trek with me
ดงยองไม่ชอบเดิน
ไม่ชอบวิ่ง
ไม่ชอบออกกำลังกาย
ไม่ชอบทำอะไรทั้งนั้นที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกเหนื่อย
ก็แค่อยากนอนเฉยๆ นอนโง่ๆ อยู่บนเตียงแบบไม่คิด ไม่ทำอะไรเลยไม่ได้เหรอ?
“บนนั้นมีดาวสวยกว่านี้ล้านเท่าเลยนะจะบอกให้”
แต่เพราะประโยคนี้ประโยคเดียวที่ทำให้คนติดเตียง ขี้เกียจขยับร่างกายอย่าง คิม ดงยอง ต้องยอมทิ้งความเป็นตัวเอง
ยอมจากเตียงนุ่มๆ ผ้านวมอุ่นๆ เพื่อมานอนกับหญ้าชื้นๆ พื้นหินแข็งๆ แถมลมตอนกลางคืนยังแรงจนต้องชันเข่าขึ้นโอบให้ความอบอุ่นแก่ตัวเอง
ไม่นับระยะทางเกือบ 10 กิโลเมตรที่ดงยองต้องเดินเท้าผ่านถนนลูกรังขรุขระ ผ่านป่ารกชัฏที่มีต้นไม้ขึ้นสูงท่วมหัว ผ่านทางเดินแคบๆ ตรงหน้าผาที่ไม่รู้ว่าจะหน้ามืดร่วงลงไปนอนรอเป็นอาหารเย็นของสัตว์ป่าที่พื้นหินเบื้องล่างเมื่อไหร่ เหตุเพราะท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงอันแสนสดใสแต่ช่างไม่เป็นใจกับการเดินทางไกลของเขาเอาซะเลยนี่น่ะสิ
“ใส่ไว้สิ เดี๋ยวก็เป็นลมเอาหรอก”
แต่หากมองข้ามความโหดร้ายของสภาพเส้นทางที่ว่ามาทั้งหมดนั่น ก็ยังมีสิ่งดีๆ ที่พอจะทำให้อุ่นใจได้บ้างแหละนะ
ดงยองอมยิ้ม ยืนนิ่งให้คนตัวสูงกว่าบรรจงสวมหมวกบักเก็ตที่ร่วงหลุดจากหัวของเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ให้กลับขึ้นมาคลุมป้องกันแดด รวมทั้งแมลงตัวเล็ก หรือแม้กระทั่งกิ่งไม้ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อเจ้าของของมันได้
“นึกว่าบึ่งไปนอนเล่นบนยอดนู้นแล้วซะอีก”
คนตัวสูงหลุดขำกับความช่างประชดประชันของคนเด็กกว่า จัดการผูกเชือกร้อยหมวกที่คางของเจ้าเด็กปากเก่งเป็นโบว์ซะน่ารัก ก่อนจะใช้กำปั้นทุบหัวรั้นๆ ด้วยความมันเขี้ยว
“ใครจะทิ้งเด็กน่ารักอย่างดงยองงี่ได้ลงคอ”
“ฟังดูเป็นคนดี”
“เดี๋ยวหาพี่ไม่เจอร้องไห้เสียงดัง ช้างป่าก็แห่มาเหยียบพอดี โอ้ย”
คนเป็นน้องเตะเข้าที่หน้าแข้งไม่เบาแรง หมั่นไส้ คนอะไรมันจะน่าหมั่นไส้ขนาดนี้นะ ก็เขาไม่ใช่หรือไงที่เป็นคนลากดงยองมาตกระกำลำบากในที่ไกลบ้านไกลเมืองแบบนี้
ลากมาแล้ว อย่างน้อยก็ต้องลากกลับบ้านในสภาพดีๆ หน่อยหรือเปล่า แต่นี่อะไร มองหาทีไรก็เห็นแต่หลังอยู่ไกลลิบๆ เลย ไหนบอกว่า แค่หันมาก็จะเจอพี่อยู่ตรงนี้ทุกครั้ง ไง เจ้าคนขี้โม้
“ร้องเสียงดังเดี๋ยวช้างป่าก็แห่มาเหยียบหรอก”
ว่าพร้อมแลบลิ้นส่งให้คนเป็นพี่ ยักคิ้วหลิ่วตาทะเล้นนัก เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาพร้อมตอบกลับเป็นรอยยิ้มแสนเอ็นดู ความคิดที่จะเดินลิ่วนำไปหน้าขบวนในตอนแรกเป็นอันต้องจบลง
คงดีกว่าใช่ไหมล่ะ ถ้าหากว่าเราค่อยๆ เดินไปพร้อมกัน อย่างน้อย การได้เห็นเขาอยู่ในสายตา ถึงจะมีหน้างอๆ ตอนเหนื่อยให้เห็นบ้าง หรืออาจจะได้ยินเสียงงอแงคอยแต่จะบ่นอยากกลับบ้านตลอดทาง ก็คงดีกว่าหน้าหงอยๆ เศร้าๆ ตอนเขาหายไปจากสายตานั่นแหละนะ
ก็ดงยองอ่ะ ติดยองโฮอย่างกับอะไร
อยู่ห่างเกินสองเมตรไม่ได้หรอก เดี๋ยวช้างป่าแห่มาเหยียบล่ะก็ แย่เลย
เสียงกีตาร์โปร่งเพียวๆ จากวง
อย่างน้อยก็ทำให้ลืมพื้นหินแข็งๆ ที่ต้องล้มตัวลงนอนคืนนี้ได้แหละนะ
“เขาบอกว่าที่นี่เห็นดาวตกได้ชัดมากเลยนะ”
หันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนตัวโตที่เอ่ยออกมาในขณะที่สายตาของเขายังคงเหม่อมองไปยังท้องฟ้ามืดสนิทหากแต่ถูกแต่งแต้มด้วยแสงระยิบระยับจากดวงดาวนับล้านดวง
“ดงยองจะอยู่ถึงตอนดาวตกมาไหมน้าา”
คนถูกเอ่ยชื่อย่นจมูก รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอีกครั้ง แกล้งโยกตัวเพื่อให้ไหล่ที่แนบคลายความหนาวเย็นแก่กันอยู่ช่วยผลักอีกคนหวังให้เสียหลักล้มลงไปข้างๆ
แต่ดงยองคิดผิด
แรงเพียงเท่านี้ของดงยองจะไปทำอะไรเจ้ายักษ์ปักหลั่นอย่างยองโฮได้กันนะ เพราะอย่างนี้นี่แหละ ความตั้งใจจะแกล้งเขากลับบ้างก็ไม่สำเร็จอีกตามเคย กลับกลายเป็นตัวเองที่เสียหลักทำท่าจะล้มลงเสียเอง ถ้าหากไม่ได้มือใหญ่ๆ คว้าเอาไว้ก็คงล้มไปกระแทกโขดหินหรือโดนเศษหินแหลมๆ บนพื้นทิ่มเอาเป็นแน่ นี่สินะที่เขาเรียกว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว
“สวยเนอะ”
เราเลิกแกล้งกันไปมาเพื่อกลับมาดื่มด่ำกับบรรยากาศที่หาไม่ได้ในเมืองหลวง มันสวยกว่าดาวเรืองแสงบนเพดานห้องนอนของดงยองอย่างที่ยองโฮว่าหลายล้านเท่าจริงๆ ด้วย
“อือ สวย”
ดงยองไม่รู้หรอกว่าคำตอบที่ได้ยินจากเสียงคุ้นหูนั้นไม่ได้หมายถึงสิ่งเดียวกัน ริมฝีปากรูปปีกนกเผยรอยยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสะท้อนเพียงใบหน้าน่ารักที่มีแต่ความสุขฉายชัดออกมา ช่างต่างจากเจ้าเด็กหน้างอเง้าเมื่อตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง
you’re a star
ah ah ah ah ah ah ah ah ah…
i can see it all now, you’re a star
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรงแม้ว่าจะพยายามเก็บกลั้นรอยยิ้มมากแค่ไหน แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นผลเลยสักนิด เสียงทุ้มที่ติดแหบในเวลาที่เคลื่อนมากระซิบทำนองเพลงของนักร้องคนโปรดข้างๆ หู และฉวยโอกาสนั้นฉกชิงกลิ่นหอมของแก้มนวลไปก่อนที่เจ้าตัวจะได้คัดค้าน
แสงดาวพราวระยับเบื้องหน้าส่องสว่างมากพอจะทำให้มองเห็นแก้มแดงๆ และความขวยเขินของคนข้างๆ นั่นทำให้ยองโฮพอใจมากที่สุด รู้สึกขอบคุณเสียงกีตาร์โปร่งที่คลออยู่ไม่ห่าง มันช่วยพลางเสียงหัวใจที่รัวดังเป็นกลองชุดตรงนี้ได้อย่างดีทีเดียว
“ผมเหนื่อยมากเลยพี่รู้ไหม”
ใบหน้ายุ่งๆ กับเสียงอ่อนๆ ของคนข้างๆ ทำให้ยองโฮอดเอ็นดูไม่ได้ เหมือนว่าอีกคนจะพยายามหันเหความสนใจจากเหตุการณ์ชวนเขินเมื่อครู่ ทำได้ดีด้วยนะ เก่งที่สุดเลย
“รู้สิ” ส่งเสียงตอบพร้อมรอยยิ้ม นั่นทำให้คนได้ยินแอบอมยิ้มเช่นกัน
“ก็หน้านายบอกแบบนั้นมาตลอดทาง”
“แล้วที่มีความสุขมากเหมือนกันนี่รู้รึเปล่า”
“รู้อยู่แล้ว หน้านายตอนนี้ก็บอกพี่หมดเหมือนกัน”
เราพูดคุยกันผ่านดวงดาวบนท้องฟ้า ปล่อยเวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป
ให้ไหล่แนบไหล่กับไออุ่นที่เพิ่มขึ้นบอกแทนความในใจ
ใกล้กันขนาดนี้ คงได้ยินเสียงที่สะท้อนอยู่ข้างในชัดเจนแล้วสินะ
“คราวหน้าถ้าชวนจะมาอีกไหม”
“ถ้ามีพี่ก็ไปหมดทุกที่นั่นแหละ”
end.
เพลงที่พี่ยองโฮร้องคือเพลง Star - Bazzi ค่ะ ถ้าว่างๆ ก็ลองฟังกันนะคะ น่ารักมากๆ เลย
อาจจะไม่ดีนัก แต่ก็ขอฝากเอ็นดูด้วยนะคะ #dontsmileatmejnd
นึกภาพตามที่เขาสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยกันแล้วสบายใจจัง ไปในที่ที่ยากลำบากด้วยกันน่ะมันยิ่งทำให้รักกันมากขึ้นนะรู้มั้ย เหนื่อยหน่อยแต่ก็ทำให้ใจได้ใกล้กันใช่มั้ยล่ะ
ทุกอย่างน่ารักไปหมดเลยค่ะ น่ารักตั้งแต่ดงยองยอมทิ้งคุณที่นอนแสนนุ่มไปกับพี่เค้าแล้ว น่ารักตรงที่งอแงกับพี่เขาแต่ว่าก็อยู่นิ่งๆ ให้พี่กระชับหมวกให้ น่ารักตรงปากนุ๊บนิ๊บบ่นๆๆๆ ประชดพี่แต่ก็เดินตามไปด้วย แสบเอ๊ยยยยย
เอ็นดูความขี้เกียจแต่ก็เออไปก็ด้ะ ไม่ได้อยากไปหรอกนะ ไปแล้วเหนื่อยไม่คุ้มกับที่ไปน่ะ จะตีให้เลยนะจอห์น แต่พอถึงเวลาจริงๆ คุณดวงดาวก็ไม่ทิ้งดงยองนี่นา แถมยังให้ความอบอุ่นด้วยใช่ไหม ไม่ได้หมายถึงกองไฟ หมายถึงพี่จอห์นน่ะ ดูแลดงยองดีสุดๆ ไปเลยใช่มั้ยล่ะ ขี้แกล้งไปหน่อย ไม่สิ ไม่หน่อยเลย แกล้งเยอะะะะ ชอบแกล้งที่สุดเลยพี่จอห์นน่ะ แต่พอพี่แกล้งให้งอนแล้วก็ง้อด้วยการตามใจดงยองทุกอย่างเลย
แต่ว่าแค่เป็นพี่จอห์น ดงยองก็สบายใจแล้ว ดงยองไปไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ ขอแค่มีพี่จอห์นนะ
ฮืออออออ ขอบคุณมากนะคะคุณฟ้า เรื่องนี้น่ารักจังเลยค่ะ น่ารักทุกอย่างเลย น่ารักน่าตีมากๆ ที่พี่จอห์นแกล้งขู่น้องด้วยเสียงดังเดี๋ยวช้างมาเหยียบ ก็คือพี่!! อย่าแกล้ง ชอบนักรึไงที่ดงยองงอแงน่ะ หึ่ยยยย