เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Minimore Sessionkaowhomm
Session 01 - Travelogue
  • ถ้าพูดถึงการไปเที่ยวญี่ปุ่นตัวคนเดียว เดี๋ยวนี้ก็คงเป็นเรื่องขี้ประต๋อย เพราะมีข้อมูลที่เที่ยวให้ศึกษามากมายเหลือเกิน ไปร้านหนังสือทีไรนี่เจอไกด์บุคญี่ปุ่นสองแผงเต็มหรือจะไปส่องตามกระทู้พันทิปก็มีอีกพรึ่บ เราก็เลยคิดว่าไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวมันไม่คูลแล้วอ้ะ(5555555)แล้วตัดสินใจปักหลักที่โครงวูฟซึ่งเคยจะไปกับเพื่อนตอนมัธยมแต่ตอนนั้นยังเยาว์วัยนักแผนจึงล่มสลาย แล้วก็ไม่คิดเลยว่าอีกสองสามปีต่อมาสิ่งที่เคยมโนไว้จะได้เกิดขึ้นจริงๆเพราะความอยากคูล

    หลายๆคนคงรู้จักโครงการวูฟ(wwoof)มาก่อน แต่สำหรับคนที่ไม่ทราบนั้นอธิบายได้คร่าวๆว่ามันคือโครงการที่ ให้เราทำงานซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฟาร์มออร์แกนนิคแลกกับที่อยู่ ง่ายๆก็คือกินฟรีอยู่ฟรีนั่นแล แล้วจะได้วันหยุด1วันต่อสัปดาห์ ก็เอาเวลาไปเที่ยวหรือสุนทรีตามใจชอบเลยแจร้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นโครงการนี้มันดันไม่มีกฎหมายรองรับ(พี่ๆเค้าคงไม่เข้าใจการสานสัมพันธ์วัฒนธรรมผ่านการปลูกผักหญ้า ช่างน่าเศร้าใจนัก)ซึ่งก็แปลว่าไม่มีวีซ่าชนิดไหนรองรับการเข้าญี่ปุ่นเพื่อไปwwoof สำหรับคนที่อยากอยู่ยาวอย่างยั่งยืนจึงแนะนำให้ขอวีซ่าประเภทท่องเที่ยวไป และบางทีท่านอาจจะได้รับโทรศัพท์สอบถามจากทางสถานทูตว่าทำไมอยากไปญี่ปุ่นนานขนาดนู้นนี้นั้น(อันนี้แล้วแต่ดวง แต่กรูโดนจ้าา อยากเล่ามากระทึกขวัญสุดๆ แต่กลัวโดนจับอ่ะ)

    ขอข้ามเรื่องอย่างรวดเร็วเพราะตอนนี้บ่ายสามแล้ว (หมดเขตส่ง6โมงเย็น) ข้ามไปตอนแลนดิ้งถึงสนามบินซัปโปโร ไอเราก็กลัวตม.ถามมากแต่ก็ผ่านฉลุยมาด้วยดี อันที่จริงถ้าโดนเราก็มีแผนสำรอง เตรียมแพลนเที่ยวหลอกๆไปพร้อมกับปริ้นใบจองโรงแรมที่พักไปด้วย(ที่สามารถยกเลิกได้ฟรีๆ)(อะไรจะแน่นเบอร์นั้นอ่ะ)  เมื่อออกมาได้ก็เล็งหาตู้โทรศัพท์แล้วจิ้มเบอร์โฮสที่เลือกไว้ เสียงแรกที่ได้ยินโฮสตอบกลับก็แลนุ่มนวลใจดีดูไปกันได้ ทำให้เราอุ่นใจไปสามสิบเปอร์เซนต์ วางหูเสร็จ เราก็ไม่รอช้าจัดแจงหยอดตู้ซื้อตั๋วมุ่งหน้าไปยังเมืองmukawa ซึ่งเป็นเมืองแรกที่คาดหวังไว้ว่าจะไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ 


  • เราก็ไม่คิดว่ามันจะชนบทขนาด รถไฟประมาณ3ต่อชนบทขนาดที่รถไฟช่วงสุดท้ายมีโบกี้เดียวอ่ะ(ไหมเคยเจอมาก๋อนเลยจ๋า) พอไปถึงสถานีปลายทางก็นั่งรอโฮสประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงได้ นานขนาดนี้พึ่งได้กลิ่นถึงความเอวัง เลยเดินๆหาตู้โทรศัพท์แล้วกดเบอร์ไปอีกรอบ ปรากฎว่าเข้าใจสถานที่นัดแนะกันคนละที่โธ่เอ้ย ผิดที่ฉันหรอ(ก็คงอย่างนั้นแหละ55555) ซักประเดี๋ยวเดียวก็มีรถกระบะสีขาวคันจิ๋วมาจอดเทียบท่าตรงหน้า ป้าวัยกลางคนเดินลงมาไม่พูดไม่จายกกระเป๋าฉันขึ้นกระบะ เฮ้ยเดี๋ยวๆช้าก่อนนายจ๋า แต่ไม่ทันไรป้าก็เรียกฉันขึ้นรถ เราคุยกันบนรถได้ใจความว่าป้าก็คือโฮสฉันนี่แหละชื่อนาโอมิ แกมารับเราไปส่งที่บ้านแล้วเดี๋ยวต้องรีบไปแบงค์ต่อประการฉะนี้เอง เมื่อถึงบ้านก็พบว่ามีชาวฮ่องกงอีกสองคนมาวูฟในช่วงเวลาเดียวกับเราเหมือนกัน อ่อเขาเป็นผู้หญิงทั้งคู่เลย(แหม่น่าเสียดาย) เรายกของไปเก็บบนห้องที่จัดแจงไว้ให้สำหรับชาววูฟ ซึ่งอยู่ในบ้านของครอบครัวนี้แหละ ห้องแบบญี่ปุ่นเต็มไปด้วยชั้นหนังสือการ์ตูนวัยเด็กเกินครึ่งห้อง เข้าใจว่าน่าจะเคยเป็นห้องของลูกชายคนเล็กมาก่อน  หลังจากเก็บของเสร็จเพื่อนชาวฮ่องกงก็พาเราชมบริเวณบ้าน 
    ต้องขอเกริ่นว่าก่อนมาเราได้คัดสรรบ้านที่จะมาไว้หลายบ้านมากซึ่งบ้านนี้เป็นตัวเลือกอันดับแรกๆเลย แล้วก็โชคดีที่เค้าว่างช่วงที่เราจะมาพอดี หรือนี่จะคือพรมลิขิต.... ในโปรไฟล์ของบ้านนี้เขียนไว้ว่ามีสมาชิกคือพ่อ แม่(นาโอมิ) ยายและเด็กๆ3คน ทำสวนผักออร์แกนนิค เลี้ยงหมาและแพะไว้เฝ้าบ้านอย่างละ1ตัว ที่สำคัญบ้านนี้เลี้ยงวัว! ซึ่งฉันวาดภาพไว้ว่าจะมาเป็นสาวชาวไร่นั่งรีดนมวัวสวยๆ ชมวิวน้องวัวลายจุดขาวดำน่ารักน่าชัง แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าตอนนี้วัวถึกๆสีน้ำตาลเกือบดำทั้งคอก! ที่หน้าตาละม้ายคล้ายควายทุ่งบ้านเราซะเหลือเกิน วัวที่พูดถึงในโปรไฟล์คือวัวเนื้อไม่ใช่วัวนมแต่อย่างใดทั้งนี้ทั้งนั้นก็เกิดจากความเข้าใจผิดของฉันเอง(อีกแล้ว)


    ตัดฉากมาที่เริ่มงานวันแรก 7โมงเช้านี่แบกฟางกันแล้ว เราต้องมาให้อาหารน้องวัวกันแต่เช้าตรู่(กินก่อนกรูอีก) รวมไปถึงให้น้ำให้อาหารเม็ดและกวาดขี้ของมัน ก็แบ่งหน้าที่กันเรียบร้อย เสร็จแล้วก็ถึงเวลาดีเวลากินจ้า อาหารที่นี่โอชะมากๆ นาโอมิจะเป็นคนจัดให้ตลอด เรามีหน้าที่แค่ตักข้าวและล้างจานในส่วนของตัวเอง ช่วงบ่ายจะเป็นเวลาทำสวนซึ่งสวนจะอยู่ห่างจากบ้านไปประมาณ300เมตรส่วนใหญ่เราจะนั่งกระบะจิ๋วกันไปบางวันก็ได้นั่งรถตัก! นั่งห้อยขาตรงที่ตกมันนั่นแหละ

    สองสามวันผ่านไป บ่ายวันหนึ่งนาโอมิก็บอกว่าเดี๋ยวตอนบ่ายไปเที่ยวกันนะ ไม่มีงานให้ทำ นี่ มัน นี่มันเสียงสวรรค์ปุนิพวกเราตื่นเต้นกันใหญ่ บ่ายวันนั้นนาโอมิขับรถพาเราไปเที่ยวทะเลสาบกับฟาร์มม้า เอาเข้าจริงแล้วรู้สึกได้ว่าเค้ารักเราเหมือนลูกเลย ไปไหนพาไปด้วยขนาดไปซื้อไม้ก่งไม้กวาดน้ำยาล้างห้องน้ำเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าบ้านยังพาไปเลย55555  
    อีกหนึ่งความประทับใจคือได้ไปเข้าคลาสเรียนเขียนอักษรญี่ปุ่น ซึ่งนาโอมิทิ้งเราไว้กับครู ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ส่วนเราก็ไม่เข้าใจญี่ปุ่นซักกระเบียดเดียว สุดท้ายก็ไปกันได้ด้วยดีมากๆ  ภาษานี่มันไม่ใช่อุปสรรคสำหรับมิตรภาพที่ไร้พรมแดนจริงๆ!


  • ลืมบอกไปว่าเราตั้งใจจะไปวูฟทั้งหมด2ที่ ที่ละสัปดาห์ คั่นด้วยการเที่ยวในฮอกไกโด3วันกับเพื่อนคนไทยที่นัดกันไว้ ส่วนที่วูฟที่สองนั้นเราจะลงไปแถบโตเกียวด้วยกันกับเพื่อนคนนี้แหละ ในค่ำคืนสุดท้ายก่อนจะจากบ้านนาโอมิไป ทางบ้านก็จัดบาบิคิวปาร์ตี้ให้ เราก๊งกันเล็กน้อย ฉันใช้โอกาสนี้โชว์เพลงชินจังเวอร์ชั่นภาษาไทย ตอนนั้นจำได้ว่าบรรยากาศมันมีแฮปปี้มากแรนด้อมมาก มันเป็นประสบการณ์หลายๆอย่างที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบเจอ รุ่งเช้าทุกคนในบ้านรวมทั้งเพื่อนฮ่องกงที่ยังคงอยู่ต่อก็มาส่งฉันที่สถานีรถไฟ ก่อนจะติ๊ดบัตรเข้าไปเรากอดคอร่ำลากัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาหนึ่งสัปดาห์สั้นๆจะทำให้พวกเรากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อจากกัน...อ่ะล้อเล่น 55555โลกของชั้นไม่ได้ซาบซึ้งอะไรขนาดนั้นเราก็แค่ลาจากกันด้วยกอดที่อบอุ่นพร้อมกับของฝากคือภาพความทรงจำที่คงลบได้ยากติดไว้ในใจ

    ฉันนัดเจอเพื่อนที่สถานีอาซาฮิกาวะ เจอหน้าเพื่อนครั้งแรกหลังจากอยู่ฟาร์มทำตามหัวใจปรารถนามา ก็รู้สึกปรีติยิ่งนัก เราเริ่มเที่ยวกันเลยตั้งแต่วันแรกจับรถไฟไปบิเอะ เห็นเค้าว่ากันว่าฟาร์มดอกไม้ที่นี่ตระการตาเหลือเกิน จริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้มีความปลื้มใจอะไรในหมู่มวลดอกไม้มากนักหรอก แต่คุณเพื่อนอยากไปเราก็จัดให้ พอไปถึงเราฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีแล้วเช่าจักรยานขี่กัน ตอนแรกก็คิดว่าชิวๆชมทุ่ง ที่ไหนได้ขี่กันข้ามเขาเป็นลูกๆเลยมรึ้ง แต่วิวนี่ต้องยอมเค้าจริงๆอ่ะ นี่ขนาดไม่ชอบนะเนี่ย
    เที่ยวแบบอัดแน่นต่อด้วยฟุราโนะตอนไปถึงก็เย็นย่ำมากแล้วจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แต่โชคก็ยังเข้าข้างเราคือมันปิดแค่ร้านค้าแต่ยังชมดอกดงลาเวนเดอร์ได้อยู่ หลังจากซึมซับความอุดมหมู่มวลดอกไม้ทั้งวันตกเย็นเราก็รีบขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย(สุดท้ายจริงๆ)เข้าซัปโปโร แล้วมีหนึ่งสถานีที่เราต้องเปลี่ยนขบวนซึ่งไอเวลาที่ใช้เปลี่ยนเนี่ยมันแค่สามนาที เราก็กลัวไม่ทันเลยไปคุยกับคนตั๋วว่ามีรอบอื่นอีกมั้ยปรากฎว่าก็ไม่มีจ้า แล้วเค้าก็บอกว่ามันเป็นสถานีเล็กๆเปลี่ยนแค่เดินไปแพลทฟอร์มตรงข้ามไม่ยากหรอก ที่ไหนได้ตรงข้ามจริง แต่ต้องข้ามสะพานลอย!! ซึ่งฉันต้องแบกกระเป๋าพี่เบิ้มไปด้วย!!! แต่สุดท้ายก็ทันว่ะ

    สำหรับการเที่ยวอีกสองวันเราไปสวนสาธารณะที่เคยใช้เป็นที่ถมขยะมาก่อน และเค้ามาทำใหม่เป็นสวนซึ่งเราจำชื่อของมันไม่ได้แล้ว แต่มันเด็ดมากจริงๆ และการวูฟที่สุดท้ายซึ่งเผ็ดสุดๆแบบโบกรถ กวาดคันนา คงจะต้องเขียนต่อในฉบับหน้า เนื่องจากเวลาน่าจะไม่ทันการจริงๆ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

    พอเขียนเสร็จแล้วฉันพึ่งมาคิดได้ว่ามันดูไม่ค่อยเป็นท่องเที่ยวซักเท่าไหร่ อันนี้น่าจะทำนองเขียนความประทับใจมากกว่า แต่ก็รู้สึกอิ่มใจที่ได้แชร์ความรู้สึกดีๆต่อให้คนอื่นได้รับรู้ :)











Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in