ภาพยนตร์เรื่อง Little Women เวอร์ชั่นที่ทำขึ้นใหม่นี้ได้นำเสนอถึงบทบาทของผู้หญิงในศตวรรษที่ 19 อย่างเด่นชัด ผ่านตัวละครผู้ซึ่งเป็นผู้หญิง คือสาว น้อยตระกูลมาร์ช 4 คน ที่มีชื่อว่า เม็ก โจ เอมี่ และเบธ หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ เรื่องราวเกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่พ่อของพวกเธอต้องไปเป็นทหารออกรบในสงครามกลางเมืองของอเมริกา ซึ่งเกิดขึ้น ในระหว่างปีคริสต์ศักราช 1861 ถึง 1865 สงครามกลางเมืองซึ่งเกิดจากข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการถือครองทาส ระหว่างฝ่ายชาตินิยมสหภาพซึ่งให้ปฏิญาณว่าจะภักดีต่อ รัฐธรรมนูญสหรัฐ กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนออกเป็นสมาพันธรัฐซึ่งสนับสนุนสิทธิของมลรัฐในการคงไว้ซึ่งสถาบันทาส แต่สิ่งที่เรากำลังพูดถึงไม่ใช่ประเด็นหลักที่ภาพยนตร์ต้องการนำเสนอ สิ่งที่ภาพยนตร์นำเสนอคือภาพเหตุการณ์ในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกาในอีกมุมมองหนึ่ง คือมุมของผู้หญิง ผู้ซึ่งไม่ได้ออกไปรบเช่นกับผู้ชาย พวกเธอกำลังเผชิญสิ่งใดและมีบทบาทหน้าที่อย่างไรบ้าง เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่กำลังโตเป็นสาวกำลังจะได้ออกไปเผชิญกับโลกในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา พร้อมกับพยายามมุ่งมั่นเดินตามความฝันของตนเอง
ตัวละคร โจ มาร์ช สาวผู้มีความฝันอยากจะเป็นนักเขียนนิยายและช่วยเหลือดูแลครอบครัวได้ด้วยตนเอง เธอมีบุคลิกลักษณะที่ค่อนข้างแตกต่างจากพี่น้องคนอื่น ๆ เธอถึงกับพูดว่าถ้าเธอสามารถออกไปรบได้เธอก็จะไปแล้ว เธอไม่ได้มีความคิดว่าสิ่งที่ผู้ชายทำได้ผู้หญิงจะทำไม่ได้เริ่มตั้งแต่เปิดฉากแรกที่โจนำนิยายที่เธอเขียนเข้าไปขาย นิยายของเธอไม่เป็นไปตามแบบฉบับเรื่องราวโรแมนติกที่ผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชาย ในตอนจบ ชายผู้เป็นผู้รับซื้อนิยายยังบอกเธอว่า เรื่อง ที่จะขายได้และคนชอบอ่านกันควรจะแต่งให้ตอนจบนางเอกได้แต่งงานหรือไม่ก็ตาย แต่งานเขียนของโจไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าโจจะล้มเหลวอยู่หลายครั้งโจก็พยายามเดินตามความฝันอย่างไม่ย่อท้อ เธอเขียนนิยายเสมอเวลาที่เธออยู่ที่บ้าน ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว พร้อมทั้งน้องที่ชื่อเบธ ซึ่งเธอป่วยเป็นโรคหัวใจ
พี่สาวคนโตของครอบครัว เม็ก มาร์ช เป็นผู้หญิงซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่อยากจะแต่งงานมีครอบครัว บุคลิกของเธอดูเหมือนจะเป็นแบบผู้หญิงสุด ๆ เรียกได้ว่าตรงตามแบบแผนของหญิงในศตวรรษที่ 19 มากที่สุดในครอบครัว และเธอชอบที่จะได้แต่งตัวสวย ๆ ไปงานเต้นรำ หลังจากที่เธอพบชายที่เธอรัก เขาสองคนได้แต่งงานและมีครอบครัวด้วยกัน สามีของเธอไม่ได้มีฐานะร่ำรวยนัก ทำให้คุณป้าเศรษฐซึ่งไม่ได้แต่งงานมักจะกระแนะกระแหนเธอว่าเธอเลือกคนผิดเนื่องจากเธอแต่งงานกับชายที่ไม่ได้มีฐานะมั่งคั่ง ไม่สามารถทำให้เธอมีชีวิตที่สบายได้ ฉะนั้นเราอาจเห็นได้ว่า ในยุคสมัยนั้น การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรักใครแบบที่ใจต้องการเป็นสิ่งที่ยากจะทำได้ เพราะคนในสังคมล้วนคาดหวังว่าการที่จะแต่งงานหรือเลือกใครมาเป็นคู่ชีวิตควรจะเป็นคนที่มีทรัพย์สินมากพอที่จะดูแลผู้หญิงได้ไม่ว่าเธอจะรักเขาหรือไม่ก็ตาม ความรักก็คือการเมืองการตกหลุมรักคนที่มีอำนาจทางการเงินมากพออาจเป็นแบบแผนรักโรแมนติกที่ใคร ๆ ก็ใฝ่หา
ความฝันของลูกสาวคนที่สามของบ้าน เอมี่ มาร์ช คือการที่ได้เป็นศิลปิน สร้างผลงานจิตกรรมที่มีชื่อเสียง ชีวิตของเธอตอนที่อยู่ในบ้านกับพี่ ๆ เธอมักจะอิจฉาโจ มาร์ช ในหลาย ๆ เรื่องเพราะเธอรู้สึกว่าพี่สาวคนนี้ทำอะไรก็ดีกว่าเธอไปซะทุกอย่าง ที่สำคัญคือเธอชอบผู้ชายคนเดียวกันกับพี่สาวของเธอมาโดยตลอด ผู้ชายที่ชื่อว่าลอรี่ หนุ่มเชื้อสายอิตาเลียน ซึ่งครอบครัวมีฐานะดี ในภาพยนตร์ยังมีฉากที่นำเสนอให้เห็นถึงความต้องการของเอมี่ในตอนที่เอมี่ยังอยากจะเอาชนะพี่สาวของเธอด้วยการแต่งงานกับเศรษฐี แม้ว่าสุดท้ายเธอจะไม่ได้แต่งงานกับเขา ก็ตาม นั่นบ่งบอกให้เห็นว่าชีวิตที่ดีของผู้หญิงอเมริกันในศตวรรษที่ 19 ก็คือการได้แต่งงานกับคนที่มีฐานะดี
น้องสาวคนเล็กของบ้าน เบธ มาร์ช เป็นผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ ความฝันของเธออาจจะเป็นการได้เล่นเปียโนให้คนได้ฟัง เพราะเธอชอบเล่นเปียโนเอามาก ๆ แต่เธอคงไม่ได้มีโอกาสที่จะสานฝันของตัวเองให้สำเร็จ พี่สาวโจ มาร์ชมีความตั้งใจเสมอที่จะช่วยเหลือรับผิดชอบครอบครัวของตนเองให้ได้ หลังจากที่น้องสาวคนเล็กป่วยหนักเธอได้กลับมาที่บ้าน สุดท้ายน้องสาวคนนี้ก็เสียชีวิตลง
“ผู้หญิงมีความคิด มีจิตวิญญาณพอ ๆ กับมีหัวใจ
และพวกเธอก็มีความทะเยอทะยาน มีความสามารถพอ ๆ กับความงาม
และฉันเบื่อกับการที่คนมักพูดว่า ความรักเป็นสิ่งเดียวที่ผู้หญิงคู่ควร"
-โจ มาร์ช-
ความสัมพันธ์รักโรแมนติกของชายหญิงที่เป็นการเมือง การเข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์รักโรแมนติกจะทำให้ผู้หญิงมีอีกหนึ่งบทบาทในฐานะภรรยา นั่นทำให้ครั้งหนึ่งที่ชายหนุ่มลอรี่เคยสารภาพรักกับโจ แต่โจได้ปฏิเสธลอรี่ไปเพราะเธอไม่อยากแต่งงาน จริง ๆ แล้วเธอรักลอรี่ แต่เธอบอกว่าเธอไม่สามารถให้ความรักในแบบที่เขาต้องการได้ พูดได้ว่า เธอไม่สามารถเป็นผู้หญิงแบบที่ลอรี่ต้องการให้เธอเป็นหรือสังคมต้องการให้เธอเป็นได้ หลังจากครั้งนั้น เขาสองคน ก็ได้แยกจากกันไป
ภายหลังโจได้คุยกับแม่ของเธอถึงเรื่องที่เธอเคยปฏิเสธรักของลอรี่ เธอบอกว่าที่เธอไม่อยากรับรักของลอรี่ เป็นเพราะเธอคิดว่าความรักไม่ใช่สิ่งเดียวที่ผู้หญิงคู่ควร โจพยายามที่จะไม่ปฏิบัติตามค่านิยม ที่สังคมในสมัยนั้นต้องการให้ผู้หญิงเป็น คือการแต่งงานและมีครอบครัวและ ต้องพึ่งพาผู้ชายเท่านั้น หลังจากแต่งงานผู้หญิงก็ต้องรับบทบาทภรรยา ซึ่งทำให้เธอต้องทิ้งอะไรบางอย่างที่สำคัญกับตัวเธอเอง อาจเป็นความฝัน ความสามารถที่เธอมี หรือแม้แต่ความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่แค่คนในสังคมคาดหวังให้ผู้หญิงเป็นเช่นนั้น สื่อต่าง ๆ เช่นงานเขียนในสมัย นั้น นิยายที่คนต้องการอ่านก็เป็นเรื่องเป็นราวที่ผู้หญิงต้องแต่งงานในตอนจบ และต้องเป็นเรื่อง รักโรแมนติก วาดภาพไว้ให้คนเห็นว่าชีวิตที่ดีของผู้หญิงควรจะเป็นอย่างไร เห็นได้ในฉากหนึ่งของภาพยนตร์ที่ผู้รับซื้อนิยายบอกให้โจไปแก้งานเขียนให้เป็นเรื่องที่ความสนุกสนานผ่อนคลายไม่ต้องคิดอะไรมากมาย
เมื่อพูดถึงเส้นทางของหัวใจ ความจริงแล้วโจรักลอรี่ และในวันนั้นเธอได้ปฏิเสธเขาไปด้วยเหตุผลที่เธอไม่อยากจะเป็นคนในแบบที่สังคมคาดหวัง ต่อมาเธอกลับบอกแม่ของเธอว่าถ้าลอรี่ถามเป็นครั้งที่สองเธอจะตอบตกลง แม่ของเธอจึงถามขึ้นมาว่าแล้วโจรักเขาหรือเปล่า เรารู้ได้ว่าโจมีความรู้สึกดี ๆ กับผู้ชายคนนั้น แต่เธอก็ยังไม่กล้าที่จะเป็นคนเดินเข้าไปคว้าโอกาสของเธอไว้ตามความต้องการของเธอ เธอเพียงแต่รอให้ผู้ชายมาพูดสิ่งนั้นกับเธอ ผู้เขียนเห็นว่า โจ ยังตกอยู่ในการเล่นบทบาทแบบผู้หญิงซึ่งเป็นไปตามแบบแผนของสังคม เพราะเธอได้พูดว่าเธออยากเป็นคนที่ถูกรักมากกว่าจะเป็นคนที่รัก (คนอื่น) ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ในคู่ความสัมพันธ์ฝ่ายชายมีอิสระในการมีความรักมากกว่าฝ่ายหญิง การถูกรักต้องขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายเสมอ ซึ่งจุดนี้ค่อนข้างที่จะละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง เพราะการปฏิเสธความรักของลอรี่ในวันนั้นอาจบ่งบอกว่าโจในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ยกเว้นความรักแล้ว ยังมีสิ่งอื่น ๆ ที่สำคัญกับชีวิตของเธออีกมากมายแต่นั่นก็ทำให้เธอเสียใจกับการปฏิเสธของเธอในครั้งนั้นเช่นเดียวกัน เพราะความจริงแล้วตัวโจเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอรู้สึกโดดเดี่ยว และต้องการความรักอย่างคนทั่ว ๆ ไปเช่นกัน เพราะเธอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง บางทีมันอาจจะถูกต้องที่ผู้หญิงนั้นคู่ควรกับความรัก และสมควรที่จะถูกรักแต่แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ผู้หญิงคู่ควร ผู้เขียนคิดว่า อย่างน้อย ๆ นอกจากการคู่ควรกับการเป็นคนที่ถูกรักแล้ว โจ มาร์ชก็คู่ควรกับการที่ตัวเองจะสามารถรักใครสักคนได้อย่างกล้าหาญ กล้าที่จะคว้าสิ่งที่ตัวเองต้องการเอาไว้ พอๆ กับความกล้าหาญที่เธอเดินตามความฝันของตนเอง มีอิสระภาพ และเป็นคนแบบที่เธออยากจะเป็น
Little Women (2019) ได้นำเสนอประวัติศาสตร์อเมริกาในช่วงยุคศตวรรษที่ 19 ผ่านมุมมองของผู้หญิง ความรู้สึกและความคิดในเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศในสังคม ซึ่งเห็นได้ผ่านตัวละครหลักที่มีลักษณะนิสัยต่างกัน เราจะเห็นสิ่งที่ภาพยนตร์ต้องการจะนำเสนอได้ชัดที่สุด ผ่านตัวละคร โจ มาร์ช ผู้ซึ่งห่างไกลจากความเป็นหญิงในแบบที่สังคมอเมริกันในยุคสมัยนั้นคาดหวังว่าควรจะเป็น
บาทบาทของผู้หญิงในยุคสมัยที่เรียกได้ว่ามีความไม่เท่าเทียมกับผู้ชายอยู่มาก ชีวิตของพวกเธอต้องพึ่งพาผู้ชายเพื่อที่จะมีชีวิตที่สุขสบาย การเดินตามความฝันของผู้หญิงก็มีความยากลำบากมากกว่า การเป็นคนที่ทะเยอะทะยานและไม่อยู่ในที่ในทางของตัวเองอย่างที่สังคมกำหนด ก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากซึ่งหนักหนากว่าเดิม โจที่ต้องการที่จะเป็นนักเขียนหาเลี้ยงครอบครัวด้วยตนเอง งานของเธอก็ไม่เป็นที่ยอมรับ ด้วยกรอบของสังคมที่บังคับให้ผู้หญิง ต้องเป็นผู้หญิงในแบบที่สังคมต้องการ การที่คน ๆ หนึ่งจะเล่าเรื่อง หรือว่าจะเป็นการสร้างภาพจำใหม่ๆ ของบทบาทสตรีผ่านงานเขียนที่แตกต่างออกไปนั้นยังถูกปฏิเสธจากสังคม
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นำเสนอเนื้อหาผ่านมุมมองของผู้หญิง ในช่วงยุคศตวรรษที่ 19 ได้เป็นอย่างดี ฉายภาพให้เราได้เห็นถึงบทบาทของผู้หญิง ในสังคมหลายแง่มุม ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงไม่ได้มีมีอิสระเท่าผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านการงาน ความรัก ความฝัน และสังคมยังกำหนดให้ความรักกลายเป็นสิ่งเดียวที่ผู้หญิงคู่ควร ทั้ง ๆ ที่มีสิ่งอื่นมากมายที่ผู้หญิงสามารถทำได้ ยิ่งไปกว่านั้น การมีความรักที่ว่านั้น บทบาทของผู้หญิงในคู่ความสัมพันธ์รักโรแมนติกระหว่างชายหญิงยังถูกกำหนดโดยสังคมอีกขั้นหนึ่ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in