ก่อนอื่นก็ต้อง สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ
นั่น ๆ ขึ้นต้นตอนด้วยประโยคแบบนี้ก็คงพอจะรู้กันแล้วล่ะสิว่าจะต้องเป็นตอนที่เกี่ยวกับความรักสุดหวานมื่นชื่นใจมดขึ้นมาทำรัง จนคนอ่านต้องหาแตงกวามากินแก้เลี่ยนระหว่างอ่าน
อย่าตัดสินหนังสือแค่ปก และก็อย่าตัดสินตอนนี้แค่เพราะประโยคขึ้นต้น เพราะตามจริงแล้ว ในวันที่ 554 คือวันที่ผมเมาในร้านเหล้าเป็นครั้งแรก ไอ้ที่หวานชื่นมื่น จริง ๆ แล้วมีแต่ความขมคอจากการอ้วกที่หากให้พูดแบบตรงไปตรงมาก็คงจะเรียกได้ว่า อ้วกจะเป็นจะตาย
เรื่องมันเริ่มอย่างนี้ครับ กลุ่มกรุงเทพฯ มีนัดที่จะไปไหว้วัดจีนในตอนเช้าเพื่อแก้ชงเพิ่มแต้มบุญประจำปี พอแก้ชงเสร็จปุ๊ปก็จะไปชงเหล้าเฮฮาปาร์ตี้กันต่อในตอนกลางคืน
ซึ่งตามแผนเดิมเนี่ยต้องไปกันวันเสาร์ซึ่งเป็นวันที่ 13 เพราะผมเสนอไปว่า ถ้าจะดื่มเหล้าก็ดื่มกันวันเสาร์เถอะ ถ้าเมาจะได้นอนอยู่ห้องวันอาทิตย์ไปเลย เพราะตามสถิติการไปดื่มเหล้าของกลุ่มเด็กกรุงเทพฯ ที่ขึ้นมาเรียน (และใจแตก) ที่เชียงใหม่ ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ทุกคนสภาพสมบูรณ์ครบถ้วนพากันกลับหอพักเยี่ยงราชสีห์ มีแต่การแบ่งบทบาทคนเมาเยี่ยงหมาและคนเก็บ aka. คนแบก อย่างชัดเจนตลอดทุกครั้ง
ถ้าตีการไปร้านเหล้าเป็น 10 ครั้ง ผมกับเพื่อนขาประจำอีกสองคนก็คงเก็บพวกมันไปแล้วทั้งสิ้น 8-9 ครั้งในทุกครั้งที่ไป รอบนี้ผมเลยตั้งใจว่าจะขอเมาสักครั้งให้เป็นภาระแบบพอเป็นพิธี และวันอาทิตย์จะได้นอนทิ้งตัวอยู่ห้องไปเลย ไม่ต้องแบกสังขารตื่นมาเรียนตอนเช้าวันจันทร์ให้ปวดขมับ
(ความจริงคือผมตั้งใจจะนัดเด็กวิจิตรไปกินชาบูกันในวันวาเลนไทน์น่ะ อิอิ)
แต่ทว่าอยู่ ๆ พระเจ้าก็เกิดติสแตก คนเราจะใช้ชีวิตง่าย ๆ ไม่ได้ มันต้องมีอุปสรรคและขวากหนามมาให้ปวดตับปวดกบาลสักนิดสักหน่อย เลยเปลี่ยนบทชีวิตมนุษย์กลางคันอย่างไม่ทันให้นักแสดงตั้งตัว เพราะเพื่อนคนหนึ่งดันไม่ว่างในวันที่ 13 กะทันหัน และเกิดเป็นบทสนทนานี้ขึ้นมา
ปราง: 14 แหละ
มีมี่: เรา 14 ได้นะ
ปราง: เออ กูได้
มีมี่: แต่เรดไม่สะดวก
ปอย: 14 แฮงค์ไปเรียนก็ไหวววว
ปราง: อิที่บอกไม่อยากแฮงค์ไปเรียนก็อย่ากินให้เมา อิโง่
ตามนั้นแหละครับ วันที่ 13 ยังไม่ทันขึ้นชกก็แพ้คะแนนเสียงอย่างเป็นเอกฉันท์จนนึกว่ากรรมการโดนยัดใต้โต๊ะ
ไม่ติดว่าเป็นคนดีก็อยากจะจับเพื่อนปรางล็อคคอแล้วกรอกเหล้าเข้าปากสัก 1 นาที พร้อมพูดไปด้วยว่า ไม่อยากแฮงค์ไปเรียนก็อย่ากินให้เมาใช่มั้ย!!! ได้!!! งั้นมึงก็ดื่มแทนกูเยอะ ๆ เลย!!!
แต่ก็นั่นแหละ เพื่อนไม่ว่างเราก็ต้องยอมเลื่อนวันโดยละม่อม
เข้าสู่วันวาเลนไทน์ แก๊งทัวร์จีนกรุงเทพที่ประกอบไปด้วย ผม มีมี่ ปราง เพชร หน่อมแน้ม มุก (มนุษย์ (พอดีว่าในกลุ่มมีสองมุกน่ะ คนหนึ่งอยู่วิจิตรศิลป์ ส่วนอีกคนอยู่มนุษยศาสตร์)) และปอย ก็ได้เดินทางไปวัดไท่หลินฝอเอวี้ยน ซึ่งกิจกรรมของพวกเราก็ไม่ค่อยมีอะไรมากสักเท่าไหร่ ไหว้พระ ถ่ายรูปเล่น เสี่ยงเซียมซี และจบทริปด้วยการไปกินอาหารจีน
ทีนี้เข้าสู่ช่วงไฮไลท์ ณ ร้านเหล้า
เอาเข้าจริงถ้านับครั้งนี้ด้วย ผมก็พึ่งจะเคยเมาแค่ 3 ครั้งเท่านั้น และ 2 ครั้งแรกก็เกิดขึ้นที่บ้านพี่สาวและหอพักของเพื่อน ยังไม่เคยมีประสบการณ์ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินพิกัดในร้านเหล้ามาก่อน
ซึ่งก็จะได้ประเดิมในวันนี้นี่แหละ ด้วยความอยากเมาอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ก็เลยซัดโฮกเร่งเครื่องตัวเองเหมือนอีกครึ่งชั่วโมงร้านจะปิดกิจการ รู้ตัวอีกทีอาหารจีนเมื่อช่วงเย็นก็ย้อนกลับออกมาตรงทางเข้าหมดแล้ว
อ้วกนั่นแหละครับ อ้วกจนอยากจะควักกระเพาะออกมาเทของที่อยู่ข้างในออกมาให้หมดแล้วล้างน้ำเปล่าสักสองน้ำน่าจะรู้สึกดีกว่า
ไม่รู้ว่าอาการเมานั้นมีผลต่อแกนโลกหรืออย่างไร แต่จำได้ว่ารู้ตัวอีกทีหัวของผมพิงอยู่ที่แขนของมุก (วิจิตร) มากกว่าที่จะนั่งตัวตรง ๆ เป็นส่วนใหญ่ นี่ถ้าไม่หยุดดื่มคงมีผลไปถึงแรงโน้มถ่วงและอาจจะพบตัวเองลอยไปอยู่โต๊ะแถว ๆ นั้น ขออย่างเดียวอย่ามีสหบาทาลอยตามแรงโน้มถ่วงตามมาด้วยก็พอ
ทุกอย่างจบที่ผมฟุบหลับลงไปตั้งแต่ช่วงต้นสี่ทุ่มและตื่นมาอีกทีตอนช่วงห้าทุ่ม ยังดีที่มีสติในการพิมพ์แชทคุยกับคนนู้นคนนี้ ไม่ทำตัวเป็นนักอักษรศาสตร์พิมพ์คำไทยโบราณส่งไปให้เพื่อนด่าพ่อกลับมา
และในเมื่อวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ การส่งข้อความไปบอกรักอีกฝ่ายจึงถือเป็นเรื่องคลาสสิคที่ไม่มีวันเชยของวันพิเศษนี้ เสียอย่างเดียว คนที่ผมส่งข้อความไปบอกรักถึงสามครั้งด้วยกันคือ ไอ้ข้าวกล้องเพื่อนรัก…แม่งเอ๊ย!!!
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ได้เวลาเป็นคนถูกแบก แต่ก็ยังไม่วายที่จะส่งปากที่คืนนี้ใช้อ้วกมากกว่าพูดไปสะกิดทักทายส้นพระตีนคนแถวนั้น
เพื่อนของเพื่อน: +_@#&(*&$%^ มายเฟรนด์! (อะไรไม่รู้จับใจความได้แค่นี้จริง ๆ)
เพื่อนของเพื่อน: นายชื่ออะไรอะ
เรด: ชื่อเรดครับ มีปัญหาอะไรกับกูปะล่ะ
นั่นแหละครับคุณผู้อ่าน ไม่ลงไปนอนจมกองอ้วกกับเลือดที่พื้นเพราะปากตัวเองก็ดีแค่ไหนแล้ว นี่ถ้าพี่เขาเป็นศิษย์บัวขาว ป่านนี้คงได้มีใส่เฝือกกันสักข้าง
และจากสภาพในตอนนั้นก็คงเป็นผมอย่างแน่นอนที่จะได้ใส่เฝือก
ที่บอกไปตอนต้นว่า อ้วกจะเป็นจะตาย บางคนอาจจะคิดว่า มึงเว่อร์แล้ว อะไรมันจะขนาดนั้น
งั้นลองคิดภาพตามเป็นขั้นเป็นตอนนะครับ เริ่มแรกด้วยการยืนอ้วกเฉย ๆ ต่อมาเริ่มเอามือไปชันเข่า สักพักเริ่มงอเข่าและโน้มตัวลง จบที่เกาะอะไรสักอย่างตรงนั้นพร้อมด้วยเข่าที่ลงไปแตะพื้นแล้วเรียบร้อย และอ้วกแบบจะเป็นจะตาย
ละไหนจะตอนที่เจอรุ่นน้องระหว่างทางกลับอีก
เรด: อ้าว อ๋องนี่หว่า
รุ่นน้อง: อ้าว พี่เรด
เรด: พี่ไม่ได้เมา!
รุ่นน้อง: ยังไม่ได้ถาม!
เรียกได้ว่าไม่เหลือภาพพจน์รุ่นพี่ปี 2 สะพายกล้องอีกต่อไป เละเทะที่สุดแล้วตั้งแต่เคยดื่มมา
สุดท้ายวันนี้ก็จบลงที่การไปนอนสลบเหมือดเป็นวัตถุปริศนา (ถูกเรียกโดยปรางเจ้าเดิม) อยู่ที่ห้องเพื่อน โดยในขณะที่หลับตานอนนั้นภาพตัวเองตอนยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มก็ฉายซ้ำเหมือนมีคนไปกดโดยปุ่ม Loop บนรีโมทให้ได้เห็นตลอดทั้งคืน ทำเอาหลอนจนเข็ดกับการเมาไปเลย
พอแล้ว ไม่มีอีกแล้ว ตอนนี้แค่เห็นคนดื่มเหล้าก็คลื่นไส้ละครับ
สองสามวันต่อมาก็มานั่งคุยกับมุก (วิจิตร) ที่ถูกเราเอาแขนมาใช้เป็นที่พักพิงยามเมาและเป็นผู้รับฟังความน่ารำคาญของคนเมาจอมพูดมากในคืนนั้น
มุก: วงที่ขึ้นเล่นตอนช่วงห้าทุ่มอะเล่นดีนะ
เรด: …วันนั้นมีวงขึ้นไปเล่นด้วยหรอวะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in