โจศักดิ์เป็นพนักงานหนุ่มวัย 26 ปีทำงานเป็นเซลล์ขายประกัน เขามีรูปร่างท้วม ลักษณะคล้ายหมีทำให้ดูน่ารักและเป็นกันเองในสายตาของหลายคน แต่ภายในใจของเขา โจศักดิ์เป็นคนที่ชอบเก็บตัวและมีความระมัดระวังในการเข้าหาคนใหม่ๆเขาเป็นคนที่สามารถเข้ากับคนอื่นได้ง่ายเมื่อเปิดใจแต่กระนั้นก็ยังคงความรู้สึกระแวดระวังและไม่ค่อยแสดงความรู้สึกที่แท้จริงให้ใครเห็น
หน้าที่การงานของโจศักดิ์คือการขายประกันซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะการสื่อสารและการเข้าถึงใจลูกค้าแม้ว่าเขาจะเก่งในการสร้างความสัมพันธ์และทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจแต่หลังจากเลิกงาน เขามักจะกลับมาอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองโจศักดิ์เป็นคนที่ชอบฟังเพลง ดูหนังและใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อผ่อนคลายจากความเครียดในการทำงาน
แม้ว่าโจศักดิ์จะเป็นคนที่ดูอบอุ่นและเป็นมิตรแต่เขามีความเปราะบางในเรื่องของความรู้สึกและความสัมพันธ์ส่วนตัวเขามักจะเก็บความเศร้าและความกังวลไว้ในใจ ไม่ค่อยบอกใครหรือปรึกษาใครเมื่อมีปัญหาทำให้เขาดูเหมือนเป็นคนที่เข้มแข็งแต่ภายในใจกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่บ่อยครั้ง
โจศักดิ์เป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของคนรอบข้างเขามีความสามารถในการรับฟังและให้คำปรึกษาอย่างจริงใจนี่คือเหตุผลที่เพื่อนร่วมงานและคนรอบข้างมักจะโทรมาปรับทุกข์และขอคำแนะนำจากเขาโจศักดิ์รู้สึกพอใจที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการใครสักคนที่สามารถรับฟังและเข้าใจเขาเช่นกัน
“หมึกย่าง”
โจศักดิ์เป็นหนุ่มที่มีความเป็นมิตรและกะล่อนในตัวเขาเป็นคนที่ใครอยู่ด้วยก็จะรู้สึกดีกับเขาไม่ก็เกลียดไปเลยวันทั้งวันโจศักดิ์ได้แต่รับฟังปัญหามากมายของคนอื่น เขาเป็นผู้ฟังที่ดีชอบสร้างเสียงหัวเราะ และทุกคนก็ชอบโทรมาปรับทุกข์กับเขา เขาสร้างความสบายใจแก่ผู้คนที่มาปรึกษาเขาอย่างมากไม่แปลกใจที่ใครอยู่กับเขาแล้วรู้สึกดี
วันนี้ที่ออฟฟิศ ขณะที่ทุกคนกำลังพักกลางวันกันอยู่เพื่อนร่วมงานของโจศักดิ์ก็กำลังพูดคุยถึงเขา
"เฮ้ย พวกแกว่ามั้ย โจศักดิ์นี่มันเป็นคนยังไงนะพออยู่ด้วยแล้วรู้สึกดีชะมัด" หนึ่งในเพื่อนร่วมงานกล่าวขึ้นมา
"ใช่ ฉันก็คิดแบบนั้นนะ" สาวอีกคนเสริม"อย่างเมื่อวานที่ฉันมีปัญหากับแฟน โจศักดิ์ก็ฟังฉันระบายตั้งนานแถมยังเล่าเรื่องตลกให้ฟังอีก ตอนนั้นรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย"
"แต่บางครั้งมันก็กะล่อนเกินไปนะ" หนุ่มอีกคนพูดแทรก"ฉันเคยเจอมันแกล้งเล่นมุขเสี่ยวใส่เลขาใหม่เธอถึงกับเขินจนหน้าแดงไปหมด"
ทุกคนหัวเราะพร้อมกัน
"นั่นแหละโจศักดิ์" เพื่อนคนแรกพูดต่อ"แต่เวลาเราเจอปัญหาหนักๆ มันก็พร้อมจะอยู่ข้างๆ และฟังเราเสมอฉันเคยโทรหามันตอนเที่ยงคืนเพราะเครียดเรื่องงาน มันก็ยังฟังฉันจนจบ"
"จริงๆ แล้ว มันก็ดีนะที่มีคนแบบนี้ในออฟฟิศ"สาวคนหนึ่งกล่าว "เรารู้สึกว่าไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรอย่างน้อยก็มีโจศักดิ์ที่พร้อมจะรับฟังและทำให้เราหัวเราะได้"
"แต่แปลกนะ" หนุ่มอีกคนพูดขึ้น"เห็นมันฟังปัญหาคนอื่นเก่งขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นมันเล่าเรื่องของตัวเองเลยเวลาเศร้าๆ ก็ไม่ค่อยบอกใคร"
"นั่นสิ" สาวคนหนึ่งเห็นด้วย"ฉันเคยถามมันเรื่องส่วนตัว มันก็เปลี่ยนเรื่องทุกทีไม่รู้มันมีอะไรที่ไม่อยากบอกเราหรือเปล่า"
"อาจจะเป็นวิธีที่มันรับมือกับความเครียดก็ได้นะ"หนึ่งในเพื่อนกล่าว "แต่ยังไงก็เถอะ เราควรอยู่ข้างๆ มันด้วยเหมือนกัน"
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
และนั่นก็เป็นชีวิตประจำวันของโจศักดิ์ในออฟฟิศที่ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหรือความสนุกสนานเขาก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บรรยากาศในที่ทำงานนั้นดีขึ้นเสมอ
จนกระทั่งวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจวันนั้นโจศักดิ์เจอเรื่องราวหลายอย่างที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าความหนักหน่วงของชีวิตทุกอย่างถาโถมเข้ามาพร้อมกันสำหรับชายหนุ่มผู้สร้างเสียงหัวเราะ โจศักดิ์เดินทางมาถึงช่วงที่แย่ที่สุด ณ ตอนนี้
เริ่มต้นที่เรื่องงาน ยอดขายของเขาไม่เป็นไปตามเป้าหมายแม้เขาจะพยายามมากแค่ไหน ลูกค้าก็ยังไม่ตอบรับและปฏิเสธข้อเสนอของเขาตลอดเวลาผู้จัดการเรียกเขาเข้าไปคุยและตำหนิเขาอย่างรุนแรง
"โจศักดิ์ นายต้องทำให้ได้ดีกว่านี้สิยอดขายต่ำแบบนี้จะส่งผลต่อทั้งทีม เราไม่มีเวลาให้มาผิดพลาดแล้วนะ!"ผู้จัดการพูดเสียงเข้ม
โจศักดิ์ได้แต่ก้มหน้าและพยักหน้าเบาๆ "ครับผมจะพยายามให้มากขึ้นครับ"
แต่ในใจของเขารู้สึกหมดหวังมันเหมือนกับว่าความพยายามทั้งหมดของเขาไม่มีค่าเลย
เมื่อกลับมาถึงโต๊ะทำงาน เขาได้รับข้อความจากแฟนสาวที่คบกันมานานข้อความนั้นบอกว่าเธอขอเลิกกับเขา เพราะเธอรู้สึกว่าไม่สามารถไปต่อได้อีกแล้ว
"โจศักดิ์ เราคงต้องจบกันตรงนี้นะฉันเหนื่อยกับความสัมพันธ์นี้แล้ว ขอให้เธอโชคดี"
ข้อความนี้ทำให้โจศักดิ์รู้สึกเหมือนโลกถล่มลงมาตรงหน้าเขานั่งจ้องข้อความนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา น้ำตาเริ่มไหลออกมาเงียบๆ
เพื่อนร่วมงานเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเขา
"เฮ้ย โจศักดิ์ เป็นอะไรหรือเปล่า? ดูนายไม่ค่อยโอเคเลย"เพื่อนคนหนึ่งถามด้วยความห่วงใย
โจศักดิ์เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมงาน แต่ไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากเขาแค่ส่ายหน้าเบาๆ และหันกลับไปทำงาน
เวลาอาหารกลางวัน เพื่อนๆ ยังคงคุยกันเรื่องต่างๆแต่โจศักดิ์นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จากับใคร สีหน้าเขาดูหมองคล้ำและหมดชีวิตชีวา
"โจศักดิ์ นายโอเคจริงๆ เหรอ?" เพื่อนอีกคนถาม"ถ้ามีอะไรบอกเราบ้างก็ได้นะ เราพร้อมฟัง"
แต่โจศักดิ์ยังคงเงียบ ไม่ตอบอะไรเขาแค่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วก็หันหน้าหนี
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน โจศักดิ์เดินออกจากออฟฟิศอย่างช้าๆร่างกายของเขารู้สึกหนักอึ้ง ราวกับว่าทุกย่างก้าวเป็นความพยายามที่ยากลำบาก
วันต่อมาในออฟฟิศ เพื่อนร่วมงานของโจศักดิ์ยังคงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเขาแต่ก็ยังคงหวังว่าเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
"เฮ้ โจศักดิ์ นายพอมีเวลาสักแป๊บไหม?
โจศักดิ์เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะด้วยสายตาเหนื่อยล้า "มีอะไรเหรอ?"
"คือฉันมีปัญหาเรื่องงานโปรเจ็กต์นี้น่ะไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี นายพอจะช่วยให้คำแนะนำได้ไหม?"
โจศักดิ์ถอนหายใจเบาๆ และพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ "ก็บอกมาสิมีอะไร"
"ก็...โปรเจ็กต์นี้มันซับซ้อนมากแล้วฉันไม่แน่ใจว่าจะจัดการกับมันยังไงดี นายเคยผ่านงานแบบนี้มาก่อนใช่ไหม?พอจะแนะนำได้ไหม?"
โจศักดิ์ฟังแต่ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ"ก็แค่ทำตามขั้นตอนที่บอกในคู่มือไปสิ ทุกอย่างมันก็อยู่ในนั้นแล้ว"
เพื่อนร่วมงานรู้สึกผิดหวังกับการตอบสนองของโจศักดิ์"เอ่อ...คือฉันต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมน่ะ นายช่วยดูให้หน่อยได้ไหม?"
โจศักดิ์มองหน้าเพื่อนด้วยสายตาว่างเปล่า "ฉันยุ่งอยู่นายไปถามคนอื่นเถอะ"
เพื่อนร่วมงานนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ "โจศักดิ์นายโอเคหรือเปล่า? นายดูไม่ค่อยเหมือนเดิมเลยนะ"
"ฉันก็แค่เหนื่อย ไม่มีอะไรหรอก"โจศักดิ์ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด "ถ้านายมีปัญหาอะไร ก็บอกผู้จัดการไปเลยฉันช่วยไม่ได้หรอก"
เพื่อนร่วมงานพยักหน้าเบาๆและเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยความผิดหวังและเป็นห่วง
ไม่นานหลังจากนั้น เพื่อนร่วมงานอีกคนก็เข้ามาหาโจศักดิ์"โจศักดิ์ นายพอมีเวลาสักนิดไหม? ฉันมีปัญหาส่วนตัวอยากจะคุยด้วย"
โจศักดิ์มองขึ้นมาแต่ไม่มีแววตาของความสนใจ "อะไรอีกล่ะ?"
"คือ...ฉันมีปัญหากับแฟนน่ะ เราทะเลาะกันหนักมากฉันไม่รู้จะทำยังไงดี นายพอจะช่วยแนะนำได้ไหม?"
โจศักดิ์ถอนหายใจหนักๆ "ฉันไม่รู้หรอกนายก็แค่คุยกันให้เข้าใจ หรือถ้ามันไม่เวิร์คก็เลิกไปเถอะฉันไม่มีเวลามานั่งฟังเรื่องของนายหรอก"
เพื่อนร่วมงานตกใจและรู้สึกเจ็บปวดกับคำตอบนั้น "โจศักดิ์นี่นายเป็นอะไรไป? นายไม่เคยพูดแบบนี้กับพวกเรามาก่อนเลยนะ"
"ฉันบอกแล้วว่าฉันเหนื่อย ไม่มีอะไร"โจศักดิ์พูดเสียงแข็ง "ถ้านายไม่มีอะไรสำคัญ ฉันขอทำงานต่อเถอะ"
เพื่อนร่วมงานรู้สึกหมดหวังและเดินกลับไปด้วยความรู้สึกหนักใจทุกคนในออฟฟิศเริ่มมองโจศักดิ์ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นคนที่ทุกคนพึ่งพาได้กลับกลายเป็นคนที่ดูเหมือนจะหมดใจและไม่สนใจใครอีกต่อไป
บรรยากาศในออฟฟิศเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆและทุกคนต่างหวังว่าโจศักดิ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่ในเวลานี้ เขาไม่ใช่ผู้ฟังที่ดีอีกต่อไปเขาเงียบเขาไม่สนใจผู้คนและไม่สุงสิงกับใคร ทำให้ใครหลายๆคนงง ในการกระทำของเขาและอาจเป็นส่วนหนึ่งที่คนเริ่มเกลียดเขา
หลังเลิกงาน
หลังจากวันที่เหน็ดเหนื่อยและทุกข์ทนโจศักดิ์ตัดสินใจเดินทางไปซื้อปลาหมึกย่างใกล้ๆ ที่ทำงานเขาหวังว่าอาหารอร่อยจะช่วยบรรเทาความรู้สึกแย่ๆ ที่ทับถมในใจ
เมื่อเขาเดินมาถึงร้านปลาหมึกย่างกลิ่นหอมของปลาหมึกที่ย่างบนเตาถ่านลอยมาเตะจมูกความรู้สึกหิวและความอยากอาหารเริ่มเข้าครอบงำ เขามองเห็นคนย่างหมึกอยู่หลังเตาและทันใดนั้น เขาก็หยุดชะงัก เมื่อสายตาของเขาปะทะกับเธอ
เธอมีคิ้วที่เข้ม ดวงตาที่โตและเปล่งประกายผมหยักโศกที่ดูสวยงามเมื่อสะท้อนกับแสงไฟจากเตาย่างรอยยิ้มที่หวานละมุนปรากฏบนใบหน้าของเธอขณะที่เธอพลิกปลาหมึกบนเตาด้วยความชำนาญ
โจศักดิ์รู้สึกอบอุ่นใจทันทีที่เห็นเธอยิ่งเมื่อเธอยิ้มและส่งเสียงทักทาย "สวัสดีค่ะ รับหมึกย่างกี่ไม้ดีคะ?"เสียงของเธอสดใสและเป็นมิตรทำให้เขารู้สึกเหมือนได้รับพลังบวกจากเธอ
“เอ่อ...เอาสามไม้ครับ” โจศักดิ์ตอบพลางยิ้มเล็กน้อยเขารู้สึกว่าความทุกข์ที่มีอยู่ในใจได้จางหายไปชั่วขณะ
ขณะที่เธอกำลังย่างหมึก เธอหันมายิ้มให้เขาอย่างเป็นกันเอง“รอสักครู่นะคะ กำลังย่างให้กรอบนอกนุ่มในอยู่ค่ะ”
โจศักดิ์มองดูเธอด้วยความประทับใจเขารู้สึกได้ถึงความตั้งใจและความสุขที่เธอใส่ลงไปในทุกไม้ของปลาหมึกย่างความงามและความอบอุ่นของเธอทำให้เขารู้สึกสบายใจและลืมเรื่องราวที่ทำให้เขาเครียดไปชั่วคราว
เมื่อเธอส่งถุงปลาหมึกย่างให้เขา เธอยิ้มและพูด “ขอให้อร่อยนะคะ”
โจศักดิ์รับถุงหมึกย่างและยิ้มตอบ “ขอบคุณครับ”เขารู้สึกได้ว่าหมึกย่างในมือของเขามีความหมายมากกว่าการเป็นเพียงอาหารอร่อยแต่มันคือสัญลักษณ์ของความหวังและกำลังใจที่เขาได้รับจากหญิงสาวผู้ย่างหมึกคนนั้น
เมื่อเขากลับถึง อพาร์ทเม้นท์ 181
เขารู้ว่าความทุกข์ที่มีได้หายไปชัวขณะ เพราะการกินหมึกย่างที่แสนอร่อยแต่อีกนัยหนึ่งเขาก็ได้เอะใจขึ้นว่าอาจไม่ใช่เพราะหมึกย่างที่อร่อยหรอกแต่เป็นคนย่างหมึกตังหากที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจด้วยความงามของเธอ
หลังจากวันนั้น โจศักดิ์กลายเป็นลูกค้าประจำของร้านปลาหมึกย่างเขามาซื้อหมึกย่างทุกวันหลังเลิกงานโดยมีความหวังเล็กๆ ที่จะได้เจอจินดาจอยแสวง หญิงสาวผู้ย่างหมึกที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ
วันแรกๆ ที่มาซื้อปลาหมึกย่าง เขายังพูดคุยตามปกติแต่ความรู้สึกของเขาเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆเมื่อเขาได้เห็นเธอยิ้มและทักทายเขาในทุกๆ วัน
"สวัสดีค่ะ วันนี้รับกี่ไม้ดีคะ?"
"เอาเหมือนเดิมครับ สามไม้" โจศักดิ์ตอบและยิ้มกลับความสุขที่ได้เจอเธอทำให้เขารู้สึกดีขึ้นทุกครั้ง
วันถัดมา เขาพยายามเริ่มบทสนทนาเพิ่มเติม"วันนี้อากาศดีนะครับ ย่างหมึกแบบนี้น่าจะเหนื่อยแย่"
จินดาจอยแสวงหัวเราะเบาๆ "ก็เหนื่อยนิดหน่อยค่ะแต่เห็นลูกค้าชอบหมึกย่างของเราแล้วก็ดีใจ"
"ผมชอบมากเลยครับ หมึกย่างของคุณอร่อยที่สุด"โจศักดิ์กล่าวด้วยความจริงใจ
จินดาจอยแสวงยิ้มและตอบกลับ "ขอบคุณมากค่ะดีใจที่คุณชอบ"
วันต่อมา โจศักดิ์เริ่มพูดคุยมากขึ้นและพยายามแสดงความเป็นห่วงเป็นใย "คุณจินดาจอยแสวงเคยหยุดพักบ้างหรือเปล่าครับ? ผมเห็นคุณทำงานทุกวันเลย"
จินดาจอยแสวงยิ้มและพูด "ก็พักบ้างค่ะแต่งานนี้ทำให้มีความสุขได้เจอลูกค้าดีๆ อย่างคุณทุกวันก็พอแล้วค่ะ"
โจศักดิ์รู้สึกหัวใจพองโตเมื่อได้ยินคำพูดนั้น"ถ้าคุณมีเวลาว่าง ผมอยากชวนคุณไปดื่มกาแฟบ้างนะครับ"
จินดาจอยแสวงหัวเราะเบาๆ "ขอบคุณค่ะแต่ช่วงนี้งานยุ่งมากเลย ไว้วันไหนว่างจะบอกนะคะ"
แต่โจศักดิ์รู้สึกว่าจินดาจอยแสวงไม่ได้มีแววว่าจะสนใจเขาในแบบที่เขารู้สึกต่อเธอเธอแค่รู้สึกดีที่ได้ทำให้ลูกค้ามีความสุข แต่ไม่ได้มีความรู้สึกโรแมนติกใดๆ
หลายวันผ่านไปโจศักดิ์ยังคงมาเจอจินดาจอยแสวงทุกวันและพยายามทำให้บทสนทนาของเขาโรแมนติกขึ้น
"วันนี้ผมขอปลาหมึกย่างที่อร่อยที่สุดเหมือนเดิมนะครับและรอยยิ้มของคุณที่หวานละมุนที่สุดด้วย" โจศักดิ์พูดพร้อมกับยิ้มมุมปาก
จินดาจอยแสวงยิ้มเขินเล็กน้อย "ขอบคุณค่ะ คุณโจศักดิ์พูดแบบนี้ทำให้ฉันยิ้มได้ทุกวันเลย"
โจศักดิ์รู้สึกดีใจที่ทำให้เธอยิ้มได้แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าเธอไม่ได้มีแววว่าจะชอบเขาเช่นกัน
วันหนึ่ง เขาตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจ "ย่างหมึกอย่างเดียวไม่พอทำไมต้องเข้ามาย่างกรายในหัวใจพี่ด้วยโจศักดิ์พูดพลางยิ้มมุมปาก
จินดาจอยแสวงได้ยินถึงกับทำตัวไม่ถูกได้แต่ยิ้มแห้งๆ และส่งปลาหมึกย่างให้เขา"ขอให้มีความสุขกับหมึกย่างนะคะ"
โจศักดิ์รับถุงปลาหมึกย่างและเดินกลับคอนโดด้วยความรู้สึกแปลกๆเขารู้ว่าเขาตกหลุมรักเธอข้างเดียวแต่ก็ยังคงมีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอในทุกๆ วัน
และก็เป็นเหมือนทุกวันที่โจศักดิ์จะเล่นมุขเสี่ยวๆจีบจินดาจอยแสวง
แต่วันนี้แปลกไปโจศักดิ์ไม่เจอจินดาจอยแสวงผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจในชีวิตเขา หลังจากเลิกงานโจศักดิ์รีบเดินไปที่ร้านปลาหมึกย่างตามปกติด้วยความหวังจะได้เจอจินดาจอยแสวงแต่เมื่อเขามาถึงร้าน เขาก็พบกับความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าคนที่ย่างหมึกในวันนี้ไม่ใช่จินดาจอยแสวง แต่เป็นสาวหล่อ
สาวหล่อคนนั้นมีผมสั้น ตัดเป็นทรงบ๊อบเท ดูสะอาดและเรียบร้อยเธอใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายสก็อตและกางเกงยีนส์แบบผู้ชาย สวมรองเท้าผ้าใบสีดำท่าทางของเธอดูคล่องแคล่วและมั่นใจ ใบหน้าของเธอมีความคมเข้ม สายตาแสดงถึงความไม่สนโลกและเป็นคนที่ห้าวอยู่พอสมควร
โจศักดิ์เดินเข้ามาด้วยความสงสัยและพูดขึ้น "เอ่อ...ขอโทษครับจินดาจอยแสวงไม่อยู่เหรอครับ?"
สาวหล่อมองด้วยสายตาเฉยชาและหันมาตอบ "อ๋อหมายถึงจินดาจอยแสวงเหรอ เธอไม่ได้มาทำงานน่ะ"
โจศักดิ์รู้สึกใจหาย "แล้วเธอไปไหนเหรอครับ?"
สาวหล่อทำหน้านิ่ง"จินดาจอยแสวงกำลังจะไปแต่งงานที่ต่างจังหวัด เธอลางานเผื่อจะไปเตรียมตัวแต่งงาน"
โจศักดิ์อึ้งไปสักพัก รู้สึกเหมือนโลกถล่มลงตรงหน้า ความหวังและความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อจินดาจอยแสวงพังทลายไปในพริบตา
"อ๋อ...ขอบคุณครับ" โจศักดิ์ตอบเสียงเบารู้สึกใจหายและเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
สาวหล่อสังเกตเห็นท่าทางของโจศักดิ์และพูดด้วยความเห็นใจ"สนิทกับจินดาจอยแสวงหรอ?"
โจศักดิ์พยักหน้าเบาๆ "ครับ เราคุยกันทุกวันเธอทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นในวันที่เหนื่อยล้า"
สาวหล่ออมยิ้มให้กำลังใจ "ไม่เป็นไระ ชีวิตยังต้องเดินต่อไปบางทีการเจอคนใหม่ๆ อาจทำให้เราพบสิ่งที่ดีขึ้นก็ได้"
โจศักดิ์พยักหน้าเบาๆ และยิ้มอย่างอ่อนโยน"ขอบคุณครับ"
เขาซื้อปลาหมึกย่างแล้วเดินคอตกกลับคอนโด ความเศร้าเข้าครอบงำหมึกที่เคยอร่อยก็ไม่อร่อยอีกต่อไปความรู้สึกที่เคยเต็มไปด้วยความหวังและความสุขทุกครั้งที่ได้เจอจินดาจอยแสวงกลับกลายเป็นความว่างเปล่าในหัวใจเมื่อกลับมาถึงคอนโด เขาทิ้งตัวลงนอนกับเตียง ความรู้สึกสิ้นหวังและหดหู่เข้ามาแทนที่เขามองเพดานอย่างเลื่อนลอย คิดว่า ชีวิตหนอชีวิต ทำไมต้องเป็นแบบนี้
ความรู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งใบพังทลายลงมาตรงหน้าความหวังที่เคยมี ความฝันที่เคยสร้างไว้กับจินดาจอยแสวงกลับกลายเป็นเพียงภาพลวงตาเขารู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่ในความมืดมิดที่ไร้ทางออกความเจ็บปวดในใจทำให้เขาหายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนจมอยู่ในน้ำที่ลึกและมืด ไม่มีแสงสว่างที่จะนำทางให้เขาขึ้นมาหายใจ
ทุกสิ่งที่เขาพยายามทำมาตลอด ดูเหมือนจะไร้ความหมายความสำเร็จในการทำงานที่เคยภาคภูมิใจกลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญอีกต่อไปทุกความพยายาม ทุกความหวังที่เขามี มันหายไปพร้อมกับข่าวการแต่งงานของจินดาจอยแสวง
โจศักดิ์รู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่ในความเงียบงันของคอนโดความเงียบที่หนาหนักและทำให้เขารู้สึกอ้างว้าง เขาพยายามหันไปมองสิ่งต่างๆ รอบตัวแต่ทุกอย่างกลับดูหม่นหมองและไร้ชีวิตชีวา ความรู้สึกสิ้นหวังทำให้เขานอนไม่หลับทั้งที่ร่างกายเหนื่อยล้าแต่ใจกลับไม่ยอมพักผ่อน
เขานอนคิดถึงความทรงจำดีๆ ที่มีกับจินดาจอยแสวง น้ำเสียงหวานๆของเธอ รอยยิ้มที่อบอุ่น และความสุขที่เขาได้รับทุกครั้งที่ได้เจอเธอทุกอย่างกลายเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงอีกต่อไปความรู้สึกนี้ทำให้เขาเหมือนอยู่ในวังวนของความเศร้าและสิ้นหวังที่ไม่มีที่สิ้นสุด
น้ำตาเริ่มไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวความรู้สึกท่วมท้นและเจ็บปวดเกินกว่าจะกลั้นไว้ได้โจศักดิ์รู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในโลกที่มืดมิดไม่มีใครที่จะเข้าใจหรือปลอบโยนเขาได้ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะพังทลายลงต่อหน้าเขา ชีวิตหนอชีวิตทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นและเสียงจากปลายสายพูดว่า
"พี่โจ ผมเศร้าวะ ช่วยผมที"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in