เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I met you in the summerP.E.A.C.E
โปรดครั้งที่ 5
  • ใจง่าย

    โปรด มึงมันใจง่าย

    โปรดได้แต่ด่าตัวเองในใจในขณะที่ขาก็ก้าวตามคนตัวเล็กเข้าห้อง หลังจากจบประโยคที่พริ้งเอ่ยถาม โปรดรู้สึกเหมือนสมองตัวเองโดนไฟช็อต แค่เห็นรอยยิ้มหวานๆ ที่อีกฝ่ายส่งมาให้ เธอก็พยักหน้าอย่างเลื่อนลอยเหมือนคนโดนมนต์สะกด

    บ้าจริง โปรดว่าโปรดแพ้รอยยิ้มแบบนี้

    แม่คะ! หนูอยากห่อพี่เค้ากลับบ้าน


    “นี่ พริ้งวาดรูปถนนคนเดินที่ไปมาวันนี้”

    เสียงหวานๆ ของพริ้งเรียกสติของโปรดที่กำลังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งให้กลับมาสู่สถานการณ์ตรงหน้า โปรดมองรูปภาพที่ผ่านการลงสีเรียบร้อยแล้วก็นึกชื่นชมในใจว่า ขนาดรูปภาพยังน่ารักเหมือนคนวาดเลย

    แหม นี่ไม่ได้อวยนะ


    “โครตเป็นพริ้งอ่ะ”

    “ยังไงนะ”

    “น่ารัก”

    โปรดมองคนที่ยิ้มเขินตรงหน้า เธอยักคิ้วให้อีกฝ่ายกวนๆ ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นเองก็จะหมั่นไส้เธอไม่น้อยเหมือนกัน คนตัวเล็กกว่าตีแขนเธอเบาๆ มือเล็กเปิดสมุดไปอีกหน้า โปรดเห็นเป็นรูปแมวที่กำลังทำหน้าเหม็นเบื่อในมือแมวมีถังหูลู่อยู่ เธอเลิกคิ้วให้เจ้าของสมุด

    นี่มันเธอรึเปล่าเนี่ย


    “วาดโปรดนั่นแหละ” พริ้งตอบ เมื่อคนตรงหน้าส่งคำถามผ่านทางดวงตา

    “ทำไมโปรดอ้วนขนาดนี้” เจ้าตัวดูเคืองหน่อยๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าแมวมันกลมขนาดนั้น เธออ้วนเหรอ!

    “ก็แมวมันต้องวาดกลมๆ หน่อยถึงจะน่ารัก อีกอย่างโปรดไม่อ้วนสักหน่อย” พริ้งรีบเอ่ยเอาใจเจ้าแมวยักษ์ที่กำลังทำหน้าบูด ดูสิ เหมือนที่เธอวาดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน

    “เห็นว่าน่ารักหรอกเลยยอม”

    “งั้น….พริ้งเอาโปรดเป็นต้นแบบแมวนี่ได้มั้ย พอดีพริ้งจะวาดเป็นบันทึกค่ายอะไรประมาณนั้น” พริ้งอธิบายแนวคิดให้อีกฝ่ายฟัง

    “เอาสิ แล้วเพจในไอจีชื่อว่าอะไรอ่ะ” โปรดเอ่ยปากอนุญาต เมื่อเห็นว่าเธอเองก็ไม่ได้เสียหายอะไร

    “จริงป่ะ! ขอบคุณมากนะ เพจพริ้งชื่อ ‘I’m a sunflower’ ” คนยิ้มหวานตอบอย่างร่าเริง “แล้วโปรดอยากได้อะไรมั้ย มาเป็นแบบให้พริ้ง” พริ้งไม่คิดจะให้อีกฝ่ายเป็นต้นแบบให้ฟรีๆ

    “ไม่ต้องหรอก พริ้งก็เป็นแบบถ่ายรูปให้โปรดแล้วไง ถ้าโปรดเอารูปลงก็ถือว่าหายกันไง”

    “หืออ ลงในไหน ไอจีเหรอ”

    “ช่ายย แต่ว่ายังแต่งรูปไม่เสร็จเลย ยังไม่ได้ลงสักรูป”

    “ลงแล้วแท็กพริ้งด้วย”

    “โอเค”



    สองสาวคุยกันไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็มานอนเลื้อยบนเตียงของพริ้งเสียแล้ว โปรดม้วนตัวเองเข้ากับผ้าห่มโผล่ออกมาแค่หน้า

    “ลืมถามทำไมตั้งชื่อเพจงั้น ชอบดอกทานตะวันเหรอ” โปรดถามก่อนจะหาวออกมาทีหนึ่ง ตาเรียวรีเริ่มปรือปรอยแต่ก็ยังคงฝืนลืมตารอคำตอบ พริ้งที่นอนอยู่ข้างๆ ยิ้มบางอย่างเอ็นดูแมวยักษ์ที่ความง่วงไม่สู้ความอยากรู้

    “ใช่ ดอกทานตะวันมันสีเหลืองสดใสดี”

    “เหรอ หาวววว”

    พริ้งยันตัวเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอน มืออีกข้างลูบหัวคนที่ห่อตัวเป็นก้อนกลมๆ “ง่วงขนาดนี้แล้ว คืนนี้นอนนี่แหละ”

    โปรดง่วงจนจะลืมตาไม่ขึ้นแล้วได้แต่พยักหน้าเบาๆ สัมผัสเบาๆ ช่างแสนสบาย เธอเห็นพริ้งเอี้ยวตัวไปดับไฟ เมื่อทั้งห้องมืดสนิทแล้ว มือเล็กก็ลูบหัวเธอเบาๆ ตามเดิม โปรดอดไม่ได้ที่จะเอียงหน้าซบอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเคลิ้มหลับไปแล้ว ดูท่าแมวตัวนี้จะเลี้ยงง่าย ลูบหัวทีสองทีก็หลับแล้ว


    เห็นทีคืนนี้เธอคงจะหลับฝันดีซะแล้วสิ :)





    “เมื่อคืนมึงไม่ได้นอนห้องเหรอ” โปรดหันไปเหลือกตาใส่ป้าส้มที่อยู่ข้างๆ ทันที ใจเต้นโครมครามเหมือนมีคนมารัวกลองชุด

    ตอนนี้พวกเธอกำลังเดินไปยังอาคารเรียน โชคดีที่เธอและป้าส้มเดินรั้งท้ายของกลุ่มทำให้ไม่มีใครได้ยินคำถามชวนหัวใจวายเมื่อสักครู่

    “มั่วละ นอนห้องดิจะไปนอนไหนได้” โปรดหลบตา

    “เหรอ เมื่อเช้ากูเห็นมึงออกมาจากห้องพี่เค้า” คราวนี้โปรดหัวใจวายจริงๆแล้ว ป้าส้มที่เห็นสายตาล่อกแล่กกับท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ ก็มั่นใจได้ว่าภาพที่เธอเห็นเมื่อเช้าเป็นเรื่องจริง “กูไม่บอกใครหรอก ถ้ามึงยังไม่อยากบอกใครก็เนียนๆ กว่านี้หน่อย” ป้าส้มเตือนไอ้เพื่อนตัวดียังไม่หายช็อก

    อยากสนิทของมันนี่ไม่รู้ว่าอยากสนิทถึงขั้นไหน


    “แต้งนะมึง… แต่ว่ามันไม่มีอะไรนะเว้ย! ” โปรดละล่ำละลั่กตอบ

    “กูยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ” ป้าส้มปรายตามองคนร้อนตัว “แต่ถ้าไม่เนียนอ่ะ คนอื่นรู้แน่ สองคนนั้นจมูกไวจะตาย ”

    “แล้ว...มึงไม่ว่าอะไรเหรอ” โปรดถาม

    “กูจะไปว่าอะไรมึง มันเป็นเรื่องของมึงนี่”

    โปรดรู้สึกขอบคุณที่อย่างน้อยเธอก็มีเพื่อนที่ไม่พูดมากเหมือนสองคนนั้น ฉายามิ้งรู้ บุ้งรู้ โลกรู้ ไม่ควรไปเสี่ยงด้วยจริงๆ

    เธอมองพริ้งที่เดินอยู่ด้านหน้า ในใจก็นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า




    5.45

    โปรดงัวเงียมองหน้าจอโทรศัพท์ เธอถอนหายใจ เตรียมตัวจะหลับต่อ

    “อือออ”

    โปรดก้มมองคนที่นอนหนุนแขนเธออยู่ หน้าหวานยู่ลงเล็กน้อยเมื่อแขนที่นอนหนุนอยู่ขยับยุกยิก

    “กี่โมงแล้วเหรอ” คนในอ้อมแขนถามเสียงงัวเงียพร้อมกับซุกตัวเบียดเข้าใกล้โปรดมากขึ้น “ยังไม่หกโมงเลย” โปรดตอบแขนอีกข้างวางโทรศัพท์ในมือลงบนโต๊ะหัวเตียง เธอทิ้งตัวลงนอน วาดแขนยาวๆ โอบตัวคนที่นอนซุกอยู่ให้เข้าใกล้มากขึ้น คนนุ่มนิ่มในอ้อมแขนเธอหลับไปอีกรอบแล้ว ส่วนคนที่เป็นหมอนมาทั้งคืนซบคางลงกับหัวคนที่นอนซุกเธออยู่ กระชับอ้อมแขนเข้ามาเบาๆ ก่อนจะหลับตาลง

    บรรยากาศสงบในยามเช้าตรู่ลอยอ้อยอิ่ง แอร์เย็นสบายทำให้คนทั้งสองจมอยู่ในห้วงนิทรา แสงแดดบางๆ ยามเช้าลอดผ่านรอยแยกผ้าม่าน พริ้งค่อยๆ ลืมตาเมื่อรู้สึกถึงแดดที่ส่องเข้ามา เธอขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ทำให้คนที่นอนกอดเธออยู่รู้สึกตัวตื่น

    “โปรดตื่นเถอะ เช้าแล้ว” พริ้งเขย่าตัวคนที่คลุมโปงหลบแสงแดดเบาๆ เธอข้ามตัวคนที่นอนขวางทางอยู่ มือเล็กคว้าผ้าเช็ดตัวที่แขวนตรงหน้าตู้ “พริ้งไปอาบน้ำก่อนนะ ถ้าออกไปก่อนล็อกประตูให้ด้วย” พริ้งหันไปบอกคนในผ้าห่มอีกรอบ

    เสียงน้ำดังมาจากห้องน้ำ โปรดถึงได้โผล่หัวออกมาจากโปงผ้าห่ม บรรยากาศหวานแหววยามเช้านี่มันอะไรกัน! แถมอีกฝ่ายยังทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาอีก! เธอรีบเด้งตัวจากเตียงทันทีที่เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว

    “โปรดไปก่อนนะ” ไม่รอฟังเสียงตอบกลับ เธอพุ่งตัวออกจากห้องด้วยใบหน้าแดงก่ำพร้อมหัวยุ่งเหยิง ไม่ลืมล็อกประตูให้เจ้าของห้อง



    “โปรดมึงหน้าแดง”

    อ่าาา




    คาบเช้าผ่านไปได้ด้วยดี พริ้งไม่ได้เอ่ยถึงเหตุการณ์เมื่อคืนให้เธอรู้สึกเขิน ระยะเวลาในการเข้าค่ายฤดูร้อนเหลือเพียงอีกแค่ 5 วันเท่านั้น เหล่าซือได้แจ้งว่าคาบสุดท้ายจะมีการสอบเล็กๆ น้อยๆ แต่ขึ้นชื่อว่าสอบแล้วก็ไม่มีหรอกคำว่าเล็กๆ น้อยๆ น่ะ พวกเธอจึงตกลงกันว่าจะนัดติวกัน เพื่ออย่างน้อยก็มีอะไรเขียนลงกระดาษบ้างพอให้ไม่น่าเกลียด

    โธ่! เรียนมาได้แค่สามสัปดาห์เองนะ! จะหวังอะไรมาก

    “งั้นคืนนี้สักสองทุ่มเจอกันห้องพี่พริ้งนะ” จากผลโหวตแล้วผู้ที่ดูมีความรู้มากที่สุดเห็นว่าจะเป็นบัดดี้ของเธอ รองลงมาก็เป็นสไบ

    “ต้องรบกวนผู้รู้ทั้งสองท่านช่วยข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ” แจนยกมือโค้งให้กับทั้งสองคนเลียนแบบหนังจีนกำลังภายในที่เหล่าซือเปิดให้ดูคาบวัฒนธรรม สไบรับมุก เจ้าตัวสะบัดพัดที่ซื้อมาจากถนนคนเดิน หน้าคมเชิดขึ้นน้อยๆ เอ่ยว่า

    “เมื่อผู้น้อยเดือดร้อน ข้าผู้อาวุโสต้องให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว”

    “เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ ”


    เฮ้ออออ แก๊งนี้มีแต่คนไม่ปกติ




    บุ้ง “ไม่ไหวแล้วววว”

    แจน “ท่านอาจารย์พอเถอะเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่ไหวแล้ววว”

    สไบ “ไม่ได้! คัดศัพท์บทนี้ให้เสร็จก่อนค่อยพัก”

    บุ้ง/แจน “โฮฮฮฮฮฮฮ”


    โปรดมองสองพี่น้องกับหนึ่งอาจารย์ตบตีกัน เธอเองก็เริ่มไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ตาลายไปหมด ไอ้มิ้งเองหน้าตาก็ห่อเหี่ยว คงมีแค่พริ้งกับป้าส้มที่ยังอ่านหนังสือต่อได้

    .

    .

    .

    .

    .

    “พักเถอะ” ดั่งเสียงสวรรค์

    “เย้! ”

    เสียงที่ตามมาหลังจากนั้นคือเสียงแกะถุงขนม มิ้งยื่นขนมถุงหนึ่งให้พริ้งกับโปรด ปากยังบ่นถึงการสอบที่จะมีในอีก 5 วันข้างหน้า

    “ค่ายนี้ดีทุกอย่างแต่ทำไมต้องมีสอบด้วยยย ถึงเหล่าซือจะบอกว่าไม่ยากก็เถอะ” มิ้งยังคงบ่นต่อไป

    “เอาไว้วัดผลแหละ ว่าพามาจีนเนี่ยได้อะไรกลับไปบ้างนอกจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น” ป้าส้มให้เหตุผล

    “หลังจากกลับจากค่ายก็ปิดเทอมอีกแค่ 3 สัปดาห์ก็เปิดเทอมละ”

    “เออจริงด้วย พวกพี่สามคนก็ปี 4 แล้วสิ” บุ้งหันไปมองสามคนที่เปิดเทอมปีครั้งก็เป็นปีสุดท้ายแล้ว

    “ของพี่ยังอีก 2 ปีค่ะคุณน้อง” แจนที่กำลังเคี้ยวขนมตุ้ยๆ บอกแก๊งเด็กทั้งหลาย “พอพี่พริ้งจบแล้วพี่แจนไม่เหงาเหรอ” ป้าส้มถามเพื่อนซี้สองคนที่ดูก็รู้ว่าถ้าไม่ถูกจับแยกกลุ่มต้องตัวติดกันตลอดแน่นอน ได้ยินดังนั้นแจนก็ทิ้งถุงขนมในมือทันที แขนเรียวกอดรัดเพื่อนตัวเล็กไว้แน่นเหมือนงูเหลือม เอาหน้าถูไถพริ้งพร้อมคร่ำครวญเหมือนผีแม่หม้าย

    “ที่รักขา ถึงเราจะแยกจากกันแต่คุณห้ามลืมภรรยาคนนี้นะคะ กระซิกๆ ” เล่นใหญ่มาก บอกเลย

    ฝ่ายคนถูกผีแม่หม้ายคร่ำครวญใส่ได้แต่พยายามแงะตัวเองออกจากแขนงูเหลือม ใบหน้าหวานๆ ฉายชัดว่าเอือมระอามาก

    “ทำเป็นเล่นใหญ่บ้านก็อยู่ข้างกัน คอนโดก็ตึกเดียวกัน จะคร่ำครวญทำไมนัก! ”



    “แล้วพวกพี่สองคนจบแล้วจะทำอะไรต่ออ่ะ” โปรดถาม คนถูกถามอย่างสไบกับพริ้งมองหน้ากัน สไบเป็นฝ่ายตอบก่อน “คงทำงานกับบริษัทที่พี่เคยไปฝึกงานด้วย เป็นพวกงานกราฟฟิค ส่วนว่างๆ พี่ก็คงวาดรูปทำผลงาน”

    “ส่วนพี่ก็คงทำที่เคยไปฝึกงานมาเหมือนกันแหละ แล้วก็คงหาทุนเรียนต่อ”

    “พริ้งอยากต่อด้านไหน ถ้าศิลปะเดี๋ยวเราลองถามอาจารย์ในคณะให้” สไบถามเพื่อนตัวเล็กที่มีความชอบในศิลปะเหมือนกัน เธอจำได้ว่าเจ้าตัวเคยบอกไว้ว่าถ้าไม่มีปัญหากับทางบ้านก็จะเลือกเรียนศิลปกรรม

    “ฮืออ ขอบคุณมากนะ” พริ้งว่าอย่างยินดี

    “ส่วนดิชั้นต้องสู้อีก 2 ปี” แจนพูดอย่างเหี่ยวแห้ง

    “แบบนี้พี่แจนก็จบพร้อมพวกหนูอะดิ” มิ้งหันไปมองหน้าพี่แจน “เออ จริงด้วย พี่ไม่เหงาแล้วล่ะ”



    เมื่อขนมหมดบทสนทนาจบพวกเธอทั้งหลายก็กลับมาติวกันต่อ เวลาล่วงเลยไปถึงห้าทุ่มครึ่งจึงได้ฤกษ์แยกย้ายไปพักผ่อน

    “เดี๋ยวเราเอาไปทิ้งให้” สไบมัดปากถุงขยะ

    “โอเคๆ ทุกคนฝันดีนะ” พริ้งโบกมือให้เพื่อนกับแก๊งเด็กที่ทยอยเก็บข้าวของออกจากห้องเธอ

    “พริ้งฝันดี” แจนยีหัวเพื่อนตัวเล็กเบาๆ หนึ่งที พริ้งพยักหน้าให้อีกฝ่าย เธอเห็นโปรดที่ยืนห่างแจนออกไปยืนเขย่งตัว พริ้งอ่านปากอีกฝ่ายได้ว่า ‘ฝันดีนะ’ เธอยิ้มหวานตอบไปหนึ่งที

    “ยิ้มอะไรของเธออ่ะ” แจนทำหน้างง ทุกทีบอกฝันดีเพื่อนของเธอไม่เคยยิ้มให้กว้างขนาดนี้ ไม่สิ ทุกทีก็แค่พยักหน้าว่ารับรู้แล้วเท่านั้น “เปล่าๆ ไม่มีอะไร ไปนอนได้แล้ว” แจนพยักหน้าอย่างงงๆ ทุกคนแยกย้ายกันกลับห้องหมดแล้ว สไบที่เดินย้อนผ่านทางห้องพริ้งเพราะเพิ่งไปทิ้งขยะที่ปลายระเบียงทางเดิน ยักคิ้วและยิ้มให้เธออย่างมีเลศนัยก่อนจะเดินกลับห้องตัวเองไป

    อะไรของเค้าอ่ะ?




    ติ๊ง!

    ติ๊ง!

    พริ้งคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางไว้โต๊ะข้างหัวเตียง มือบางเปิดโปรแกรมสมทนาสีเขียว

    คนโปรด: พริ้งนอนยัง

    พริ้งเองจ้า: ยังๆ โปรดมีอะไรป่าว

    คนโปรด: ป่าวๆ คือแบบ…

    พริ้งเองจ้า: ทำไมเอ่ย

    พริ้งเองจ้า: ….

    พริ้งเองจ้า: โปรด…

    คนโปรด: คืนนี้ไปนอนด้วยได้มั้ย




    กรี๊ดดดดดดดดด!!!! ไอ้โปรดมึงมันแรด!

    โปรดปาโทรศัพท์ลงบนที่นอน มือทั้งสองข้างทึ้งหัวตัวเองแรงๆ เธอกรี๊ดอัดหมอนสุดเสียง สองขาปัดป่ายไปทั่ว ในใจรับไม่ได้กับพฤติกรรมของตัวเองที่เธอคิดว่าชักจะเหมือนที่ไอ้พวกนั้นด่าเข้าไปทุกวัน โปรดนอนหงายมองเพดานในใจก็พยายามไตร่ตรองตัวเองว่าผีบ้าตัวไหนดลใจให้เธอพิมพ์ถามไปแบบนั้น ก่อนที่เธอจะฉุกคิดว่า ไม่แปลกนี่ ก็แค่ขอไปนอนห้องเพื่อน แต่อีกเสียงในหัวก็แย้งว่า มึงจะไปนอนห้องเค้าทำไมก่อน

    ไม่รู้โว้ย!!!!


    ติ๊ง!

    โปรดรีบหยิบโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เธอหลับตาปี๋ทั้งสองข้าง หายใจเข้าลึกๆ อีกสองที ก่อนจะค่อยๆ ปรือตาซ้ายมองข้อความ ทันทีที่อ่านจบเธอรีบย้ายร่างของตัวเองออกจากห้องทันที


    พริ้งมองคนที่ยืนยิ้มแฉ่งหน้าห้อง เธอเปิดประตูห้องให้กว้างขึ้นให้แมวยักษ์ที่คืนนี้อ้อนขอมานอนด้วยเดินเข้ามา แมวตัวนี้ก็รู้งานนั่งลงขอบเตียงมือก็ตบลงที่นอนปุๆ ให้เธอเข้าไปนอนข้างใน เมื่อเธอนอนห่มผ้าเรียบร้อย คนที่นอนริมนอกก็จัดการดับไฟในห้อง

    ในห้องมีเพียงความเงียบเป็นความเงียบที่สงบอย่างประหลาด พวกเธอสองคนไม่ได้เริ่มบทสทนาอะไรเลยตั้งแต่เข้าห้องกันมา ต่างฝ่ายต่างพอใจกับความเงียบสงบนี้ แสงที่ไฟจางๆ จากข้างนอกทำให้พริ้งเห็นว่าอีกฝ่ายนอนหันหน้าเข้าหาเธอ พวกเธอนอนมองหน้ากันในความมืดสักพัก เป็นโปรดที่เขยิบเข้ามาก่อน พริ้งมองระยะห่างที่ลดลงเรื่อยๆ เธอหลับตาลงเอียงหน้าซุกคนที่เขยิบเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมเย็นจากคนข้างๆ และแขนที่โอบรอบเอวเธอช่วยกล่อมให้เธอเข้าสู่ห้วงนิทรา


    ฝันดีนะพริ้ง




    “ป้าส้ม”

    “ว่า”

    “มึง...”

    “ฟังอยู่”

    “คือแบบ...”

    “โปรดมึงเป็นอะไร”

    ป้าส้มละสายตาจากลู่วิ่งมองหน้าโปรดที่อึกอักๆ จะพูดก็ไม่พูดด้วยสีหน้าที่รำคาญขึ้นมาหน่อยๆ เสียงเจี๊ยวจ๊าวจากนักศึกษาที่พากันมาออกกำลังกายในช่วงเย็น เธอมองเห็นพวกเพื่อนๆ ของเธอและพี่ๆ อีกสามคนแข่งวิ่งกันอยู่ในสนาม

    อ๋อรู้ละ

    “พี่พริ้ง? ” โปรดพยักหน้าหงึกหงักเหมือนไก่จิกข้าวสาร “อาการเป็นยังไงไหนเล่าสิ” ตาก็มองคนหน้าด้านที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนขี้อายขึ้นมา หน้าของเพื่อนตัวดีขึ้นสีระเรื่อ ปากก็เม้มเข้าหากันไม่ยอมพูดสักที จนเธอรำคาญขึ้นมาจริงๆ แล้ว

    “จะพูดไม่พูดห๊ะ! ”

    “มึงอย่าเพิ่งโกรธ” โปรดเลิ่กลั่ก ป้าส้มสงบสติอารมณ์เห็นแก่เพื่อนที่นานๆ ทีจะมียางอาย “ให้กูเดานะ…มึงชอบพี่เค้าขึ้นมาจริงๆ แล้วใช่มั้ย”

    “กูคิดว่างั้น...” แหม เสียงอ่อยเชียวนะ

    “ไม่แปลกใจเท่าไร แต่ว่ามึงแน่ใจแล้วใช่ปะ” เธอถามเพื่อความแน่ใจ เธอไม่อยากให้เพื่อนเธอสับสนว่าชอบในที่นี้หมายถึงชอบจริงๆ หรือชอบแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง โปรดไม่ใช่คนโง่ ถึงจะบื้อในบางเรื่อง…

    “ไม่ใช่รุ่นพี่รุ่นน้องอ่ะ”

    “จะจีบป่ะ”

    “ยังหรอก กูสัมผัสได้ว่าเค้ายังไม่ลืมคนในใจ”

    โปรดมองคนที่เธอพูดถึง ตลอดเวลาที่ใช้เวลาร่วมกัน เธอสัมผัสได้ว่าถึงพริ้งใจดีและคุยได้กับทุกคน แต่อีกฝ่ายวางตำแหน่งให้คนรอบข้างไว้เรียบร้อยแล้ว คนๆนี้อยู่ในสถานะนี้สามารถคุยได้ระดับไหน เป็นคนที่ดูเหมือนจะเฟรนด์ลี่แต่ไม่อนุญาตให้คนออกนอกขอบเขตสถานะที่วางไว้ โปรดกลัวว่าตัวเธอเองจะถูกอีกฝ่ายวางสถานะไว้เพียง ‘รุ่นน้องที่สนิทคนหนึ่งในค่าย’ แค่คิดแค่เศร้าแล้ว


    “อ่าาา อันนี้ก็ช่วยไม่ได้วะ แล้วมึงจะทำไงต่อละ”

    “มึงคิดว่าไงอ่ะป้าส้ม”

    “กูถามมึงก่อน มึงอยากได้พี่เค้ามาเป็นแฟนป่ะ” ป้าส้มมองหน้าเพื่อนที่ปรึกษาปัญหาหัวใจ ก่อนที่เธอจะแนะนำอะไรไป เธออยากรู้ว่าเพื่อนของเธอรู้สึกไปถึงขั้นไหนแล้ว

    “ตอนนี้ไม่อ่ะมึง”

    “งั้นมึงก็ค่อยๆ ตีสนิทพี่เค้าไป ถ้าพี่เค้ายังไม่ลืมคนในใจจริงก็ให้เวลาเค้าหน่อย กูสัมผัสได้ว่าพี่พริ้งน่าจะเป็นคนใจแข็ง กูว่าพี่เค้าแบบเหมือนจะสนิทแต่ก็ไม่สนิทอ่ะนึกออกป่ะ” ป้าส้มวิเคราะห์ “อีกอย่างที่สำคัญ นู่น” โปรดมองตามทิศทางที่ป้าส้มบุ้ยใบ้ “ถ้าพี่แจนรู้กูว่าพี่เค้าไม่น่าปล่อยมึงไว้อะ”

    โปรดนึกถึงความสนิทที่ทั้งสองคนมีให้กันแล้ว แจนเหมือนจงอางหวงไข่ที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วย

    “ทางที่ดีนะ มึงสนิทกับพี่เค้าให้ได้ก่อน สนิทแบบที่อีกฝ่ายยอมรับนะว่าสนิทกับมึง ความสนิทเป็นทูเวย์คอมมูนิเคชั่นนะจ๊ะ ไม่ใช่มโนไปเอง”

    โปรดรู้สึกห่อเหี่ยว



    อีกไม่กี่ตอนจะกลับไทยกันแล้วนะคะ :)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in