“ไอ้โปรดอย่าตื่นสายละ”
“เออ”
โปรดโบกมือให้ไอ้บุ้งที่หน้าห้องพัก พวกเธอแยกย้ายกันเข้าห้องพักของตัวเอง โปรดหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงกดวิดีโอคอลหาคุณย่า
“ไงไอ้ตัวยุ่ง” เสียงคุณย่าดังทักทายหลังจากรอสายไม่นาน
“เนี่ยกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ตอนนี้อยู่ห้อง” โปรดกดสลับกล้อง เดินไปรอบๆ ให้คุณย่าได้เห็นห้องพักด้วย
“เออดีๆ ห้องดีนะเนี่ย แล้วคนไปเยอะมั้ย”
“เยอะนะย่า เค้าแบ่งกลุ่มแล้วก็ให้จับคู่บัดดี้กันด้วย บัดดี้โปรดตัวเล็กนิดเดียวเอง ตัวเล็กกว่าไอ้มิ้งมันอีก”
“เหรอ แล้วไงเค้านิสัยดีมั้ยละ” คุณย่าเลิกคิ้วนิดๆ ไม่คิดว่าจะมีคนตัวเล็กกว่าเพื่อนของหลานเธออีก
“ดูเรียบร้อยอ่ะ ชอบวาดรูป แบบดูนุ่มนิ่ม” โปรดนึกถึงบัดดี้คนสวยของเธอที่มีลักษณะดูเป็นคุณหนูหน่อยๆ พอนึกว่าต้องมารวมกลุ่มกับคนบ้าอย่างพวกเธอก็รู้สึกสงสารขึ้นมา
“อย่าไปแกล้งเค้าละ เดี๋ยวเค้าจะเกลียดขี้หน้า”
“โหหห ย่าใส่ร้ายอ่ะ” โปรดทำหน้ามุ่ยใส่คนเป็นย่า หลานย่าออกจะนิสัยดี
“เออๆ ย่าไปละ ไปให้ข้าวไอ้ตองมันก่อน”
“จ้าๆ บายค่ะย่า”
ย่าเธอกดวางสายตั้งแต่เธอยังพูดไม่ทันจบดี ไอ้ตองที่ย่าพูดถึงคือเจ้าคอร์กี้ตัวอ้วนสีส้มที่พ่อเธอซื้อให้ย่าเลี้ยงแก้เหงา เลี้ยงไปเลี้ยงมาย่าเธอรักหมาอ้วนมากกว่าพ่อและเธอที่เป็นลูกเป็นหลานซะอีก
หึ! ไอ้หมาอ้วนขาสั้น
นาฬิกาปลุกเสียงไก่ขันแผดเสียงร้องตามหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน มือเล็กควานหาโทรศัพท์มือถือเพื่อปิดเสียงไก่เจ้าปัญหาที่แผดร้องไม่หยุดหย่อน
6.30
นอนต่อดีมั้ย?
ตากลมโตกะพริบตาปริบๆ เพื่อไล่ความสะลึมสะลือ แต่เมื่อเห็นแสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านมา เธอก็ตัดสินใจได้ว่า พริ้งหล่อนควรตื่นได้แล้ว เจ้าของรอยยิ้มหวานกลั้นใจฮึบ ลุกจากที่นอน คว้าผ้าเช็ดตัว รีบเดินเข้าห้องน้ำก่อนที่ความขี้เกียจจะพาตัวเธอไหลลงบนที่นอน ใช้เวลาไม่นานพริ้งก็อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงเอวสูงสีชมพู เธอรวบผมขึ้นเป็นหางม้า เพราะอากาศที่เจอมาเมื่อวานนั้นช่างร้อนแสนสาหัส นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเจ็ดโมงสิบนาที เธอเช็กของในกระเป๋าเป้อีกรอบ
เจ้าเด็กพวกนั้นจะเสร็จกันรึยังนะ?
“ไอ้มิ้งเสร็จยัง”
“เงียบวะ มึง”
“ป้าส้มเมื่อเช้าโทรปลุกมันใช่มั้ย”
“เออสิ กูปลุกตั้งแต่ตีห้าครึ่ง”
สามหน่อ บุ้ง ป้าส้ม และโปรดยืนชุมนุมอยู่หน้าห้องนังเพื่อนมิ้งตัวดี หลังจากที่โปรดเคาะประตูเรียกมันไปหลายรอบ
“เอาไงวะมึง เจ็ดโมงสิบห้าแล้วนะ” ป้าส้มบ่นขึ้นอีกรอบหลังจากดูเวลา
โอ๊ย! อีมิ้งงงง
“มึงๆ กูมาแล้วๆ ” ด่าในใจไม่ทันขาดคำ คุณนายสายเสมอก็เปิดประตูพรวด หัวซุกหัวซุนออกมาจากห้อง
“มึงทำไรอยู่เนี่ย ไอ้โปรดเคาะประตูห้อง จนมือแม่งสึกหมดแล้วเนี่ย” บุ้งเปิดฉากฉะทันทีที่เห็นหน้าของมิ้ง
หน้าเต็มเชียวนะ
“โทษทีมึง กูไดร์ผมอยู่อ่ะ” มิ้งขอโทษขอโพยยกใหญ่
“ไปเหอะ ใกล้ได้เวลาแล้ว” โปรดกระชับกระเป๋ากล้องที่สะพาย ก่อนจะเดินลิ่วๆ ลงบันได หูยังคงได้ยินเสียงบุ้งยังบ่นมิ้งไม่เลิก
7.25
โปรดกวาดสายตามองหาบัดดี้ของเธอก่อนจะสะดุดตาเข้ากับสไบที่อยู่ในเสื้อยลายสายรุ้งกับกางยีนสีดำ ที่มาพร้อมกับต่างหูสับปะรด โอ้โห สดใสรับซัมเมอร์มากค่ะ ส่วนบัดดี้ของเธอก็หาไม่ยากเจ้าตัวอยู่ในชุดเรียบๆ สบายตา เขย่งเท้าโบกมือหยอยๆ ให้กับโปรด เธอได้แต่สงสัยว่าระหว่างรอยยิ้มของพริ้งกับคอสตูมซัมเมอร์ของสไบ อันไหนจะสดใสกว่ากัน โปรดเดินไปสมทบกับสองคนนั้น ตามด้วยสามคนนั้นที่หยุดเถียงกันตอนไหนก็ไม่รู้
“น้องๆ คะ มากันครบเรียบร้อยแล้วนะ ไม่มีใครลืมป้ายชื่อกับบัตรอาหารใช่มั้ย” พี่เปรี้ยวหยุดรอสักครู่ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครยกมือ จึงเริ่มพูดต่อ
“พี่จะให้เวลาทานข้าวจนถึงแปดโมงครึ่งค่ะ แล้วเราจะรวมตัวกันหน้าโรงอาหาร เพื่อเดินไปอาคารเรียนกันต่อนะ” พี่เปรี้ยวเริ่มเดินนำหน้าขณะนักศึกษาไทย โปรดมองอาจารย์ชาวจีนประจำมหาลัยประมาณที่ไทยหกคน เดินกระจายตัวพูดคุยกับกลุ่มนักศึกษา เสียงหัวเราะเฮฮาดังขึ้นตลอดบทสนทนา เธออดไม่ได้ต้องยกกล้องเก็บภาพเอาไว้
“มึงถ่ายกูมั่งงงง”
พลั่ก!
มาพร้อมเสียงและตัวอ้วนๆ ที่วิ่งเข้าชนเต็มแผ่นหลัง ไอ้บุ้งตัวดีไม่ได้มีความสำนึกผิดใดๆ พาร่างอวบๆ ในชุดเอี๊ยมยีนขายาว โพสต์ท่าประหนึ่งนางแบบโอกูตูร์ โปรดทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ แต่ก็ยอมยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป
“กูจะเอาหัวหมูมาแปะหน้ามึง โทษฐานที่มึงวิ่งขวิดกู”
“ไม่นะะะะ ”
พริ้งหัวเราะจนเจ็บท้องกับเจ้าพวกเด็กเอะอะ ที่เธอคาดไว้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเดินเงียบๆ ได้
“พี่ ทำใจเหอะเพื่อนหนูมันบ้า” ส้มตบไหล่เธอดังปุๆ สีหน้าเจ้าตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าปลงใจกับเพื่อนของตัวเอง เธอโบกมืออย่างไม่ถือสา
“เอาน่า ตลกดีออก” เธอมองเด็กโย่งที่ต้องถ่ายรูปให้กับสองสาวที่สถาปนาตัวเองเป็นนางแบบ คิ้วเรียวขมวดมุ่นแต่มือก็ยังคงกดชัตเตอร์พร้อมสั่งให้นางแบบแต่ละคนเปลี่ยนท่า
อื้อฮืออ เป็นผู้หญิงที่เท่มากค่ะ
สไบมองพริ้งที่ตาเป็นประกายระยิบระยับ เธอเห็นด้วยที่ว่าเด็กคนนี้เหมาะสำหรับเป็นแบบวาดรูปมาก ทั้งส่วนสูง ขาเรียวยาว โดยเฉพาะสันกรามที่ชัดจนเรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่ทั้งเท่และสวย แต่ดูจากสายตาที่มองแล้ว เธอไม่แน่ใจว่าเพื่อนข้างๆ ของเธอจะคิดแค่นั้นหรือเปล่า
“เด็กมันน่ารักเนอะ” เธอกระแซะไหล่เพื่อนตัวเล็ก
“อะไรของเธอ” พริ้งส่งเสียงโวยวาย
ในที่สุดคณะนักศึกษาก็เดินทางทางมาถึงโรงอาหาร พวกเธอแบ่งกันไปจองโต๊ะและซื้ออาหาร พริ้งยังคงถ่ายรูปอาหารทุกมื้อเพื่อเก็บไว้เป็นแบบวาดรูปเหมือนเดิม พวกเธอใช้เวลากับมื้อเช้าไม่นานเพราะแก๊งเด็กอยากไปถ่ายรูปหน้าตึก ต้องบอกเลยว่าแค่ตึกโรงอาหารก็ดูยิ่งใหญ่แล้ว
“กูสวยในมุมนี้”
“ไม่อิมิ้ง มึงอ้วนหันข้างอีกหน่อย”
“ได้มั้ยมึง”
“เคๆ ดีมึง”
โปรดมองคู่กัดไอ้มิ้งกับไอ้บุ้ง จัดท่าจัดทางโดยไม่ถามความเห็นเธอสักนิดว่าอยากถ่ายพวกมันมั้ย ระหว่างที่สองคนนั้นยังหามุมที่คิดว่าสวยที่สุดไม่ได้ เธอหันไปมองป้าส้มที่นั่งคุยกับบัดดี้ของเธอและสไบที่เธอเองก็เพิ่งรู้ว่ารุ่นเดียวกันกับพริ้งคุยกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งเธอเดาว่าป้าส้มน่าจะเผาวีรกรรมของพวกเธอให้สองสาวฟัง โปรดกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ เก็บทุกอิริยาบทถองทั้งสามคน ความจริงเธอชอบถ่ายรูปคนในอิริยาบถต่างๆ ตอนนั่งมองท้องฟ้า คุยกัน ยิ้มและหัวเราะ เธอรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติ
พริ้งหันไปอมยิ้มน้อยๆ ให้เด็กโย่งที่ไม่รู้ว่าแอบถ่ายรูปพวกเธอมาตั้งแต่ตอนไหน ท่าจะชอบถ่ายรูปจริงๆ เพราะเห็นยกกล้องมาถ่ายตลอด สีหน้าตั้งอกตั้งใจเวลาถ่ายรูปทำให้เจ้าตัวน่ามอง ดูจากผู้หญิงหลายๆ คนในคณะที่แอบเหล่บ่อยๆ บางคนเธอเห็นว่าแอบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย ดูท่าว่าบัดดี้เธอจะฮอตไม่เบา
การเดินมาราธอนเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง จากหอพักมาโรงอาหารว่าไกลแล้ว จากโรงอาหารไปอาคารไกลยิ่งกว่า! โปรดได้แต่สงสัยในใจว่า ทำไมต้องสร้างให้มันไกลขนาดนี้!!!
“มึงคุชชั่นกูไหลมะ” มิ้งหันไปถามบุ้งที่เดินหอบอยู่ข้างๆ กัน
“ไม่ค่ะ มึงยังสวยอยู่ ใช้ของอะไรวะ ทนจริง”
“พวกมึงไปคุยกันต่อในห้องเถอะ กูร้อนมาก ไม่ไหวแล้วจ้า” อากาศร้อนจนป้าส้มที่ความอดทนถือว่าเป็นที่หนึ่งในกลุ่มยังยอมแพ้ รีบเดินฉับๆ เข้าห้องเรียนที่เปิดแอร์ไว้เย็นฉ่ำ
อ่าาาาา สวรรค์
โปรดหันมองรอบห้องเรียนขนาดกลางๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่ ข้างหน้ามีกระดานไวท์บอร์ดอันใหญ่กับโพเดียม โต๊ะเรียนเป็นโต๊ะคู่ กะจากสายตาคร่าวๆ ห้องนี้น่าจะบรรจุนักเรียนได้ประมาณ 40 คน แก๊งพวกเธอเลือกที่นั่งแถวริมหน้าต่าง โปรดนั่งโต๊ะตัวในเว้นที่นั่งให้กับบัดดี้ของเธอที่ตอนนี้ไปเข้าห้องน้ำกับสไบ
“พี่ห้องน้ำเป็นไงมั่ง” มิ้งถามคนพี่สองคนที่เพิ่งนั่งลงที่โต๊ะ
“ส้วมเหมือนที่หอเป๊ะ” สไบย่นจมูกเมื่อพูดถึงส้วมที่ทำเธออึ้งหน่อยๆ ก่อนจะสำทับเพิ่มเติมว่า “พกทิชชูเปียกไปด้วยก็ดี มันไม่ค่อยชุ่มฉ่ำเหมือนส้วมบ้านเรา”
หน้าตาคนที่เหลือค่อนข้างห่อเหี่ยวเมื่อนึกถึงห้องส้วมที่ไม่คุ้นชิน ก่อนที่หัวข้อสนทนาจะถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่ละคนจะเม้าท์
12.00 น.
คาบเรียนช่วงเช้าหมดไปอย่างราบรื่น เหล่าซือที่สอนค่อนข้างใจดี ด้วยรู้ว่านักศึกษาส่วนใหญ่ผ่านการเรียนภาษาจีนพื้นฐานมาไม่เกิน 2 เล่ม ถือว่าเป็นโชคดีของกลุ่มสีฟ้าที่เจอเหล่าซือน่ารัก โปรดสังเกตว่าบัดดี้ของเธอค่อนข้างเข้าใจได้รวดเร็ว ไปได้ไวกว่าพวกเธอ สามารถตอบคำถามในห้องได้แถมยังค่อยช่วยพวกเธอด้วย
“โปรดว่าพริ้งน่าจะไปสายศิลป์ สายภาษาน่าจะรุ่งนะ”
พริ้งเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ก็ในห้องพริ้งตอบคำถามได้หมดเลย แต่งประโยคก็ถูก แถมชอบพกหนังสือไปไหนต่อไหน ดูแล้วเป็นไทป์สายภาษาอ่ะ” เธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆ พริ้งให้ความรู้สึกเป็นผู้หญิงหวานๆ เรียบร้อย หนอนหนังสือ เป็นเด็กเรียนหน้าห้อง
“ขนาดนั้นเลย”
“ขนาดนั้นแหละ”
บทสนทนาของพวกเธอทั้งสองเป็นที่จับตามองของคนอื่นๆ
“โปรดกับพริ้งแหละ” เสียงของป้าส้ม
“มีความมุ้งมิ้ง” เสียงของบุ้ง
“น้ำเสียงมีความเอ็นดู” เสียงของมิ้ง
“ยังไงอ่ะ ต่อเรือเลยหรือดูไปก่อน” เสียงของสไบ
สามคนที่เหลือมองหน้ากันเงียบๆ
กิจกรรมช่วงบ่ายเป็นการเรียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศจีน ในวันนี้เป็นการสอนเขียนพู่กันจีน โปรดมองตัวอักษรที่เธอเขียนสลับกับมองของที่บัดดี้เธอเขียน เห็นแล้วก็ปวดใจ
“ลายมือมึงน่าเกลียดมากโปรด” เสียงของไอ้บุ้งแซะขึ้นทันทีหลังจากที่เห็นลายมือของเธอกับพริ้ง
“ของมึงสวยตายละ” โปรดยอมไม่ได้ ลายมือของเธอมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น!
“แต่ของบุ้งก็สวยกว่าของมึงนะ ไม่สิของใครๆ ก็สวยกว่าของมึง” เป็นเสียงของป้าส้มที่อดจะพูดขึ้นไม่ได้เมื่อเห็นลายมือโปรดชัดๆ
“พวกมึงบูลลี่กู!!! ”
โปรดร้องโวยวาย คนเรามันก็ต้องมีเรื่องที่ทำได้ดีกับทำได้ไม่ดีสิ
“โหห เวลาเขียนข้อสอบส่ง อาจารย์อ่านออกใช่ป่ะ” สไบพูดกลั้วหัวเราะไปด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่งบัดดี้ของเธอยังร่วมผสมโรง
ถูกบูลลี่ โปรดจะแจ้งๆ!!!!
“เลิกเรียนแล้วไปไหนดี”
“ไปเดินเล่นรอบๆ มอไหม แล้วค่อยออกไปหาอะไรกินที่ตลาดตรงหน้ามอ”
“ดีล! /ดีล! ”
“พวกพี่ดีลด้วยมั้ย”
พวกแก๊งเด็กวุ่นวายหันมาถามพริ้งกับสไบหลังจากที่ตกลงกันเองเรียบร้อยแล้ว พริ้งกับสไบมองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าตกลง
เอาเถอะกลับหอไปก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี
“พริ้งเอาเผ็ดปะ”
“ห๊ะ! อ๋อ ไม่ๆ ไม่เอาเผ็ด” พริ้งรีบตอบสไบหลังจากติดสตั๊นไปแปปนึง ขณะนี้พวกเธออยู่ในร้านอาหารแถวมหาวิทยาลัย หลังจากที่ตีกันอยู่นานว่าจะกินอะไร พวกเธอก็ตัดสินใจเดินเข้าร้านที่มีอาซิ้มหน้าตาใจดีแนะนำเมนู
“ติดแชทอะ แฟนเหรอออ” เจ้าเด็กบุ้งลอยหน้าลอยตาแซว
“บ้า ใช่ที่ไหน เพื่อนที่มาด้วยกันต่างหาก” พริ้งรีบตอบเจ้าเด็กที่นั่งรอฟังตาแป๋ว เธอรู้น่ะสิ ว่าเจ้าพวกนี้ยิ่งจินตนาการบรรเจิดๆ อยู่
“อ๋ออออ เพื่อนพี่เค้าอยู่อีกกลุ่มใช่ป่ะ” มิ้งไม่วายชวนคุยต่อ
“ใช่ รายนั้นอยู่สีชมพู มาด้วยกันแต่โดนจับแยกเฉย”
“เป็นเพื่อนคณะเดียวกันเหรอคะ” คำถามนี้มาจากป้าส้ม
“คนละคณะ รายนั้นเค้าเรียนเภสัชแต่เราเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว” พริ้งพูดถึง ‘แจน’ เพื่อนสนิทของเธอ จะเรียกได้ว่าเป็นคนที่แทบจะรู้จักเธอดีที่สุดเลยก็ว่าได้
“แล้วหน้าตาน่ารักอย่างพริ้งยังไม่มีแฟนอีกเหรอ” คราวนี้คำถามมาจากสไบ ที่เช็ดตะเกียบแจกจ่ายให้คนในโต๊ะ
“ไม่อะ”
เดี๋ยวนะ ทำไมรู้สึกเหมือนโดนสัมภาษณ์
“จริงปะ แล้ว...”
“ข้าวมาแล้ว! ” โปรดส่งเสียงขึ้นมา เมื่อเห็นพนักงานยกอาหารของพวกเธอ
ไอ้มิ้งส่งสายตามาดร้ายให้โปรด เธอได้แต่ถลึงตากลับ
ต้องขอบคุณโปรดที่ช่วยขัดจังหวะพวกเด็กช่างสงสัย ไม่อย่างนั้นน่ากลัวว่าเธอจะเผลอพูดอะไรที่ทำให้บรรยากาศกร่อยออกไป บุ้งกับมิ้งที่ตอนแรกส่งสายตาไม่ยินยอมให้เจ้าเด็กโย่ง แต่ทะเลาะกันทางสายตากันได้ไม่นานก็ถูกกลิ่นอาหารหอมๆ ตรงหน้าดึงความสนใจไปหมด แน่นอนว่าอาหารมื้อนี้เธอก็ถ่ายรูปเก็บไว้เช่นกัน ไว้กลับไปไทยเธอจะทำเป็นอัลบั้มอัพลงโซเชียล
หลังจากมื้ออาหารที่ลงความเห็นว่าอร่อยดีแต่ติดมันไปหน่อย พวกเธอก็เดินกลับเข้ามหาวิทยาลัย ระหว่างทางมีแวะถ่ายรูปบ้างเล็กน้อย เมื่อถึงหอพักพริ้งก็ขอแยกตัวเข้าห้องและปฏิเสธที่จะไปนั่งเล่นรวมกันที่ห้องของโปรด วันนี้เธอเหนื่อยพอแล้ว ขอพักก่อนแล้วกัน
“พวกมึงขี้เสือกนักนะ” โปรดเอ่ยเสียงเขียวทันทีที่พวกนั้นเปิดประตูห้องเข้ามา หลังจากแยกกับพริ้งและสไบ พวกเธอก็พากันแยกย้ายไปอาบน้ำ ก่อนที่จะมารวมตัวกันที่ห้องของโปรดพร้อมขนมขบเคี้ยว
“มึงสองคนเลยค่ะ จะถามอะไรพี่เค้านัก” ป้าส้มเองก็เห็นด้วยกับโปรด สนิทกับพี่เค้ารึ ก็ไม่ ถึงจะพูดว่าสนิท พี่เค้านับว่าสนิทกันรึเปล่าเถอะ
“ผิดไปแล้วค่ะ รู้ว่าขี้เสือกแต่ห้ามใจยากจริงๆ ” ไอ้มิ้งพูดเสียงอ่อย
“หรือมึงไม่อยากรู้” บุ้งไม่ยอมแพ้ พยักเพยิดหน้าไปทางโปรด
“ไม่โว้ยยยย พวกมึงจะไปอยากรู้อะไรเรื่องของพี่เค้า” โปรดโวยวายออกมาทันที
ไอ้พวกนี้! อย่าคิดว่าเธอจะอยากรู้อยากเห็นเหมือนพวกมันสิ
ถึงจะอยากรู้บ้างนิดหน่อยก็เถอะ
“กูรู้นะว่าพวกมึงคิดอะไร ไอ้โปรดมันมีแฟนแล้วนะเว้ย! ” เสียงป้าส้มดังเรียกสติโปรดที่กำลังนึกถึงคู่บัดดี้ที่เป็นเจ้าของหัวข้อบทสนทนากับสองตัวแสบที่กำลังต่อเรือกันอยู่เงียบๆ
“เชี่ย! กูลืมไปเลยอ่ะ” เสียงของมิ้งกับบุ้งดังพร้อมกัน
โปรดได้แต่กลอกตาใส่เพื่อนทั้งสอง
ทั้งๆ ที่ในใจเธอเองก็รู้สึกสั่นไหวกับความจริงที่ว่า
เธอเองก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน
“ไง” เสียงใสๆ ของแจนดังขึ้นทันทีที่พริ้งเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา
“เข้ามาก่อน เอาขนมมาป่ะ? ”
แทนคำตอบแจนยกถุงในมือให้พริ้ง ก่อนจะเดินเข้าห้องที่เจ้าของห้องเปิดต้อนรับ
“รู้ใจ มีเบียร์ด้วย ไปซื้อมาจากไหน” เสียงของพริ้งเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“โชห่วยหน้ามหาลัย” แจนตอบเพื่อนตั้งแต่สมัยอนุบาลของตัวเอง ขณะไล่สายตามองโต๊ะที่เจ้าของห้องจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ สมุดวาดรูปกับกล่องสีน้ำที่เจ้าตัวเปิดทิ้งไว้ ดูท่าจะยังลงสีรูปไม่เสร็จดี ก่อนจะสะดุดสายตากับตลับยาที่ถูกซุกไว้ใต้กองกระดาษ
“ยังกินยาอยู่มั้ย”
พริ้งชะงักมือที่กำลังแกะถุงขนม ก่อนจะเงยหน้ามองแจนที่เดินมานั่งข้างๆบนที่นอน ความเป็นห่วงฉายชัดอยู่ในดวงตา
“ไม่แล้ว”
“แล้วนอนหลับมั้ย ยังฝันอยู่รึเปล่า”
แจนมองมือของพริ้งที่สั่นน้อยๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือเล็กกว่าของเพื่อนเอาไว้ ออกแรงบีบเบาๆให้มือที่เย็นเฉียบและสั่นเทารับรู้ว่ายังมีเธออยู่ข้างๆ
“เปิดเบียร์เลย กินขนมกัน อย่าเศร้า! ” แจนรีบเปลี่ยนบรรยากาศทันทีที่เห็นเพื่อนตัวเล็กซึมกะทือ
“ไหนเล่าสิ อยู่กลุ่มกับแก๊งเด็กพวกนั้นเป็นไงมั่ง” แจนถามขณะที่คว้ากระป๋องเบียร์
มือขวากระดกเบียร์ มือซ้ายคว้าหมูแผ่น
เพื่อนของเธอนี่จริงๆ เลย
พริ้งส่ายหัวให้กับคนที่เปลี่ยนโหมดจากเพื่อนผู้แสนดีเป็นตาลุงขี้เหล้าแถมยังตะกละอีกต่างหาก
“ก็ไม่ไง น้องเค้าก็น่ารักดี เป็นแบบพวกพลังงานล้นเหลือ” พริ้งรับกระป๋องเบียร์ที่แจนยื่นส่งมาให้ รสชาติเบียร์จีนที่ไหลผ่านลำคอให้ความรู้สึกสดชื่นไม่น้อย
“อร่อยนะเนี่ย” พริ้งหันไปทำตาโตใส่แจนที่นั่งชันเข่า
ให้ตายเหอะ ลำยองชัดๆ
“แล้วของแจนอ่ะ เพื่อนในกลุ่มเป็นไงมั่ง” พริ้งถามถึงเพื่อนร่วมกลุ่มของแจน พวกเธอถูกจับแยกกันตั้งแต่สนามบิน แอบเป็นห่วงเพื่อนปากร้าย หน้าตาไม่รับแขกของเธอว่าจะเข้ากับคนอื่นได้มั้ย
นั่นไง ดูจากท่าเบ้ปากก็รู้แล้ว
“คนอื่นก็โอเค แต่แม่ง มีผู้ชายมาจีบกู” ปากที่เบ้อยู่แล่วเบ้ลงไปอีก
“หล่อมะ”
“หล่อแต่แม่งเป็นสลิ่มวะ”
พริ้งหัวเราะเสียงดังลั่นห้อง
หลังจากส่งแจนที่เริ่มกรึ่มกลับห้องของตัวเองไปแล้ว พริ้งก็กลับมาจัดการกับซากถุงขนม กระป๋องเบียร์ทั้งหลายแหล่ เธอรวบปากถุงเตรียมไปทิ้งถังขยะใหญ่ตรงบันไดหอ สวมเสื้อคลุมเดินออกจากห้อง ไม่คิดว่าจะเจอเด็กโย่งยืนมองพระจันทร์อยู่ตรงระเบียงทางเดิน
ร่างสูงของโปรดหันมามองตามเสียงปิดประตู แสงของพระจันทร์ทำให้เสี้ยวหน้าข้างหนึ่งอยู่ในที่มืด เกิดเป็นแสงและภาพที่สวยงาม จนพริ้งอยากจะรีบคว้าสมุดวาดรูปมาสเกตช์ภาพไว้หรือถ่ายรูปเก็บไว้ก็ยังดี
“จะไปไหนดึกๆ ดื่นๆ ” เสียงของโปรดที่แหบน้อยๆ จากการยืนตากลมเย็นตอนกลางคืน เรียกให้พริ้งออกจากภวังค์
“ฮะ อ๋อ ออกไปทิ้งขยะ”
เสียงแหบๆ นี่มัน ใจสั่นเลยค่ะแม่
“กินเหล้า? ” เจ้าของเสียงที่ทำให้พริ้งใจสั่นเอ่ยถามขึ้น
“เบียร์เฉยๆ ” พริ้งเก็บอาการก่อนจะเดินเบี่ยงหลบคนถาม กลัวว่าคนถามจะเห็นสีหน้าแปลกๆ ของเธอ
เธอรีบเดินไปทิ้งขยะที่อยู่ตรงหัวมุมระเบียงทางเดิน
“แล้วมาออกมาทำอะไรตรงทางเดิน นี่ก็ดึกแล้วนะ” เธอหันกลับไปถามคนที่ยังยืนหันข้างอยู่ มุ่นคิ้วๆ น้อยเมื่อเห็นว่าโปรดออกมายืนตากลมโดยไม่สวมเสื้อคลุม
ถึงจะเป็นฤดูร้อนแต่อากาศตอนกลางคืนมันเย็นนะ
“คือ…”
โปรดพูดได้แค่นั้นแล้วก็หยุด หลุบตาต่ำลง ภายในใจของเธอรู้สึกทั้งอึดอัดและว่างเปล่า หลังจากคุยกับสายที่เพิ่งวางไป เธอคิดว่าลมเย็นๆ จะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น แต่ความมืดและแสงจันทร์ยิ่งทำให้เธอรู้สึกว้าเหว่มากขึ้นไปอีก
“เอาเถอะ รีบเข้าห้องได้แล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีกนะ” เป็นคนตัวเล็กที่เอ่ยตัดบทหลังจากที่เห็นว่าคนตัวสูงไม่สะดวกใจที่จะตอบ
“ฝันดีนะ”
โปรดพยักหน้ารับ มองประตูห้องที่ปิดลง เธอแหงนหน้ามองพระจันทร์อีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเข้าห้องเพื่อพักผ่อนเอาแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้
ฝันดีเหรอ
พริ้งแค่นยิ้มให้ตัวเอง
บอกตัวเองเถอะนะพริ้ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in