แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเล่าเรื่องของผู้หญิงเป็นหลัก โดยเฉพาะตัวเอกของเรื่องอย่างคิมจียองที่ต้องเผชิญหน้ากับโลกอย่างเจ็บปวดภายใต้แรงกดดันของสังคมปิตาธิปไตย (Patriarchy) อันเป็นที่มาของบาดแผลและความเจ็บปวดที่กำหนดนิยามให้ผู้ที่เกิดมาเป็น "ผู้หญิง" ต้องรู้สึกถึงมันอยู่ตลอดเวลา
หนังไม่เพียงแค่เล่าเรื่องของคิมจียองเท่านั้น เรื่องราวความเจ็บปวดของความเป็นผู้หญิงที่ต้องแบกรับบทบาทใหญ่ที่สังคมกำหนดกดดัน ทั้งในฐานะผู้หญิง ฐานะของภรรยาและในฐานะแม่ ถูกเล่าออกมาผ่านตัวละครผู้หญิงทุกคนในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่ของคิมจียอง แม่ของแดฮยอน พี่สาวของจียอง หัวหน้าทีมคิม คุณย่า คุณยายและผู้หญิงอีกหลาย ๆ คน ทุกอย่างเล่าผ่านช่วงชีวิตวัยเด็ก กระทั่งเติบโตเข้าสู่วัยรุ่น วัยทำงานและวัยที่มีครอบครัวของคิมจียอง แต่ละย่างก้าวของเธอและผู้หญิงหลาย ๆ คนในชีวิตของคิมจียองนั้นล้วนเต็มไปด้วยเงื่อนไข ข้อแม้ และมักอยู่เป็นสองรองจากผู้ชายเสมอ
ใช่ กับดักขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างและนำมันมาวางไว้ให้เห็นกับตา น่าแปลกที่มนุษย์แต่ละคนก็เลือกเดินเข้าสู่กับดักนั้น บางคนพอรู้สึกตัวว่าติดกับก็พยายามหาทางดิ้นรนเอาตัวรอดจากบ่วงพันธนาการใหญ่ยักษ์ ซึ่งการดิ้นรนนั้นก็ล้วนแล้วแต่สร้างบาดแผลและความเจ็บปวดอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แต่คนบางกลุ่มถูกกับดักเหล่านั้นกลืนกินอาจจะทั้งรู้และไม่รู้ว่ามีกับดักนั้นอยู่แต่ท้ายที่สุดคนกลุ่มนี้ก็ใช้ชีวิตในกับดักนั้นไปแล้ว ทว่าเมื่อคิดได้ว่าบ่วงพันธนาการนั้นเป็นของจริงและไม่อาจทำสิ่งอื่นได้นอกจากต้องเผชิญหน้ากับมัน เมื่อนั้นมันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว บรรดาผู้หญิง ๆ ที่ร่ำเรียนมาสูง ๆ เพื่อถูกสังคมกำหนดกดดันให้ต้องลาออกมาทำหน้าที่แม่ที่ต้องดูแลลูก พ่อแม่ที่เลือกจะเลี้ยงลูกชายคนละมาตรฐานกับลูกสาว มีคนอีกมากมายที่ไม่ต้องการให้มาตรฐานทางสังคมระหว่างเพศที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเปลี่ยนไป สิ่งที่ทำได้ในสถานการณ์แบบนี้ก็มีแต่การทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้เป็นเรื่องล้อเล่นขำ ๆ ไม่ซีเรียส เพียงเพราะว่ามันอาจกลายเป็นความขัดแย้งไม่รู้จบและเป็นปัญหาที่เราไม่รู้จะไปแก้ที่ต้นตอได้อย่างไร
ทุกคนทุกเพศล้วนตกเป็นเหยื่อในสังคมปิตาธิปไตยทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่จางแดฮยอน (รับบทโดย กงยู) ผู้เป็นสามีของจียอง หนังถ่ายทอดบทบาทของจางแดฮยอนผู้เป็นสามีที่รับรู้และต้องทนเห็นความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจของภรรยา แม้ว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งบทบาทของกงยูที่อาจทำให้ผู้ชมอย่างเรารู้สึกอบอุ่นใจกับการที่ผู้ชายคนหนึ่งเป็นห่วงรักใคร่และพยายามช่วยเหลือภรรยาด้วยใจจริง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าผู้ชายเองก็เป็นเหยื่อในปัญหานี้เช่นกัน
โครงสร้างสังคมครอบครัวที่ยึดโยงผู้ชายเป็นเสาหลักในสังคมตะวันออกรวมไปถึงแนวคิดกตัญญูคุณบิดามารดาและให้ความสำคัญกับผู้อาวุโสกว่าแบบขงจื๊อที่ตกค้างเป็นเนื้อเดียวกันในสังคมเกาหลีใต้นั้นส่งผลต่อการตัดสินใจของหน่วยครอบครัวเล็กที่แม้จะแยกออกมาอยู่ด้วยกันเองแล้ว ก็ยังต้องยึดโยงกับความเห็นของครอบครัวใหญ่ พ่อแม่ (โดยเฉพาะพ่อแม่สามี) ก็ยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของชีวิตครอบครัวลูกอยู่ดี สามีภรรยารุ่นใหม่ไม่สามารถออกแบบชีวิตครอบครัวเองได้ เรื่องที่พ่อแม่ลูกยังต้องพัวพันกันอยู่กลายเป็นปัญหาครอบครัวที่บานปลาย แม้ว่าสามีจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไรและอยากจะช่วยภรรยามากแค่ไหนเขาก็ขยับได้แค่เท่าที่พ่อแม่เขาขีดไว้ให้เท่านั้น ผลลงเอยของครอบครัวที่จบแบบพ่อแม่สองคนช่วยกันทั้งทำงานและเลี้ยงลูกนั้นยังคงเป็นไปได้ยากสำหรับบางครอบครัวหรืออาจเป็นไปแทบจะไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ครอบครัวของคิมจียองเองก็เป็นอย่างหลัง สุดท้ายเธอก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่เธอรัก เธอต้องเลี้ยงลูกและต้องเผชิญหน้ากับการรักษาอาการทางจิตเวชที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว ชีวิตของคิมจียองในภาพยนตร์อาจจะดูเหมือนค่อย ๆ ได้รับกำลังใจและได้รับการบำบัดให้หายขาดจากโรคหลายบุคลิก (Dissociative Identity Disorder (DID) ) ได้ในอนาคต รวมถึงได้ทำงานเขียนที่เคยเป็นความฝันของเธอไปด้วยแม้ว่าในตอนจบอาจจะดูราบรื่นมากขึ้น
แต่ตอนจบของหนังก็ไม่ได้มีนิมิตหมายของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดยังคงเป็นตัวคิมจียองเองที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เผชิญหน้ากับโรคและชีวิตการเป็นแม่ที่แสนยากเย็นแต่ช่างโชคดี เธอมีสามีที่ดีและครอบครัวที่เข้าใจคอยให้กำลังใจ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in