“มีลูกแล้วชีวิตมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างวะมึง?”
“สัส… กูเพิ่งมีลูกมาอาทิตย์เดียว”
บทสนทนากับเพื่อนรักผ่านทางโปรแกรม Chat สุดฮิตอย่าง Facebook Messenger ทำให้ผมต้องทบทวนตัวเองอีกครั้งว่าการมีลูกเปลี่ยนแปลงอะไรเราไปบ้างวะ?
ผมนึกถึงการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา มันเปลี่ยนโดยสถานการณ์มากกว่าความรู้สึก แต่ถ้าค่อยๆมองให้ดี ผมพบว่าอิทธิพลของการมีลูกน้อยนั้นค่อยๆเปลี่ยนแปลงผมไป … แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นทางที่ดีขึ้นหรือเปล่า?
---
การเปลี่ยนแปลงเรื่องแรก คือ เรื่องของเวลา…
เราต้องใช้เวลามากขึ้นเพื่อทำความเข้าใจสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปฐพีคนนี้!!
พ่อแม่ลูกอ่อนทุกคนต้องใช้ความพยายามมากมายในการทำความเข้าใจ เพราะการร้องและร้องไห้ของลูกในแต่ละครั้งนั้น ไม่ได้บอกเลยว่า เขาต้องการอะไรกันแน่?
มันคงจะดีถ้ามีใครสักคนแปลงภาษาการร้องของเด็กออกมาเป็นความหมายได้ เหมือนวุ้นแปลภาษาในเรื่องโดราเอมอน ผมเชื่อเลยว่า ถ้าบริษัทสตาร์ทอัพสักแห่งในโลกนี้สามารถคิดค้นอุปกรณ์แปลงเสียงร้องทารกเป็นภาษาคนได้ รับรองว่าจะเป็นการ Disrupt วงการเลี้ยงลูกและเอาชนะทุกเครื่องมือที่มีอยู่ในตอนนี้
เมื่อความเข้าใจระหว่างกันยังมีน้อย เราย่อมต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เพื่อเรียนรู้กันและกัน ผมคิดว่า มันจำเป็นสำหรับทุกความสัมพันธ์ แต่สำหรับบางความสัมพันธ์ที่มันไปต่อไม่ได้นั้น เพราะเราไม่ได้ตั้งใจที่จะเรียนรู้กันและกันพอ
สเตปเทพประจำตัวพ่อลูกอ่อนอย่างผม ทุกครั้งที่ทำเมื่อลูกร้อง คือ การอุ้มและตรวจสอบว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ขี้แตกจนรำคาญใช่ไหม เยียวจนเปียกเกินไปหรือเปล่า ตกใจตื่นนอนไม่หลับ (สะดุ้ง) หรือว่า มันเป็นเวลาให้นมแล้ว
ลองคิดง่ายๆ ถ้าเด็ก 1 คนต้องกินนมทุกๅ 3 ชั่วโมง และการให้นมใช้เวลาครั้งละ 30 นาที มันจะแปลว่าคุณจะเสียเวลาไปแน่ๆ วันละ 240 นาที หรือ 4 ชั่วโมง โดยที่ไม่รวมเวลาเปลี่ยนผ้าอ้อม อุ้มให้นอน จับเรอ และเวลาอื่นๆที่คาดการณ์ไม่ได้
นั่นแหละฮะ… เมื่อเวลามันหายไป เราจะรู้ว่าอะไรสำคัญกับเราจริงๆ
---
“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเล่นเฟสบุ๊กเลยนะ” หลายคนถามมาทาง Chat เหมือนเคย เมื่อเห็น Status ที่ผมมักจะเวิ่นเว้อวันละรอบสองรอบหายไป บางคนคงสงสัยว่ามันไปทำอะไรที่ไหนยังไง หรือว่าโดนลักพาตัวไปแล้ววะอีพรี่หนอม
“ไม่ค่อยมีเวลาอ่ะครับ” ผมตอบไปแบบแกนๆ โดยที่ส่วนหนี่งรู้ดีว่าไม่อยากโพสอะไรมากมายเนื่องจาก “เหตุการณ์” ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา เกรงว่าจะไม่เหมาะสมส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งผมเริ่มรู้สึกไม่อยากโพสอะไรเอาเสียดื้อๆ
ทุกครั้งที่เห็นหน้าลูก… ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในชีวิตที่สำคัญกว่าการเผยแพร่ความคิดของเราให้กับสังคมรับรู้ (แต่มึงก็เสือกมาเขียนแชร์ลง minimore อยู่ดี ลักลั่นย้อนแย้งสัสๆ)
---
ในอีกมิติหนึ่งของการใช้เวลา ผมรู้สึกว่า เราเสียเวลาบอกเล่าเรื่องราวตัวเองให้กับสังคมออนไลน์รับรู้มากเกินไป (แต่มึงก็เสือกมาเขียนแชร์ลง minimore อยู่ดี ลักลั่นย้อนแย้งสัสๆ - โปรดอ่านอีกครั้งหนึ่ง)
ไม่ใช่แบบนั้นเว้ย!!! ผมกำลังหมายถึงเรื่องธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน เราทำอะไรที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราบ้าง เราเป็นยังไงวันนี้ เจอเหตุการณ์อะไรใหม่ๆ ผมกลับไม่ค่อยชอบโพสลงไปในพื้นที่ออนไลน์สักเท่าไร
สิ่งที่ผมชอบโพสลงออนไลน์ มีแต่ความคิดบางส่วนที่อยากจะแชร์ อยากแซะ หรือรู้สึกตกตะกอนอะไรบางอย่างจนต้องเขียนลงไปในพื้นที่เหล่านั้น กอปรกับงานที่อยากจะแชร์ให้คนอ่านกันเยอะๆ นั่นคือเหตุผลที่ผมเลือกจะโพสลงไปในโลกออนไลน์ให้คนอื่นได้รับรู้
ผมเคยทวิตไว้ว่า ที่ไม่ค่อยบันทึกเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตลงโซเชี่ยล เพราะเราเชื่อว่าการจดจำด้วยสมองนั้นทำให้เรารู้ว่าอะไรมันสำคัญกับเราจริงๆ
และเรื่องลูกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งในนั้น ที่ผมอยากใช้เวลาจดจำกับมันให้มากที่สุด
---
การเปลี่ยนแปลงเรื่องต่อมา คือ ความเห่อลูก…
ความรู้สึกมันไม่ใช่เหมือนกับการมีของเล่นใหม่ หรือได้แกดเจ็ทสุดล้ำอย่างไอโฟน 7 มาครอบครอง แต่มันเป็นความรู้สึกในการหล่อหลอมสิ่งมีชีวิตใหม่ๆที่เกิดขึ้นมา ที่เราเห็นพัฒนาการใหม่ๆของเขาในทุกวัน
พูดแล้วในใจหนึ่งก็แวปเสียดายขึ้นมา ในวันที่ผมหมดวันลา ผมเองคงต้องกลับไปทำงาน และเห็นเขาเป็นรายสัปดาห์แทนที่จะได้เจอกันในทุกๆวัน นี่แหละคือผลของการเห่อลูก พูดแล้วน้ำตาจะไหล
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมตัดสินใจไว้ตั้งแต่มีลูก
คือการที่ผมพยายามจะไม่โพสรูปลูกลงโลกออนไลน์
(แต่มึงก็ชอบส่งให้ชาวบ้านชาวช่องดู เอาอีกแล้ว ย้อนแย้งกันสัสๆ)
ฟังดูแล้วเหมือนเป็นความคิดที่แปลกประหลาดสักหน่อย แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ผมไม่รู้เลยว่าลูกของผมที่โตขึ้นนั้น เขาอยากให้ใครดูรูปของตัวเองบนโลกออนไลน์บ้างหรือเปล่า
“ทำไมต้องคิดอะไรมากขนาดนี้ ใครๆก็โพสกัน” มิตรสหายท่านหนึ่งบอกให้โพสรัวๆ เสียด้วยซ้ำ หลังจากที่ผมส่งคลิปไปให้เขาดู เขาบอกว่ามันน่ารักและตลกดี อยากให้คนอื่นได้เห็นและรู้สึกไปด้วยกัน
“ไม่อ่ะ มันเป็นเรืองส่วนตัว” ผมตอบเขาไปแบบนั้น เพราะไอ้คำว่า “พื้นที่ส่วนตัว” ที่เราบอกว่าอยู่ในโลกออนไลน์ทั้งหลาย มันไม่มีความเป็นส่วนตัวตั้งแต่มีใครสักคนมองเห็นมันได้แล้วล่ะ และถ้าหากเราอยากได้พืนที่ส่วนตัวจริงๆ สิ่งที่เราโพสควรเป็น Only me หรือเลือกเฉพาะคนที่อยากให้เห็นเท่านั้น นั่นแหละค่อยสมควรเรียกตรงนั้นว่า “พื่นที่ส่วนตัว” จริงๆ
และเมื่อมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา - ลูกของผม - สิ่งที่ผมเลือกที่จะให้คนอื่นเห็นน้ั้น มันควรเป็นสิ่งที่เขาได้เลือกมันด้วยตัวเองอีกครั้ง ในวันที่เขาพร้อมจะรับรู้ว่ารูปของเขาจะอยู่ในโลกออนไลน์
แต่เดี๋ยวก่อนครับ!! ผมไม่ได้ซีเรียสกับการโพสของคนอื่นนะครับ (เอาจริงๆผมก็โพสบ้างแต่พยายามให้น้อยที่สุด) หรือแม้แต่คนที่มาหาอยากจะโพสรูปลูกผมเองก็ตาม ทุกคนสามารถทำได้อย่างอิสระ เพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคล มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย คนที่ชอบโพสรูปลูก รูปหลานของเขา ผมว่ามันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และน่ารักดีเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่การที่ผมมีแนวคิดแบบนี้ มันเป็นแค่ความคิดของผม
ซึ่งผมคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเหมือนกัน
---
หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล เราสามคนใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงกว่าๆเพื่อมาที่คอนโด หลังจากที่เคลียร์ของเรียบร้อย ผมนั่งจัดของฝาก ของเยี่ยม ของที่ได้มาจากโรงพยาบาล ผมก็ได้เจอกับกระดาษแผ่นหนึ่ง
มันเป็นกระดาษที่แม่หยิบมาให้ผมในวันที่มาเยี่ยมหลาน ในนั้นมีรูปแรกเกิดของผมแสกนเปรียบเทียบกับรูปลูกของผมในวันที่เขาเกิด บางส่วนดูละม้ายคล้ายกัน เพียงแต่ผมรู้สึกว่าผมน่ารักกว่าเขา (แหม่… เรานี่มันเข้าข้างตัวเองจริงๆ)
ตอนที่ยังเป็นเด็กๆ ผมคิดว่าผมเป็นเด็กที่ถูกถ่ายรูปเก็บไว้เยอะมากๆ พ่อของผมใช้กล้องฟิล์มถ่ายบ้าง อาอ๊๊ก็ชอบถ่ายเก็บไว้ส่วนตัวบ้าง ส่วนแม่จะเป็นคนทำหน้าที่บรรจงตัดเก็บรูปถ่ายของผมไว้เป็นลังๆอย่างเป็นระเบียบ มีตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยเยาว์
แต่แม่ก็ไม่เคยหยิบรูปผมไปโชว์ให้ใครดู นอกจากคนในครอบครัว เพื่อนสนิท และคนที่เรียกได้ว่าเป็นมิตรสหายที่พอจะใกล้ชิดระดับหนึ่ง
ผมไม่รู้ว่าแม่จงใจหรือเปล่า… แต่ผมรู้สึกดีที่แม่ทำแบบนั้น
และผมคิดว่าลูกผมนั้นควรจะได้รับการปฎิบัติเช่นเดียวกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in