เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
fallinforyuufallinforyuu
Since, the autumn falls
  • Note : keep cool, maybe this gonna make you kinda warm
    Relationship : Jooheon X Changkyun
    Date : 24/08/19
    Twitter : @fallinforyuu
    #บันทึกจูเอ็ม





    กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นและกลิ่นขนมปังไหม้นิดๆกำลังทำหน้าที่ปลุกเด็กชายคนเดียวของบ้านที่กำลังย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม มันเริ่มจากเสียงที่เคยฟังดูสดใสเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเสียงทุ้มลึก ที่หากพูดเบาๆในบางครั้งมันยังทุ้มจนจับใจความไม่ได้


    ร่างสูงเดินเข้าไปในครัวพร้อมกับบ็อกเซอร์ยุ่ยๆตัวจิ๋ว เดินเกาหัวแกรกๆตามสเต็ปคนเพิ่งตื่นนอน


    'อรุณสวัสดิ์แมทธิว'
    'อรุณสวัสดิ์ฮะแม่'


    เขานั่งลงที่ประจำของมุมโต๊ะ เคี้ยวขนมปังชิ้นเล็กที่กัดสองสามคำก็แทบจะหมด แน่นอนว่ามันไม่อิ่ม เขาหยิบชิ้นที่สามสี่และห้าบ้างในบางวันเข้าปาก


    'วันนี้ีวันเกิดลูกน้าอันธ์'
    'รู้อยู่แล้วฮะ'
    'อย่าลืมเตรียมของขวัญไว้ให้น้องด้วย'
    'ผมเตรียมไว้แล้ว'


    เพราะการที่หมู่บ้านเขานั้นมีแม่น้ำกั้นออกจากตัวเมือง การเดินทางไปโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเมืองในแต่ละวันนั้นจึงต้องอาศัยเรือจากท่าของคุณลุงแฮชลี่ โดยจะใช้เวลาราวๆสามสิบนาที


    แสงแดดยามเจ็ดโมงเช้ามันไม่ค่อยเป็นมิตรกับผมเท่าไหร่ เมื่ือกลายมาเป็นคนที่รักการนอนยิ่งกว่าการได้จับกลุ่มดูหนังสือลามกกับพวกเพื่อนๆที่โรงเรียน ถ้าได้ลองเทียบกันแล้วผมว่าการได้นอนบนเตียงใต้ผ้าห่มอุ่นๆน่ะดีกว่าโขเลย


    แต่มันก็ไม่เสมอไป บางทีแสงอาทิตย์ก็อาจจะมีข้อดีอยู่บ้าง เช่นตอนที่แสงของมันกระทบลงบนผิวน้ำ แล้วจากนั้ันก็สะท้อนขึ้นมา สาดแสงแวววับพาดผ่านแก้มใสของเด็กวัยเจ็ดขวบตรงหน้าที่กำลังนั่งโงนเงนเหมือนกับว่าเพิ่งถูกจับอุุ้มมาจากเตียงนอนสดๆร้อนๆอย่างนั้ันน่ะ


    'ไมลี่ ฉันอยากนั่งข้างแดนนี่ ขยับให้ได้ไหม'
    'ฉันก็อยากนั่งข้างแดนนี่'
    'หยุดทั้งสองคนนั้ันแหละ ฉันจะนั่งที่เดิมไม่ไปไหน และจะดูแลแดนนี่เอง เขากำลังหลับ ห้ามส่งเสียงรบกวนเชียว!'


    เด็กผู้หญิงที่มีท่าทางแข็งทื่อไม่เหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นพูดขึ้น ทำให้สถานการณ์เงียบลง เช่นเดียวกับทุกครั้งเมื่อมีแต่เด็กหญิงและเด็กชายแย่งกันอยากจะนั่งข้างๆเด็กขี้ีเซาตรงหน้าซะเหลือเกิน


    อะไรนะ เด็กผู้หญิงคนนั้นบอกว่าจะดูแลเด็กขี้เซาคนนี้เองหรอ


    ถึงจะไม่ได้นั่งข้างๆแต่ฉันก็ได้ดูแลเด็กนี่เหมือนกันแหละ


    ยังไงน่ะหรอ


    ก็เด็กที่ชื่อแดนนี่น่ะกำลังนั่งโงนเงนไม่เกาะขอบเรือ แต่กลับจับมือตุ๊กตาหมีเสียแน่น ราวกับว่าถ้าตกเรือไปแล้วเจ้าหมีตัวนี้มันจะช่วยชีวิตได้อย่างไรอย่างนั้นแหละ


    อืม กลับมาเรื่องเดิม เรื่องที่ว่าผมช่วยยังไงน่ะหรอ


    ก็


    เหยียบแขนอีกข้างของตุ๊กตาไว้น่ะสิ




    ,




    เสียงไวโอลินและเปียโนดังขึ้นมาจากบ้านหลังสีขาวในชนบท เสียงเพลงทำให้ความรู้สึกอุ่นวาบก่อขึ้นในใจ ทั้งๆที่หิมะกำลังร่วงโรยปกคลุมทั่วพื้นที่ หมู่บ้านเราค่อนข้างจะไกลจากตัวเมือง ทำให้มีอากาศที่หนาวจัดในฤดูหนาว แต่กลับอบอุ่นในฤดูร้อนเมื่ือเทียบกับในเมืองที่ร้อนจนเหงื่อไหลเป็นน้ำ


    งานวันเกิดเล็กๆของลูกชายคนเดียวของน้าอันธ์เต็มไปด้วยแขกที่สนิทกันในหมู่บ้าน ทว่าเห็นทีจะมีแค่สิบสองสิบสามคน แต่นั่นก็ถือว่าเยอะมากในหมู่บ้านของเรา


    'แดนนี่! จะขึ้นไปไหนน่ะ ลงมาขอบคุณน้าคารอลหน่อยสิลูก!'


    คารอลยิ้มหัวเราะกับพฤติกรรมแสนซนของหลานชาย เธอไม่ถือสา เห็นว่าแดนนี่เป็นเด็กน่ารัก ขี้ีอ้อน และเธอก็ไม่อยากให้เพื่ือนของเธอดุลูกมากนัก จึงชวนกันไปคุยกันด้านนอก


    'ตายแล้ว แมทธิวลูก เหงาไหมจ้ะ ไม่มีรุ่นราวคราวเดียวกับหนูสักคน มีแต่เด็กๆวัยเทียบเท่ากับแดนนี่ จริงๆแค่ฝากคำอวยพรมาก็ได้แล้วนะจ้ะ'
    'ไม่เป็นไรครับน้าอันธ์ ยังไงผมก็ต้องมาเป็นเพื่อนคุณแม่อยู่แล้ว'
    'จริงสิ งั้นขึ้นไปดูเจ้าแดนนี่ให้น้าหน่อยได้ไหมจ้ะ ไม่รู้วิ่งขึ้นไปบนห้องทำไมกัน'


    ประตูไม้เนื้อดีส่งกลิ่นคลาสสิคเก่าๆผ่านประสาทสัมผัส เขามองเข้าไปในห้องตามช่องที่ถูกเปิดแง้มอยู่


    เห็นเด็กที่กำลังจะมีเลขอายุเเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งจำนวนในวันพรุ่งนี้ ในมือกำลังขะมักเขม้นแกะกล่องของขวัญที่เพิ่งได้มาจากเพื่อนๆและผู้ใหญ่

    แก้มที่มีสีเลือดฝาดเห็นชัดขึ้นกว่าทุกวันเพราะคืนนี้เป็นคืนที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงที่หนาวจัด เขาสังเกตเห็นว่าแก้มนั้ันกำลังพองขึ้นเพราะลมที่อมไว้ เมื่อเจ้าตัวแกะของขวัญแล้วเห็นว่าเป็นพวกหนังสือเรียนหรือนิทาน แหงล่ะ เด็กที่สะลึมสะลือไปเรียนแบบนั้ันคงจะชอบที่ต้องมานั่งมองดูตัวหนังสือลายๆเยอะๆหรอก

    และมันจะพองขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะลมก้อนเล็กที่อมเอาไว้ แต่เป็นเพราะเจ้าตัวที่ยิ้มจนแก้มฟูเหมือนขนมปังที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ แน่นอนว่าของที่ทำให้เจ้ายิ้มแบบนั้นคงไม่พ้น จำพวกหมีหรือตุ๊กตากระต่าย


    เป็นเด็กผู้ชายที่ชอบตุ๊กตาสินะ


    แบบนั้นทำให้เขาเผลอคิดว่ามันน่าเอ็นดูจริงๆ ความรู้สึกเหมือนอยากจะยื่นตุ๊กตาร้อยๆตัวนี่มันยังไงกัน ถ้าได้แลกกับรอยบุ๋มของลักยิ้มสองข้างแก้มนั้น เป็นพันๆตัวเขาก็อยากจะหามาให้


    'พี่ธิว! แอบดู'
    'ไม่ได้แอบ นายไม่เห็นเอง'
    'จริงหรอ'
    'อืม'


    เขาเดินอารมณ์ดีเข้าไปใกล้เด็กใสซื่ือคนนั้น กองตุ๊กตาเป็นพะเนินทำให้เขาตาลายเพราะสีสันของมัน


    'แล้วจะทิ้งตุ๊กตาตัวเก่าไหม'
    'ดีดี้หรอ'
    'ใครน่ะ'
    'ดีดี้'
    'ชื่ือของมันหรอ เอ่อ ดีดี้ีน่ะ'
    'อืม ดีดี้ีเป็นผู้หญิง ต้องชื่ือผู้หญิง'
    'อ่อ อืม'
    'แต่มันสกปรก'


    สองมือเล็กปัดรอยเปื้อนดำๆบนตัวของดีดี้ หาสาเหตุไม่ได้ว่าเปื้อนอะไรมา


    'มันเปื้ือนหรอ'
    'อืม'
    'อ่า ขอโทษนะ'
    'ขอโทษทำไมพี่ธิว'
    'เปล่าหรอก รู้แค่ว่าฉันขอโทษก็พอ'
    'ไม่เข้าใจเลย'





    ,





    ฤดูใบไม้ร่วงมาถึง พื้นริมถนนในเมืองเต็มไปด้วยใบไม้โทนสีส้ม เหลือง และน้ำตาล แมทธิวมาเรียนมหาลัยในเมืองและจะกลับบ้านเพียงแค่เทอมละสี่ห้าครั้ง น้อยมากเมื่อเทียบกับระยะที่ไม่ค่อยจะไกลกันเท่าไหร่ของบ้านและมหาลัยในเมือง

    ชีวิตวัยยี่สิบสองไม่ได้ดำเนินไปอย่างสงบเหมือนคราวที่ได้อาศัยอยู่ที่บ้าน สภาพแวดล้อมทำให้แมทธิวได้เรียนรู้เรื่องต่างๆมากขึ้นในมหาลัย หลายๆเรื่องที่ตอนมัธยมเขาเคยคิดว่าเขาคงไม่ทำเรื่องแบบนั้ันเด็ดขาด ทว่าตอนนี้เขากลับได้ลิ้มลองมันเกือบทุกอย่าง แอลกอฮอร์ ชกต่อย เรื่ืองผิดกฎหมาย หรือผู้หญิง และการโดดเรียนทั้งอาทิตย์





    ,





    'คิดว่าจะไม่กลับมาเสียแล้ว โตเป็นหนุุ่มหล่อแบบนี้ีหลานน้าเนื้อหอมแน่ๆ จริงไหม'
    'ไม่หรอกครับน้าอันธ์ ผมไม่เห็นผู้หญิงคนไหนในเมืองจะสวยเท่าน้าอันธ์ของผมเลยสักคน'
    'แหมแหม ปากหวานเหมือนคนเมืองเสียจริง แล้วนี่กลับมาตั้งแต่วันไหนแล้ว'
    'สองสามวันเองครับ'
    'แล้วจะกลับไปในเมืองเมื่อไหร่น่ะ'
    'คงจะเป็นอีกสองอาทิตย์ครับ'
    'อีกนานเลย งั้ันแมทธิวขึ้นไปเล่นกับเจ้าแดนนี่ได้นะ เดี๋ยวนี้ีโตเป็นหนุ่มน้อยก็ไม่ค่อยจะออกไปเล่นดินเล่นทรายข้างนอกแล้ว'
    'ครับ งั้นผมฝากแม่ไว้กับน้าอันธ์ทีนะครับ อยากมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว บอกมีเรื่องจะคุยเยอะไปหมด แต่ผมเพลียก็เลยหลับไปก่อน'
    'ได้จ้ะ ตามสบายเลยนะลูก'


    เขากลับมายืนที่ประตูไม้ลายเดิม ครั้งนี้ไม่ได้ถูกเปิดแง้มไว้ แถมยังถูกลงล็อคจากอีกด้านเสียด้วย


    คงจะโตแล้วอย่างที่น้าอันธ์ว่า


    '...'
    '...'


    ประตูถูกเปิิดโดยเจ้าของห้อง นาทีที่ได้สำรวจความเปลี่ียนแปลงที่ได้เห็นครั้ังสุดท้ายคืองานวันเกิิดคืนนั้น คืนก่อนที่เขาจะได้เรียนพิเศษหนักขึ้นเพื่ือรอสอบเข้ามหาลัย จึงทำให้เวลาไปและกลับท่าเรือนั้นไม่เหมือนเดิม เพราะเวลาที่คลาดเคลื่อนนั้นทำให้เราไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก เขามองเห็นความสูงที่สูงขึ้นมาสมกับวัย ใบหน้าดื้อรั้ันนั้ันดูนิ่งขึ้น ผิวที่เคยขาวอยู่แล้วมันขาวขึ้นกว่าเดิมเมื่ือมีหลังคาคอยปกป้องลมแดดอยู่ตลอดเวลา และแววตาที่เคยดูใสซื่ือกลับดูนิ่งเรียบ


    'ขอเข้าไปข้างในได้ไหม'


    กระดาษเนื้อดีถูกวางไว้หรือบางทีเจ้าของห้องอาจจะขี้ีเกียจเก็บ กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นที่ บางรูปที่ถูกวาดด้วยสีน้ำโทนทึบ มองดูแล้วชวนให้น่าขนลุก แต่บางรูปกลับแต้มไปด้วยสีสันสดใสราวกับว่าโลกใบนี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน


    แมทธิวนั่ังลงที่โซฟาเดี่ยวริมหน้าต่าง เขาตกอยู่ในภวังค์เมื่ือกำลังคิดอยู่ว่าบุคคลที่จะวาดภาพหลายๆความรู้สึกแบบนี้นั้นเป็นคนยังไง โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังโดนเจ้าของห้องมองมาด้วยความสงสัยอยู่เล็กๆ


    'มีไรก็พูดแล้วกัน จะพักสายตา'


    เจ้าของห้องว่าจบก็หลับตาพริ้มบนโซฟาเดี่ยวตรงข้ามกัน ทว่าสองขาเล็กนั้นขยับขึ้นมาตั้ังชันชิดกันบนโซฟา


    เขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่าแดนนี่สวมเพียงแค่เสื้อยืดสีขาวตัวยาวที่คลุมลงมาน่าจะประมาณเข่า เสื้อสีขาวกับงานศิลปะ แน่นอนว่าเจ้าตัวคงไม่ใช่คนที่ระวังตัวอะไรขนาดนั้น ถึงทำให้มีแต่รอยสีสันแต้มเป็นจุดๆอยู่บนเสื้อ


    เขาไม่มีอะไรจะพูดเมื่อเจ้าของห้องเองก็ดูเปลี่ยนไปและไม่ได้ดูสดใสเหมือนเมื่ือก่อน แต่กลับกลั้นคำพูดนี้เอาไว้ไม่ได้


    'เอาขาลงแล้วนั่ังดีๆซะ'


    เปลือกตาที่กำลังหลับพริ้มลืมตาขึ้น ประสานสายตากับผู้มาเยือนนิ่ง แดนนี่กำลังประมวลผลว่าคำพูดนั้นถูกพูดออกมาโดยเจตนาใด


    คำบอกเล่า?

    คำขอร้อง?

    หรือ คำสั่ง?


    อืม ถ้าเป็นคำสั่งล่ะก็ แดนนี่ไม่คำตามหรอก แถมจะยิ่งทำมันให้แย่มากกว่าเดิมอีกต่างหาก


    'แดนนี่'


    แมทธิวคิ้วขมวดทันทีเมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องนั้ันแยกขาขาวออกจากกันโดยที่ยังดึงเสื้อตัวยาวนั้นลงมาบดบังส่วนนั้ันไว้อยู่


    'เรียกหลายรอบแล้วก็พูดซะทีสิ มีอะไร'
    'นั่งดีๆเถอะ'
    'อยากนั่งแบบนี้ ไม่พอใจก็ออกไปได้เลย'
    'ดื้อ'
    'ไม่ใช่'
    'ไม่ใช่ดื้ือ แล้วอะไรล่ะ'
    'ไม่รู้ แต่ไม่ใช่ดื้อ'


    ทั้งคู่เงียบไปแต่ไม่ได้ดูเหมือนจะสงบสงครามย่อมๆนี้ลง เมื่อเจ้าของห้องยังคงนั่ังในท่าทางที่ขัดกับคำสั่ังของเขาเมื่อครู่


    แมทธิวไม่ได้อยากจะมองร่างขาวๆที่กำลังถูกแสงแดดโลมเลียนี้ีอยู่เลยสักนิด แต่จุดพักสายตาของเขามันอยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นที่ร่างขาวนั้ันกำลังนั่ังอยู่ต่างหาก

    แน่นอนว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาของคนโตกว่า เสื้ือนั้นวับๆแวมๆจนเดาไม่ออกว่าเจ้าตัวได้สวมชั้นในไว้อยู่หรือไม่


    แดนนี่คงไม่รู้ว่าผู้ชายวัยยี่สิบสองปีสามารถคิดอะไรได้บ้าง คนที่เห็นโลกมาเยอะกว่าย่อมได้เปรียบเสมอ เมื่อเทียบกับโลกของแดนนี่วัยสิบห้าปี การกระทำแบบนี้แดนนี่คงเรียกว่าเป็นการยั่วโมโห หรือกำลังแสดงอำนาจว่าเขาโตพอที่จะไม่ต้องฟังคำสั่งของใคร


    'รู้ไหมว่าเด็กดื้อจะต้องร้องไห้เสียใจทีหลัง'
    'ไม่รู้ ก็ไม่ได้ดื้อ'
    'ไม่ได้ดื้อก็ฟังกันหน่อย'
    'ไม่อยากเห็นหรอ'
    'อะไร'
    'ขาแดนนี่'
    'กำลังพูดถึงอะไร'
    'เห็นมองอยู่ตั้ังนาน แถมยังบอกว่าให้เอาลงอีก'
    'ไม่ใช่แบบนั้ัน'
    'ถ้าไม่อยากเห็น ก็ไม่ต้องเห็น'


    ว่าจบเจ้าของห้องก็ลุกออกจากโซฟาตัวเดิมที่นั่งอยู่ มานั่งซ้อนทับแนบกับตัวเขาบนโซฟาเดียวกัน ซ้ำยังชันขาขึ้น และวางฝ่าเท้าบนหน้าขาของเขาเสียอีก


    'เท่านี้ก็ไม่เห็นแล้ว เลิกสั่งได้สักทีนะ อ่อ ถ้าไม่พอใจก็บอกว่าให้เดินออกไปได้เลย'







    โอเค บางทีโลกของวัยยี่สิบสองปีกับสิบห้าปีมันอาจจะไม่เหมือนกันก็จริง เหตุผลมุมมองต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่พอเทียบกับด้านการกระทำนั้นมันบางจนแทบจะมองไม่เห็นความต่างเลยทีเดียว




    ,





    แดนนี่ตื่นมาบนที่นอนกลิ่นคุ้นเคย แทบเดาไม่ออกว่าเขาหลับไปบนตัวอุ่นๆของผู้บุกรุกไปได้ยังไง เพราะปกติต่อให้เขากำลังวาดรูปอยู่ที่พื้น และต่อให้ง่วงแค่ไหนก็ไม่มีวันนอนตรงนั้น จะพาร่างมานอนบนเตียงอุ่นๆได้ทุกครั้ง


    'ลดน้ำหนักบ้างได้ไหม'
    'อะไร'
    'เปล่า'
    'ขอบคุนที่ให้นอนบนตัว'
    'ระวังคำพูดบ้าง'
    'ทำไมต้องระวัง'
    'เฮ้อ'
    'ถอนหายใจทำไม'
    'เปล่าครับ'


    แดนนี่นอนมองเพดานว่างเปล่า ข้างกายมีพี่ชายในหมู่บ้านเดียวกันกำลังอ่านหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับศิลปะในยุคต่างๆตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่รู้ว่าอ่านจริงหรือแค่เปิดดูแค่หน้าที่มีรูปภาพ เพื่อนๆของแดนนี่มักบอกว่าหนังสือศิลปะนั้นน่าเบื่อ แต่มันเป็นสิ่งที่แดนนี่อยากทำมากที่สุด แบบนั้นเลยไม่ค่อยออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆในหมู่บ้านสักเท่าไหร่


    'พรุ่งนี้จะมาอีกไหม'
    'พูดใหม่ ไม่ได้ยิน'
    'มาอีกไหม พรุ่งนี้น่ะ'
    'อยากให้มารึเปล่า'
    '...'
    '...'
    'อืม'
    'อืม ก็จะมา'
    'จนกว่าจะกลับในเมือง'
    '...'
    'มาทุกวันได้ไหม'
    '...ถ้าต้องการแบบนั้นนะ'
    'ต้องการแบบนั้น'
    'บอกได้ไหมทำไมต้องการแบบนั้น'
    '...'
    '...'
    'ถ้ามา จะพาไปวาดรูปดอกซัลเวียหลังเขา'
    'แค่นั้นหรอ'
    'ถ้าไม่รู้ งั้นแค่นั้นก็ได้'
    'อืม'
    '...'
    'จะมาทุกวัน'



    END
    ส่งฟีดแบค ติ&ชม ได้ที่ #บันทึกจูเอ็ม ในทวิตค่ะ

    *ดอกซัลเวียมีความหมายว่า ผู้ให้มีความคิดถึงต่อผู้รับเหลือเกินค่ะ น้องแดนนี่ซ่อนความหมายในคำพูดไว้ หวังว่าพี่แมทธิวจะรู้ว่าน้องการจะสื่ออะไรได้ไวๆ เพราะถ้ารอน้องพูดเอง คงเป็นไปได้ยากมาก ดูทรงแล้วดื้อทั้งคำพูดและการกระทำเลย

    ดอกซัลเวียจะขึ้นทุกๆฤดูใบไม้ร่วงค่ะ จะขึ้นเดือนสิงหาถึงต้นธันวา แต่มีคนบอกเอาไว้สามารถขึ้นได้ทั้งปีเลย อันนี้เราไม่ค่อยแน่ใจเลยค่ะ แต่เอาเป็นว่าเป็นดอกไม้ที่ประจำฤดูใบไม้ร่วงและมีความหมายที่ดีมากๆ

    **ขอพูดถึงบทความคิดนึงของแมทธิวนะคะ เราอ่านแล้วก็แก้นานมาก เพราะกังวลว่าคนอ่านจะเข้าใจที่อยากจะสื่ือกันรึเปล่า เลยอยากอธิบายไว้ คือเราต้องการสื่อว่าวัยยี่ีสิบสองกับสิบห้ามันมีมุมมองที่ต่างกัน แต่พฤติกรรมอาจจะบังเอิญออกมาในรูปแบบที่คล้ายกัน เราให้เหตุผลที่น้องแดนนี่ทำท่าแบบนั้น คือแมทธิววัยยี่สิบสองจะมองไปว่านี่คือการอ่อยหรือให้ท่า แต่แดนนี่วัยสิบห้าจะมองไปว่านี่คือการวางอำนาจหรือกำลังขัดคำสั่งอยู่ และในตอนสุดท้ายจะเห็นว่าแดนนี่ไปนั่ังซ้อนแมทธิว ตามที่ได้บอกคือแดนนี่แค่แก้ปัญหา แต่แมทธิวมองว่านี่คือการกระทำเชิงลบ.. ซึ่งตรงนี้พฤติกรรมที่แสดงออกมันค่อนข้างที่จะตีความหมายได้ยาก แต่เจตนาของทั้งคู่จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน


    นั้ันแหละค่ะตามที่เราอยากจะสื่อ ไม่รู้ว่าอ่านแล้วจะงงอยู่ไหมหรือจะงงมากกว่าเดิม.. แหะ


    ***หลังตรงนี้ีขอพูดอะไรไว้บ้างดีกว่า ถือว่าเป็นการบันทึกไว้.. (ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาแล้วนะคะ สามารถข้ามได้เลย)

    ก่อนอื่นเลยขอพูดว่าหายจากการเขียนไปนานมาก นานมากจริงๆจนรู้สึกเลยว่าตัวเองภาษาเปลี่ยนไป.. แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะอยู่กับตัวเองตลอดเลยไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนไปจริงๆไหม แต่ที่แน่ๆคือทักษะอาจจะดรอปลงไปบ้างเพราะร้างไปนานเลยค่ะ แต่ยังไงถ้ายังมีคนที่อ่านอยู่จนถึงบรรทัดนี้ีก็ขอบคุณจากใจจริงมากๆเลยนะคะ แล้วก็คิดถึงนักอ่านทุกคนมากๆ การเขียนยังเป็นเรื่ืองที่เรารักมาตลอด มีบางจังหวะที่คิดว่าอาจจะไปต่อไม่ได้แล้ว แต่ตอนนี้ก็ได้มาเจอกันอีกครั้ังแล้วนะคะ เพราะงั้นขอฝากให้ความรักไว้อีกสักเรื่องนะคะ:-D










Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in