ก็บังเกิด.... “เอ้า! ขึ้นฝั่งไหนวะ เนี่ย”
ผมอยากจะเปิด กูเกิลสตรีตวิว ดูอีกทีให้แน่ใจ แต่เรายังไม่ได้ซื้อซิมที่นี่ เลยยังไม่มีเน็ตใช้ ครั้นจะตะเลงๆ หอบของลงไปต่อ wifi ที่สถานีก็คงจะเสียเวลา
ผมเปิดกระดาษที่ก๊อบปี้ ข้อความรีวิวแรกและรีวิวเดียวของการเดินทางไปโรงแรมนี้ ออกมาอ่านทวน เธอ(คนเขียนรีวิว) บอกว่า พอออกจากประตูทางออกD ก็เจอป้ายรถเมล์เลย ไม่เห็นบอกว่า...มีป้ายเหมือนกันแต่อยู่คนละฟ้ากของถนนไรงี้
ผมหันไปถามน้องผู้ช่วยเขียนโปรแกมทริป ที่ช่วยกันเลือกโรงแรมว่า...“เอาไงดี “
น้องทั้งสามบอกว่า” ขึ้นฝั่งนี้แหละพี่ เพราะเราออกมาแล้วเจอเลย ถ้าต้องขึ้นฝั่งตรงข้าม เค้าคงเขียนรีวิวบอกให้ข้ามถนน “
ผมพยักหน้า... “เออ ฟังดูมีเหตุผล... โอเค งั้นขึ้นฝั่งนี้ ช่วยกันนับป้ายนะ ป้ายที่3 ลงโลดเด้อ “
เรารอรถ ไม่ถึง 5 นาที รถเมล์สาย33 ก็แล่นมาจอดที่ป้าย
เราขึ้นรถ พร้อมๆกับผู้โดยสารคนอื่นอีกหลายคน และทุกคนในหลายคนนั้น ซึ่งผมเดาว่า น่าจะเป็นคนสิงคโปร์ เค้ารอให้กลุ่มนักท่องเที่ยวอย่างเราขึ้นรถก่อน เขาถึงขึ้น
โอ้ย.. มารยาทดีจัง ไม่เหมือนกับ.... ( อืม....ไม่เอา ไม่พูดดีกว่า)
รถวิ่งไปตามถนนที่ มีรถสวนทางมาอย่างประปราย ผมพยายามสังเกตุชื่อถนนข้างทาง เผื่อหลง ซึ่งก็อ่านไม่ทันอยู่ดี แต่ก็ยังอุ่นใจ ที่ทุกรีวิวบอกว่า...รถเมล์ที่นี่ จอดทุกป้าย เราแค่นับการจอดรถ ครั้งที่สาม เราก็ลง
เมื่อรถจอดป้ายที่สาม ทั้งหมดลงจากรถ....
ฟิ้ว.ววววว.... สายลมพัดมากระทบใบหน้าผม ...ไหนอ่ะ มินิมาร์ทที่เธอเขียนบอกไว้.... ผมมองไปรอบๆ รู้สึกว่า ถนนมันกว้างกว่าที่ดูในกูเกิลสตรีตวิว ทุกอย่างไม่คุ้นตาเลย...
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้...บางคนอาจสงสัยว่า...แล้วทำไมคุณพี่ไม่จองโรงแรมตามที่เขารีวิวไว้ (จะได้ง่ายต่อการเดินทาง) คนไทยมาที่นี่เหมือนมาเชียงใหม่ ทั่วทุกโรงแรมย่านดังทั้งถูก และดีมีถมเถ ทำไมพี่ไม่จองตามเค้าอ่ะ
ตำตอบคือ...นี่เป็นโรงแรมเดียว (ที่เราค้นเจอ)ที่รับบัตรเดบิตในการจอง โดยมีเงื่อนไขว่า...หากเราไม่เข้าพัก เขาจะหักเงินในบัญชีบัตรเดบิตเราครึ่งนึงของราคาห้อง
หลายอาทิตย์ก่อนมาทีนี่ ผมโทรปรึกษาน้องๆที่มีประสบการณ์เที่ยวเมืองนอก เรื่องการจองตั๋วและโรงแรม ทุกคนตอบตรงกันว่า... “ ถ้าพี่ไม่มีบัตรเครดิต มันจะยากหน่อยนะพี่ “
โอเค..มันยากหน่อย แต่ใช่ว่าไม่มีทาง ผมจึงลงมือหาข้อมูล จนมาเจอโรงแรมนี้
ผมล้วงเอากระดาษที่ปริ้นข้อมูลการจองโรงแรมออกมาจากกระเปาเป้ (เก็บไว้ดีมาก กลัวทำหล่นหาย) ใช้มือถือถ่ายรูปเป็นไฟล์สำรองไว้กันเหนียว แล้วชวนน้องๆ ข้ามสะพานลอย เดินไปยังกลุ่มตึกที่ตั้งอยู่ข้ามถนน โรงแรมอาจจะซ่อนตัวอยู่ที่กลุ่มตึกนั้น...บางทีภาพมันอาจจะคุ้นตากว่ายืนอยู่ตรงนี้แน่ๆ
เมื่อข้ามสะพานลอยมา (เหนื่อยเอาการอยู่นะ) ผมพยายามมองหาชื่อถนนจากป้าย แต่ก็ไม่เจอ (คิดในใจ 80% หลงแล้วล่ะ)แถมด้วยความกังวลว่า เราจะไปทันเช็คอินโรงแรมหรือเปล่า...มีแค่กระดาษยืนยันการจองใบเดียว ตังค์มัดจำก็ยังไม่จ่าย มันจะจองได้มั้ย แล้วถ้าพลาดจะมีที่พักมั้ยน้อ...
ผมสลัดเรื่องที่กังวลทิ้ง แล้วคิดว่า มีเวลาไม่มาก ต้องรีบแล้ว...
เพื่อความแน่ใจ เราต้องถามใครที่นี่ซักคนว่า...เรามายืนอยู่ตรงถนน Joo Chiat หรือยัง
เราเจอชายหนุ่มคนนึง ท่าทางใจดี กำลังเดินมาที่ป้ายรถเมล์ ผมกับน้องๆรีบถือกระดาษที่มีที่อยู่โรงแรม กางออกถามเค้า ใช้ทั้งภาษามือ และภาษาอังกฤษช่วยกัน จึงได้คำตอบว่า.... ถนน Joo Chiat มันอยู่ห่างจากที่นี่ ราว 15 นาที หรือ ห่างจากที่นี่ 6 ป้ายรถเมล์
โอเค เก็ทแล้วจ้า....สรุป คือ ขึ้นรถเมล์ผิดฝั่ง (ว่าแล้ว.... )
เราทั้ง4 ขอบคุณ ชายหนุ่มผู้ชี้ความกระจ่างให้ แถมพี่เค้ายังใจดี เปิดแอปพลิเคชัน ดูว่ารถจะมาถึงป้ายตอนไหนให้อีก เราได้คำตอบว่า....อีก 8 นาที รถเมล์จะมาถึงที่นี่
ด้วยความสงสัยส่วนตัว ผมจึงแอบเปิดโหมดนาฬิกานับถอยหลัง
เมื่อเสียงเตือนดังขึ้น แปดนาทีผ่านไป รถเมล์ก็มาจอดเทียบป้าย....
โอ้ว....” สิงคโปร์แลนด์เป๊ะมากอ่ะ”....ผมบอกน้องๆ พร้อมหอบของขึ้นรถ
พอเรารู้จุดหมายที่แน่นอน ทุกอย่างก็ดูจะเปลี่ยนไป รู้สึกว่าแอร์บนรถเมล์นั้นเย็นสบาย อารมณ์ผ่อนคลายขึ้นในบัดดล
เราทั้งสี่ ช่วยกันนับป้าย แล้วสังเกตภาพข้างทางช่วยกันจดจำไว้ เราต้องขึ้นรถสายนี้เพื่อไปสถานนี MRT อีกหลายรอบ จะได้ไม่หลงอีก
เมื่อถึงป้ายที่ 6 เราทั้งสี่ก็ลงจากรถ ภาพแรกและแลนด์มาร์คส่วนตัวของผมคือ ป้ายรถเมล์มันอยู่ตรงข้ามกับปั๊มน้ำมัน
ผมพยายามมองหา มินิมาร์ท แต่ก็ไม่เจอ...เลยใช้สูตรเดิม คือกางกระดาษที่อยู่โรงแรมถามคนแถวนั้น ได้คำตอบว่า...ให้เดินไปตรงสี่แยก เลี้ยวซ้าย เดินไปอีก 2ล็อค โรงแรมมันจะอยู่ทางซ้ายมือ
ผมกับน้องๆ จึงเดินไปตามเค้าบอก ถ้าเราแปลไม่ผิด อีกไม่กี่นาที เราจะเจอโรงแรม
ผมภาวนาขอให้เจอเถอะ ตอนนี้หิวมาก...และคิดว่าน้องๆ ทุกคนคงจะหิวเช่นกัน ไม่อยากหลงทางแล้วนะ
ผมเริ่มมโนไปถึงข้าวมันไก่สิงคโปร์แล้ว..ว่าน้ำจิ้มมันจะใส่ขิงแบบบ้านเรามั้ย ไก่มันจะติดหนังมาเยอะเปล่าวะ.. ถ้าบอกว่าไม่เอาหนังจะต้องบอกเป็นภาษาอังกฤษว่าไงนะ แล้วจะกินที่ร้านไหนเนี่ย จะหลงทางอีกไหม มินิมาร์ทที่เค้ารีวิวมันย้ายแล้วหรอ... หรือมันอยู่ในปั๊มฮึ๊
ผมคิดไป มโนมา จนกระทั่งได้ยินเสียงน้องคนหนึ่งตะโกนบอกว่า“พี่..เจอแล้ว...นี่ไงโรงแรม” ผมมองตามมือที่น้องชี้ไป
โอ้ว...วววว....เจอแล้ว...ในที่สุดเราก็มาถึง....
Venue Hotel The Lily
Life Is Beautiful!!!!!! ?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in