6.45 น. ของวันอาทิตย์ ที่ 25 ตุลาคม ผมกำลังนั่งอยู่บนเครื่อง เที่ยวบินที่ FD361 ของสายการบินแอร์เอเชีย ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที มีสัญลักษณ์บอกให้ปลดเข็มขัดออก กัปตันเพิ่งบอกรายละเอียด ต่างๆ ให้รู้ว่าเครื่องเข้าสู่ระดับการบินปรกติแล้ว ผมเวียนหัวนิดหน่อย แต่คาดว่าอีกไม่กี่นาทีต่อมา น่าจะเวียนหัวมากขึ้น จากเสียงตะโกนโหวกเหวกของผู้โดยสารชาวจีน ที่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์
ไม่กี่นาทีต่อมา การคาดการของผมก็เป็นจริง...ผมเวียนหัวจนตาลาย...จากภาพคุณลุงชาวจีนตรงแถวหน้า ที่กำลังเดินไปเดินมา เปิดม่านกั้นแสง หน้าต่างบานโน้น บานนั้น ย้ายก้นไปนั่งตรงที่ว่าง ตรงนี้ ตรงนั้น ด้วยอารมณ์ครึกครื้นเหมือนเด็กเจอของเล่นใหม่ แกยิ้ม ดีใจ มองไปรอบๆตัว ทำเสมือนว่า...คุณลุงกำลังตื่นเต้นกับการนั่งรถโดยสารออกจากหมู่บ้านที่เพิ่งจากมา ยังไง ยังงั้นเลย
ผมบอกตัวเองว่า...ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คุณลุงคงอยากเห็นก้อนเมฆที่ลอยบนฟ้าเมืองไทย ชัดๆ
ผมหลับตาลงเพื่อตัดภาพวุ่นวายตรงหน้าออก ฟังเสียงเครื่องยนต์รำพึงในอากาศ ...พลางนึกย้อนกลับไปว่า....ผมกับน้องๆ อีก3 คน มาอยู่ที่ตรงนี้ได้ยังไง
มันเริ่มจากตรงไหนนะ....
เออ..มันเริ่มจากตรงไหนกันวะ
แล้วภาพในหัวผมก็ รีเพลย์ ถอยหลังไปเมื่อปลายเดือน กรกฎาคม ที่ผ่านมา
ราวสามเดือนก่อน ผมรับงาน จ๊อปหนึ่งมาทำ มันเป็นงานที่ท้าทาย แข่งกับเวลามากเอาการ แต่ที่ตัดสินใจรับทำ เพราะมันเป็นงานเขียน งานเรียบเรียงหนังสือ ซึ่งนานๆ ครั้งจะมีคนติดต่อมาให้ผมทำ
หลังจากที่รับบรีฟมาจากผู้จ้างวาน ผมก็รวบรวมทีมงาน แล้วก็ลุย...
งานของเรา คือ เขียน และเรียบเรียง เพื่อทำหนังสือ ข้อมูลพื้นฐาน ของ 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยแต่ละประเทศจะมีความหนาของหนังสือ ราว 80 หน้า ซึ่งพอนั่งทำงานลงจริงๆ ผมกับทีมถึงรู้ว่า...โอ้ว..เราเจองานหินเข้าแล้ว...
เพื่อให้งานเสร็จทันเวลา ผมจึงแบ่งคนทำงาน เป็น 3 ส่วน ส่วนละคน คือ คนเรียบเรียง -เขียน คนหาข้อมูล และคนวาดภาพประกอบ...
ไม่แปลกที่ ระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ผมและน้องๆ ในทีม จะจมหายเข้าไป กับเรื่องราว ของประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ...แล้วความรู้สึกหนึ่ง ก็บอกผมมาตลอดเวลาของการทำงาน จ๊อปนี้ว่า....
ประเทศสิงคโปร์ น่าไปเที่ยว...
ถ้าเป็นไปได้ ผมจะให้รางวัลตัวเอง ด้วยการเดินทางไปที่ที่ผมกำลังมองรูปถ่ายในอินเตอร์เน็ต และเขียนข้อมูลบนหน้าหนังสือ..ที่ตัวเองทำอยู่
ราวกลางเดือนกันยายน เย็นๆของวันนั้น จำได้ว่า...ผมกำลังสรุปงาน เพื่อส่งให้ผู้จ้างวาน...บรรยากาศกดดันนิดหน่อย เพราะเราทำงานเลท เกินวันเวลาที่ผู้จ้างกำหนด...(ต้องขอขอบคุณ อาจารย์ ผู้จ้างวานด้วยนะครับ ที่ใจดีกับเรามากมาย)
ไม่รู้ว่าเพราะ ผมอยากให้บรรยากาศในวันนั้นมันดีขึ้น หรือเพราะผมอยากไปเที่ยวเอง ผมจึงบอกกับน้องๆ ว่า...“ฮึ้ย! ถ้างานผ่าน รับตังค์ เราไปเที่ยวสิงคโปร์กันป่ะ” โดยมีแผนสองที่คิดไว้คือ...ถ้างานไม่ผ่าน น้องๆ ไม่ตกลงไปด้วย...ผมจะลองชวนน้องๆไปเที่ยว สิงห์บุรี แทน
ทว่า...สิ้นเสียงผม น้องๆในทีมก็ตอบกลับมาว่า..."ป่ะๆ พี่ งานเสร็จไปเที่ยวสิงคโปร์กัน"
“ขาก..กกกกก.....กกกกกก ถุ้ย...ยยยยย” เสียงนี้ดึงผม กลับมาที่ บนเครื่องบินอีกครั้ง
ผมรีบหันไปทางต้นเสียง พบแอร์โฮสเตสสาวกำลังทำหน้าเซ็ง
เธอทำอะไรมากไม่ได้นอกจากยิ้มเจือนๆ ผู้โดยสารชาวจีนคนหนึ่ง เป็นแหล่งต้นกำเนิดเสียงนี้...ผมไม่เห็นเหตุการณ์ชัดๆ ได้แต่หวังว่า..เขาคงไม่....ถุ้ย...ยยยยย...ลงบนพื้นเครื่องบินหรอกนะ
ผมหลับตาให้ภาพ จินตนาการ จากเสียง “ขาก..กกกกก.....กกกกกก ถุ้ย...ยยยยย” “ตรงหน้านี้...เลือนหายไปในความมืดของเปลือกตาอีกครั้ง..แล้วผมก็ย้อนกลับไปนึกถึง..วันที่ผมส่งมอบงาน...
ผมคิดถึงรอยยิ้มของน้องทีมงาน...ในวันที่เราทำงานเสร็จ...คิดถึงตอนที่เราชักชวนกันร่วมทริป..มาสิงคโปร์...คิดถึงความงงๆ ของการจองตั๋ว...และที่พัก...คิดถึงที่มาของคนร่วมทริปนี้...
ผมหลับตา..คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย...นิ่ง..และนาน..จนกระทั่ง...
ตึ้งๆ ...ตึ้งๆ...สัญญานเสียงดังขึ้นพร้อม กับสัญลักษณ์บอกให้รัดเข็มขัด เสียงประกาศของกับตันบอกเราว่า อีกไม่นาน เครื่องกำลังจะลงจอด..ที่สนามบิน ชางฮี ประเทศสิงคโปร์
ผมลืมตาขึ้น รัดเข็มขัด...และมองไปรอบๆ
ผู้โดยสารชาวจีน..คนนั้นกำลัง..โดนแอร์โฮสเตส ไล่ให้กลับไปนั่งที่ตัวเอง แล้วรัดเข็มขัด
ทว่าคุณลุงไม่ยอม...
แล้วฮีโร่สาวก็แสดงตัว...(คงเป็นหัวหน้าไกท์ทัวร์) เธอคนนี้...คือคนที่นั่งแถวถัดไปจากผม เธอลุกขึ้น ตะโกน ชี้บอกคุณลุง...ด้วยเสียงภาษาจีนระดับ หลายเดซิเบล....(โอ้ว...เช่งๆๆ ช่างๆ หว่าง ๆๆเหง่อๆๆๆๆ เจี๊ย..เชี่ยววววว เอ้ยยยย...)
ผมฟังไม่รู้เรื่อง...ได้แต่คิดตามข้อมูลในไกท์บุ๊กบอกว่า....ที่ชาวจีนพูดเสียงดังนั้นไม่ได้หมายความว่า เขาคนนั้นกำลังโกรษ หรือ ตะคอกใส่กัน
ดังนั้น...ประโยคนี้ ผมจึงเดาว่า....เธอคงบอกคุณลุงว่า....”ลุงๆ นั่งลงก่อน เดี๋ยวเครื่องบินจอด..เราจิไปดู สิงโต เมอร์ไลอ้อน พ่นน้ำ ปู้ดดๆๆๆ กันเนาะ”
คุณลุงคนนั้นจึงยอมกลับไปนั่งที่ตัวเอง เหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปรกติ
เครื่องบินลดระดับลง ผมหูอื้อ...ตาลาย...ปวดหัวมากขึ้น ...ผมหลับตาลงอีกครั้ง เคี้ยวหมากฝรั่งในปากถี่ขึ้น..แล้วบอกตัวเองว่า...ถ้าครั้งนี้..มึงเมาเครื่องหนักขนาดนี้...ครั้งหน้าควรไปเที่ยวสิงห์บุรีดีกว่านะ
ผมลืมตาขึ้น...มองไปที่หน้าต่าง..เริ่มเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างแล้ว...แต่อาการปวดหัวเริ่มหนัก...จากภาพที่มองเมื่อกี้...ผมจึงหันกลับเข้ามาที่บนเครื่อง จึงพบกับรอยยิ้มของ แอร์โฮสเตส ที่ส่งมาให้ผม... (เธอคงสังเกตอาการเมาเครื่องผมออก)
มันเป็นรอยยิ้มที่มีความหมาย..มาถูกช่วงเวลามาก....ผมรู้สึกดีขึ้นทันใด...
ไม่นาน...ล้อเครื่องบินก็แตะพื้นรันเวย์....ผมหายเมาเครื่องแล้ว..ไม่รู้ว่าเพราะความกดอากาศที่ปรกติ..หรือว่าเพราะรอยยิ้มนั้น...
เรา4 คนลงจากเครื่อง...เดินตามผู้โดยสารคนอื่นๆ เพื่อไปด่านตรวจคนเข้าเมือง ในระหว่างที่น้องๆแวะถ่ายรูปกัน...ใจผมนั้นลอยไปที่หน้าเค้าท์เตอร์โรงแรมแล้ว...ผมเริ่มลุ้นว่า...โรงแรมที่เราจองไว้จะเป็นยังไง...มันจะดีและโอเคเหมือนในรูปถ่ายไหม...แล้วเราจะหลงทางหรือไม่...
เรา4คนจะได้เริ่มเดินทางตามข้อมูลทริปที่เราเขียนขึ้นมาเองแล้ว...
พวกเราจะเป็นยังไง. ไปถึงโรงแรมทันเวลาเช็คอินหรือไม่..
เดี๋ยวผมกลับมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปนะครับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in