บทที่ 13
สิ้นหวัง
เซลีน่า เบนเน็ตต์ หายตัวไปตั้งแต่คืนวันที่ 25 ธันวาคม คนสุดท้ายที่เห็นเธอคือแฟนหนุ่ม และเขาเป็นคนแจ้งตำรวจหลังไม่สามารถติดต่อเธอได้ทั้งวัน พ่อแม่ของเธอประกาศตามหาคนหาย ทางตำรวจเปิดสายด่วนเพื่อให้คนแจ้งเหตุ ตำรวจสืบทราบว่าคืนนั้นเซลีน่าทะเลาะกับแฟนหนุ่ม เป็นเหตุให้เธอตัดสินใจกลับบ้านแทนที่จะอยู่ที่บ้านของพ่อแม่เขา ตำรวจจี้แฟนหนุ่มหนักขึ้นเพราะสันนิษฐานว่าเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี เขายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าไม่มีวันทำร้ายเซลีน่าเป็นอันขาด
สองสัปดาห์แรก พวกเขายังมีหวังที่จะตามหาเธอพบ แต่เมื่อผ่านไปนานเข้า ความหวังก็เริ่มริบหรี่
วันที่ 4กุมภาพันธ์ การรอคอยก็สิ้นสุดลง เมื่อตำรวจพบศพหญิงลอยน้ำบนอีสต์ รีเวอร์ เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องรีบมายังสถานที่พบศพเพื่อตรวจสอบ หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็สามารถระบุชื่อผู้ตายได้ ครอบครัวของเซลีน่ายืนยันตัวตนของเธอ จากคดีคนหายกลายเป็นคดีฆาตกรรมทันที เมื่อรายงานผลชันสูตรระบุว่าเธอเสียชีวิตจากการถูกรัดคอ คราวนี้แฟนหนุ่มไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัย เมื่อ MO ในครั้งนี้คล้ายคลึงกับคดีนักแกะสลัก คนร้ายสลักคำว่า นางแพศยาไว้ตรงบริเวณสีข้างของเหยื่อ พวกเขาตรวจสอบละแวกใกล้เคียงกับจุดพบศพเพื่อหาที่เกิดเหตุ หรือจุดที่คนร้ายนำศพมาทิ้ง เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้อีกเช่นเคย
ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นตอนเกิดเหตุ ฉันไม่ต้องการเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ฉันไปถึงตอนที่คนร้ายกำลังลากศพของเธอขึ้นรถ ขณะที่วิญญาณของเซลีน่านั่งอยู่กับที่ จ้องอากาศตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า ฉันพาเธอไปถึงหน้าประตูไม้ในความว่างเปล่า มองเธอเดินเข้าไปในนั้นด้วยสภาพหมดอาลัยตายอยาก
ความขี้ขลาดของฉัน ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องเจอกับเรื่องโหดร้าย เดธให้สัญญาว่าฉันจะเป็นคนรับวิญญาณของฆาตกร แต่เขาไม่ได้บอกว่าเมื่อไร มันอาจจะแค่หนึ่งปี ห้าปี สิบปี หรือยี่สิบปีนับจากนี้ จะต้องมีคนตายอีกกี่คน เขาถึงจะได้รับโทษ
ฉันทราบความคืบหน้าของคดี ตอนที่ฉันกับออกัสมารับวิญญาณที่เสียชีวิตในบ้าน เขาเป็นคุณปู่วัย 72 ปีที่สิ้นลมขณะนอนหลับ มันเป็นภาพน้อยครั้งนักที่ฉันจะได้เห็น การตายที่สงบ การตายที่ไม่ต่างอะไรกับการนอนหลับ ผิดกับการตายของฉันและเหยื่ออีกสามคนโดยฆาตกรคนเดียวกัน ใบหน้าของฉันปรากฏขึ้นบนจอโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น พร้อมใบหน้าของหญิงสาวอีกสามคน พวกเธอยังมีอนาคตอีกยาวไกล ช่างไร้พิษภัย ต่างก็ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมีความสุข มันเป็นรายงานพิเศษเกี่ยวกับคดีนักแกะสลัก พวกเขาเล่าความย้อนไปตั้งแต่คดีแรก เนื้อหาพวกนั้นคล้ายคลึงกับการสืบสวนที่ฉันเห็นในบ้านของสายสืบคาร์ฮาร์ต ยกเว้นเรื่องเครื่องประดับที่หายไป ที่พวกเขายังไม่เปิดเผย
“ลิลิธ ไปได้แล้ว” ออกัสเรียก
หลังจากที่ส่งวิญญาณคุณปู่แล้ว เราก็กลับมาที่เจอริโก้ ฉันเดินแยกจากออกัสไปทางทะเลสาบ เห็นยมทูตหลายคนถีบเรือเป็ดกันอยู่ แมนดี้ยังคงนั่งที่ม้านั่งตัวเดิม วันนี้เธออยู่ตามลำพัง
“กลับมาแล้วเหรอคะ พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” แมนดี้ทักขึ้น สายตาแสดงความห่วงใย
ฉันกำลังจะเล่า แต่ก็เปลี่ยนใจนั่งลงข้างเธอแทน นอกจากออกัสแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าฉันตายยังไง อย่างไรก็ตาม ที่โลกของคนเป็นก็เริ่มมีข่าวเกี่ยวกับคดีนักแกะสลักบ่อยขึ้น หากมียมทูตคนไหนไปเจอภาพข่าวเข้า พวกเขาก็อาจจำฉันได้ ฉันไม่คิดว่าการตายของฉันจำเป็นต้องเป็นความลับ แต่ถ้าออกัสไม่ให้พูด ฉันก็ไม่ควรพูด เมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว ฉันก็ไม่มีใครให้ปรึกษา จะให้ไปปรึกษาออกัสก็คงเป็นไปไม่ได้ ฉันอยากได้คนรับฟัง ไม่ใช่คนที่จะมาห้ามปรามหรือตัดสินฉัน
“ลิลิธ” แมนดี้ทักอีกครั้งเมื่อฉันนั่งเงียบ
“อืม ก็ ไม่มีอะไรหรอก เวลาออกไปรับดวงวิญญาณ บางทีก็จะเจอเรื่องน่าหดหู่”
“งั้นเหรอ” เธอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “ถ้าพี่มีใครสักคนให้คุยได้ พี่ควรคุยกับเขานะ ดีกว่าเก็บไว้คนเดียว อีกฝ่ายอาจช่วยอะไรเราไม่ได้ก็จริง แต่การจมปลักอยู่กับตัวเองมีแต่ยิ่งทำให้แย่ลง บางครั้งเราอาจต้องการความช่วยเหลือโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ และพอรู้อีกทีมันก็อาจจะสายเกินไป”
น้ำเสียงของเธอเจือความเสียใจ คำพูดของเธอฟังดูคล้ายมาจากประสบการณ์มากกว่าจะเป็นแค่คำพูดลอย ๆ
“ขอบใจนะ”
แมนดี้คลี่ยิ้ม เธอนั่งเป็นเพื่อนอีกครู่หนึ่งก่อนจะต้องไปทำงาน
เรือเป็ดมากมายล่องอยู่บนทะเลสาบ ผืนน้ำทอประกายล้อแสงยามเย็น มันเป็นภาพที่งดงามและสงบ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ให้ความรู้สึกอ้างว้างและเศร้าสร้อย เหมือนการได้มองสิ่งสวยงามที่เราไม่สามารถเอื้อมถึง ที่เราไม่คู่ควรกับมัน ฉันไม่รู้ว่าแมนดี้มองเห็นอะไรทุกครั้งที่เธอนั่งตรงนี้ แต่ฉันเห็นในสิ่งที่ตัวเองไม่มีวันได้เป็น ความสงบสุขที่ฉันคงไม่มีวันได้รับ
มันไม่มีวันเวลาในเจอริโก้ แต่ก็น่าแปลกที่ยมทูตสามารถแบ่งวันเองได้ทั้งที่ท้องฟ้าเหมือนเดิมทุกช่วงเวลาแถมพวกเราไม่จำเป็นต้องนอนหลับ เราสามารถตรวจสอบได้ว่าตัวเองเป็นยมทูตมาแล้วกี่วัน แต่ไม่มีทางรู้เลยว่ายังเหลืออีกกี่วันกว่าจะหมดสัญญา ที่แน่ ๆ คือมียมทูตหน้าใหม่เพิ่มขึ้น และคนเก่า ๆ หายไป เมื่อฉันถามออกัสว่าเขาเป็นยมทูตมานานแค่ไหน เพราะชื่อของเขาดูไม่เหมือนคนปัจจุบันเท่าไรนัก แน่นอนว่าเขาไม่ตอบ
ฉันใช้เวลาว่างในการยิงปืนที่บูธ ใครจะไปคิดว่าฉันจะมีโอกาสยิงปืนตอนตายไปแล้ว ถึงมันจะไม่ใช่ปืนจริงก็เถอะ อย่างไรก็ตาม ทักษะของฉันก็พัฒนาขึ้นมาก จนแม้แต่ออกัสยังเอ่ยปากชม เพียงแต่ทักษะนี้มันจะมีประโยชน์อะไรกับคนที่ตายแล้วอย่างฉัน
“ช่วงนี้เป็นไงบ้าง”
เสียงทักของออกัสทำให้ฉันละสายตาจากเป้ายิงตรงหน้า
“เอ๊ะ ก็ ไม่มีอะไร”
ออกัสมองหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ถ้าหากว่าเธออยากหาคนคุยด้วย” เขาตบอกตัวเองพลางฉีกยิ้มกว้าง
รอยยิ้มของเขาช่างน่าหมั่นไส้จริง ๆ
ฉันพยักหน้ารับ หากเขามาพูดแบบนี้ในวันที่ฉันเห็นข่าวตัวเองในโทรทัศน์ ฉันคงอยากระบายให้เขาฟัง แต่ตอนนี้ฉันโอเคขึ้นแล้ว หลังได้อยู่กับตัวเองไปสักพักฉันก็เริ่มทำใจได้
ออกัสวางมือลงบนบ่าของฉัน
“อย่าลืมล่ะ ว่าเซลีน่าบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอ”
คำพูดของเขาทำให้ฉันนึกถึงคืนที่ต้องไปรับดวงวิญญาณของเซลีน่า วิญญาณของเธอมองดูฆาตกรลากศพของตัวเองขึ้นรถ
“ฉันเคยดูข่าวเรื่องของเขา ฉันเคยเห็นหน้าคุณในโทรทัศน์” เธอพูดกับฉัน “คุณเองก็...”
ถึงไม่ได้ตอบอะไรไป แต่เซลีน่าก็เข้าใจได้ เธอยังตื่นตระหนก แต่ขณะเดียวกันมันก็มีความโล่งใจอยู่ในท่าทางของเธอ ราวกับในที่สุดเรื่องโหดร้ายก็จบสิ้นลง
“ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเจอเรื่องแบบนี้”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณเสียหน่อย”เธอรีบแย้ง“คนที่ต้องขอโทษคือฆาตกรต่างหาก ฉันหวังว่าเขาจะได้รับโทษอย่างสาสม”
มือของฉันกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ฉันเองก็อยากให้เขาได้รับโทษ แต่มันอีกนานแค่ไหน แล้วถ้าเกิดเขาตายโดยที่ยังไม่ทันได้รับโทษล่ะ
ฉันเคยคิดอยากฆ่าเขาให้ตาย แต่ฉันไม่สามารถทำได้ แล้วฉันเป็นยมทูตเพื่ออะไร ในเมื่อมันไม่ได้ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดแม้แต่น้อย
“ฉันคิดว่าเธอคงเบื่อ” ออกัสพูดต่อ “มากับฉันสิ”
“จะไปไหนเหรอ”
เขาชูนิ้วชี้แตะริมฝีปากของตัวเอง ก่อนจะยื่นมืออีกข้างมาตรงหน้า ด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่ากำลังจะบลิงก์ไปที่ไหนสักแห่ง ฉันมองหน้าเขา มองมือของเขา ก่อนจะจับมือเขา แล้วสายลมวูบใหญ่ก็พัดผ่านร่างของเราสองคนไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in