”มึง กูอยากเข้าป่า” กว่าประโยคนี้จะเป็นจริงก็เป็นเวลากว่า 1 ปี กับอีก 2 เดือน เพราะเหตุผลที่ว่าเวลาไม่ตรงกับเพื่อนสักทีทำให้ทริปเข้าป่านี้ต้องเลื่อนไปเรื่อย และแน่นอนว่าตลอด 14 เดือน ก่อนทริปนี้จะเกิดขึ้นมี ”ว่าที่ผู้ร่วมเดินทาง” แวะเวียนเข้ามาและออกไปอย่างมากหน้าหลายตา สุดท้ายแล้วมี ”ผู้ร่วมเดินทาง” 4 คน รวมกับเราอีกเป็น 5 คน และเพื่อกันไม่ให้มีใครเททริปนี้เด็ดขาดจึงทำการจองตั๋วรถไฟชั้น 3 ตั้งแต่ 5 นาทีแรกหลังรู้จำนวนคนที่จะไปในตอนนั้นพร้อมบอกเพื่อนว่า ”ใครเปลี่ยนใจจะไม่ไปก็ได้นะแต่ไม่ได้เงินคืนและได้คำด่าจากกูแทน”
สมัยยังเรียนอยู่ปวช.ด้วยความที่เจอเพื่อนทุกวันจันทร์ถึงศุกร์บางทีก็มีเสาร์อาทิตย์ด้วยเป็นเวลาตลอด 3 ปี พอลองมาถามตัวเองดูว่าถ้าเรียนป.ตรีแล้วเจอกันน้อยลงจะเป็นอย่างไร ตอนนั้นคำตอบที่ได้มีแต่ไม่หรอกก็นัดกันบ่อยๆทุกอาทิตย์ ทุกเดือนจะยากอะไรวะ ตัดภาพมาที่ปัจจุบันอย่าว่าแต่นัดเที่ยวเลยแค่นัดกินข้าวกันก็ยากมาก เหตุผลหลักก็หนีไม่พ้น ”เวลา” ที่ไม่ตรงกันเลย ต้องดูตารางเพื่อนทั้งกลุ่มกว่าจะได้นัดกัน แต่มันก็ดีอย่างตรงที่พอเจอกันมีเรื่องให้ได้เล่าให้ได้ถามไถ่กันเยอะมาก เรื่องที่ถ้าฟังตอนเจอกันทุกวันก็คงตอบ (หรือได้คำตอบ) ว่าอ๋อ ดีแล้วมึง, จริงป่ะ ดีใจด้วยนะ ทำนองนั้น แต่เพราะเวลา (ที่ทำให้ไม่ค่อยได้เจอกัน) ที่ทำให้รู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้มันสำคัญและมีอะไร แต่ก็เพราะเวลาอีกนั้นแหละที่ทำให้ไม่สามารถเล่าหรือฟังเรื่องทั้งหมดของกันและกันได้ (ร้านอาหารปิด)
เวลา 22.50 น. ซึ่งช้ากว่ากำหนด 10 นาทีที่รถไฟได้เทียบชานชะลา ผู้โดยสารบางคนเจอสถานีปลายทางของตัวเอง นายสถานีเจองานที่ต้องทำเป็นประจำ และเราได้เจอเพื่อนอีก 4 คน ที่ไม่ได้เจอกันมา 3 เดือน
บทสนทนาไหลมาเรื่อยๆขนานไปตามระยะทางที่เพิ่มขึ้นตามล้อรถไฟที่หมุนไป บทสนทนาจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต วนเวียนไปมา เพราะฝีมือของเวลาทำให้ความคิดต่อบางเรื่องในอดีตได้เปลี่ยนไปเมื่อถึงปัจจุบันและน่าสนใจว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร ระหว่างนั่งกินผัดไทยที่ซื้อจากป้าที่ขายตามสถานีอยู่นั้นเพื่อนคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า ”ทำไมตอนนี้กูไม่นอนสบายๆตากแอร์อยู่ที่บ้านวะ” ก็นั้นน่ะสิจะมาเดินป่าให้เหนื่อยทำไมในวันหยุด นี่คงเป็นความคิดของเราก่อนที่ผมจะได้อ่านหนังสือ ”เดินข้างเขา หนาวข้างเธอ” ของนายแพทย์คนหนึ่งในต่างจังหวัดที่เขาเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกิจวัตรประจำวันของชีวิตเขาเอง เขาได้เล่าว่าทุกเช้าที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาเขารู้แล้วว่าเย็นวันนั้นจะจบลงยังไง เขาจึงตัดสินใจไปเทรคกิ้ง (Trekking) ที่ “Annapurna Circuit” ประเทศเนปาล ซึ่งจุดประสงค์ของเขาคือต้องการออกไปเดินเล่นสักพักเพื่อกลับมาใช้ชีวิตเดิมๆในมุมมองใหม่ๆและแน่นอนเหตุผลของเราไม่เหมือนเขา เราไม่ได้รู้สึกเบื่อกับชีวิตตัวเองตอนนี้ แต่หลังจากที่เราได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบเราเห็นว่านายแพทย์คนนี้ได้อะไรจากการเดินรอบภูเขาอันนะปุรณะมาบ้าง เขามองหลายอย่างในชีวิตเขาเปลี่ยนไปอย่างไร และเขาเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง สิ่งนี้แหละที่ทำให้เราตัดสินใจว่าต้องลองเริ่มเดินป่า เราอยากรู้ว่าจะได้อะไรกลับมาบ้าง เราจะมองโลกเปลี่ยนไปไหมหรือเราจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า หลังจากกินผัดไทยเสร็จเราก็ไม่รู้หรอกว่าที่ดอยขุนตาลจะมีคำตอบที่เราตามหาหรือเปล่าแต่ที่แน่ๆพี่แหลม 25 Hours บอกเราไว้ว่า
ถ้าเธอไม่ลองก็ไม่รู้
ไม่ลองเปิดดูก็ไม่เจอ
ชีวิตที่แท้เป็นของเธอ ใช่ไหม
ยิ่งลองเท่าไร ก็ยิ่งรู้ ฮู อู้ว อู่ อู้
And you will find what's in you
เวลาประมาณ 12.00 น. รถไฟจอดอยู่ข้างๆป้ายสถานีขุนตาล ข้าวผัดหมูคือเชื้อเพลิงของเราเพื่อเดินขึ้นไปยังจุดย.3 (จุดยุทศาสตร์ที่ 3) แน่นอนหลังกินข้าวเสร็จก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปที่สถานีขุนตาลถ่ายไปเรื่อยๆรู้ตัวอีกทีฟิล์มเราหมดไปครึ่งม้วนเราถึงบอกเพื่อนว่า ”มึง เริ่มเดินกันเถอะ กูเอาฟิล์มมาแค่ 2 ม้วน” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ตลอดระยะทางประมาณ 7 จาก10 กิโลเมตร ที่เดินจากสถานีขุนตาลไปจุดย.1 ก็ถ่ายรูปกันทุกที่ที่มีมุมให้ถ่ายตลอดทาง จนเวลาล่วงเลยมาถึงประมาณ 15.00 น. เราก็ยังไม่ถึงสักทีตอนนั้นถึงรู้ว่าถ้าอยากทำอาหารตอนที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินควรจะเก็บกล้องและเดินให้เร็วกว่านี้ได้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทางมันวิบากขึ้นหรือเพราะเราไม่ได้เดินชิวๆเดินไปถ่ายรูปไปเหมือนตอนแรกจึงรู้สึกเหนื่อยขึ้นแต่เดินอีกแค่อึดใจเดียวในที่สุดก็ถึงจุดย.1 ในเวลาที่ตั้งไว้ ด้วยความที่ไม่ได้ศึกษาเส้นทางอย่างละเอียดหรืออ่านรีวิวของคนที่เคยมาเดินตอนนั้นเราเลยคิดว่าทางที่เหลือคงไม่น่าเดินลำบากน่าจะเดินเหมือนๆทางที่เดินขึ้นมาแหละนี่คือความคิดก่อนที่อีกไม่นานเราจะเปลี่ยนความคิดไปคนละเรื่องและถึงกับต้องเปลี่ยนแผนการเดินเลย
เวลา 16.00 น.โดยประมาณ คือเวลาที่จะเริ่มเดินจากจุดย.1 ไปยังจุดย.3 หรือที่ตั้งของที่พักเรานั่นเองโดยระยะทางทั้งหมดประมาณ 4 กม. โดยปกติคนทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 50 นาทีสำหรับการเดินระยะทาง 4 กม. แต่สำหรับเราสถิตินี้ไม่มีผลเลยกับระยะทาง 4 กม.ที่มีความลาดชันพอสมควร พอเดินไปถึงจุดย.2 ก็ยังเจอคนจำนวนหนึ่งเพราะจุดนี้เป็นอีกจุดที่คนนิยมมากางเต็นท์กันแต่หลังจากเดินเลยจุดนี้ไปก็ไม่เจอใครอีกเลยยกเว้นผู้หญิง 2 คนที่เดินสวนลงมาซึ่งเราเจอทั้งสองคนตั้งแต่ที่สถานีรถไฟและทั้งสองน่าจะเดินกลับลงมาจากจุดย.4 หรือจุดสูงสุดสำหรับชมวิวของดอยขุนตาล พอเห็นอย่างนี้ก็รู้สึกว้าวในใจเบาๆ หลังจากเดินเลยจุดย.2 มาสักพักหนึ่งจำนวนครั้งที่หยุดพักก็แปรผันตามระยะทางและความชันที่เพิ่มขึ้น ยอมรับได้อย่างเต็มอกว่า ณ จุดนั้นทุกคนเหนื่อยมาก เราเลยถามเชิงหยอกกับเพื่อนอีกคนว่า ”พอจะมีประโยคปลุกใจลูกทีมสักหน่อยไหมครับ” “ไม่ว่าจะเดินนานแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องเดิน” นี่คือประโยคที่ได้กลับมา กับเพื่อนคนอื่นเราไม่รู้ว่าคิดยังไงกับประโยคนี้แต่สำหรับเราสุดท้ายก็ต้องเดินจริงๆนั้นแหละ
ครั้งล่าสุดที่มองเวลาทำให้รู้ว่าต้องเก็บกล้องและตั้งใจเดินยิ่งขึ้นและครั้งนี้หลังจากมองเวลาทำให้รู้ว่าต้องโทรหาพนักงานที่พักเพื่อให้ขับมอเตอร์ไซค์มารับเพื่อนที่เหนื่อยที่สุดไปก่อนเพื่อให้ไปเตรียมทำอาหารรอไม่อย่างนั้นค่ำวันนี้ได้ทำแค่นั่งต้มมาม่าใต้แสงไฟฉายแน่นอน ก่อนเพื่อนจะไปเราและคนอื่นๆก็ไม่ลืมที่จะบอกว่า ”อีกครึ่งชม.เจอกัน อย่ากินแหนมเนืองหมดก่อนนะมึง (ใช่แล้วเพื่อนคนหนึ่งแบกแหนมเนืองขนาด 1 กล่องใหญ่มาจากกทม.) ” หลังจากเดินไปอีกพักหนึ่งเพื่อนอีกคนก็ได้เจอกับเพื่อนร่วมทางที่ไม่อยากเจอสักนิด “ตะคริว” ถึงเวลาที่ต้องนั่งพักจริงๆ และส่งกำลังใจไปยังเพื่อนอีก 2 คนที่กำลังเตรียมอาหารอยู่จริงๆแล้วแหละเพราะเราและเพื่อนอีกคนก็รู้สึกล้าพอสมควร ระหว่างนั่งพักเพื่อนคนหนึ่งก็ได้พูดขึ้นมาว่า ”หลังจบทริปนี้กูจะเลิกบุหรี่ละ” หลังประโยคนี้เรารู้สึกว่าจริงๆที่เหนื่อยเดินมามันก็คุ้มอยู่นะ และมันทำให้เราคิดว่าคงเหมือนที่ว่าถ้าเราทำอะไรสักอย่างให้เต็มที่สุดๆไปเลย แล้วมาดูผลลัพธ์เราก็จะรู้ว่าสิ่งที่เราพลาดไปคืออะไร และไม่ว่าผลลัพธ์จะดีหรือแย่แค่ไหนมันก็ทำให้เรารู้ว่าก้าวต่อไปเราควรจะก้าวต่อไปอย่างไร
เวลาประมาณ 17.30 น. เราพูดพร้อมความรู้สึกงงๆว่า ”อ้าว ถึงแล้วหรอ” ใช่แล้วเราถึงที่พักที่จุด ย.3 แล้วและมีเวลาอีกเกือบชั่วโมงในการทำอาหารก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน และแน่นอนสิ่งแรกที่เราทำเมื่อถึงที่พักคือเอากล้องไปชาร์จแบต จากนั้นจึงไปทำอาหารต่อ มื้อเย็นในวันนั้นค่อนข้างคุ้มค่าแก่การรีบเดินเพื่อมาทำอาหารพอสมควรเพราะมีสปาเกตตีซอสมะเขือเทศ แหนมเนือง ข้าวเหนียว ไส้อั่ว และหมูย่าง ตลกเหมือนกันที่อาหารเหล่านี้สามารถทำให้ลืมความเหนื่อยและความล้าที่เจอมาตลอดทั้งวันเลย และแค่การได้พูดถึง 14 กม. ที่ผ่านมากับเพื่อนอีก 4 คนก็เป็นการทำให้มื้อนี้ไม่ได้ทำแค่ให้หายเหนื่อยแต่ยังรู้สึกได้เพิ่มพลังทั้งจากอาหารตรงหน้าและเพื่อนที่อยู่ข้างๆตลอดทางที่เดินมาด้วยกัน พนักงานที่พักบอกว่าไฟฟ้าจะใช้ได้ถึงแค่ 21.00 น. ดังนั้นเราและคนอื่นจึงตัดสินใจรีบอาบน้ำกันก่อนที่จะไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ การอาบน้ำในคืนนั้นทำให้รู้ว่าเราไม่มีทางจะอาบน้ำตอนเช้าเด็ดขาดเพราะการอาบไปและร้องตะโกนว่า ”หนาวโว้ยยยย” ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสักนิด (ถึงจะมารู้ก่อนกลับว่ามีเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ในห้องน้ำอีกห้องก็ตาม) แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์แบบสดชื่นๆก่อนนอน คืนนี้ที่ที่พักนอกจากคณะเราแล้วยังมีอีกคณะหนึ่งที่เป็นพี่ผู้ชายมากัน 4 คน ซึ่งด้วยความบังเอิญทั้ง 4 คน นี้เป็นรุ่นพี่(ที่ไม่รู้จัก)จากมหาวิทยาลัยเดียวกับเราและเพื่อน ในมื้อเย็นพวกเราได้นำหมูย่างไปแบ่งพี่ๆเขา พี่ๆเขาเลยให้เบียร์กลับมา แทนคำขอบคุณ เครื่องดื่มทั้ง 4 กระป๋อง ที่มาพร้อมกับภาพพื้นหลังที่ประดับไปด้วยแสงจากดาวทั่วท้องฟ้าแบบไม่มีตึกหรือดาวเทียมจากไหนผสมอยู่ ส่วนผสมเหล่านี้ทำให้เรารู้เลยว่าจะไม่มีสิ่งไหนมาทำให้ช่วงเวลานี้ดีไปกว่านี้แล้ว ช่วงเวลาที่ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติ สงบและสบายใจ สิ่งที่ไม่รู้มาก่อนว่าคืออะไรแต่ลึกๆในใจเรานั้นต้องการมาโดยตลอด…
06.00 น. คือเวลาโดยประมาณที่พระอาทิตย์ขึ้น และจุดย.4 คือที่ที่คนแนะนำให้ขึ้นไปดูแสงอรุณเบิกฟ้า (ท้องนภาสดใส) ทุกคนน่าจะคิดว่าเราไม่ตื่น แต่เราตื่น! แค่ไม่ได้ขึ้นไปเท่านั้นเพราะอยากนั่งชิวๆ จิบโอวัลตินรอดูพระอาทิตย์ขึ้นและอ่านหนังสือที่ตั้งใจแบกขึ้นมาเพื่ออ่าน ณ ช่วงเวลานี้ พร้อมกับเปิดฟังเพลงโปรดของเราที่เหมาะแก่การเริ่มต้นวันใหม่ (เราเปิดวนไปประมาณ 10 รอบกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น) เราจำไม่ได้ว่าตื่นกี่โมง พระอาทิตย์ขึ้นกี่โมง และลอยขึ้นไปจนเหลือให้เห็นแต่แดดกี่โมง เรานั่งอยู่ตรงนั้นฟังเพลงเดิมวนไปพร้อมกับความรู้สึกเริ่มต้นวันใหม่ “เหมือนเวลาถูกหยุดไว้” นี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดของตอนนั้น ก่อนที่เพื่อนจะตะโกนมาว่า “มึงจะแดกไข่ต้มกี่ฟองงง กูจะได้ต้มไว้” จากนั้นเวลาของเราจึงเริ่มเดินต่อ
08.30 น. เราและเพื่อนเริ่มออกเดินจากจุดย.3 ไปยังจุดย.4 เดินมาได้ครึ่งทางเพื่อนคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่ไหวแล้วว่ะ กูปวดขี้” ทางเลือกของเพื่อนตอนนั้นมี 2 ทาง คือรีบเดินไปย.4 แล้วรีบเดินลงมาเข้าห้องน้ำ หรือกลับไปเข้าห้องน้ำแต่โอกาสที่จะไม่ได้ไปย.4 สูงมากเพราะต้องรีบเดินลงไปให้ทันรอบรถไฟ “มึงต้องเลือกแล้วว่ะ” เราบอกเพื่อน “กูเลือกแล้วมึง” หลังจบประโยคนี้เพื่อนเราก็เริ่มวิ่งทันทีไม่ว่าจะด้วยความอยากเห็นวิวจากจุดย.4 หรือตั้งใจแล้วว่าจะต้องพิชิตความสูง 1373 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลที่จุดย.4 ก็ตาม มันทำให้เรานึกถึงบทความหนึ่งที่เคยอ่านเจอที่เขียนเกี่ยวกับการลุกขึ้นมาวิ่ง เขาบอกว่ามันไม่ได้สำคัญหรอกว่าคุณจะวิ่งไปได้กี่กิโล สิ่งสำคัญคือคุณได้เริ่มต้นสิ่งที่คุณตั้งใจไว้ ไม่มีอะไรมากันตีว่าคุณจะทำตามเป้าหมายให้สำเร็จได้ 100 % แต่ที่แน่ๆอย่างหนึ่งคือคุณไม่ได้อยู่ที่ 0 % แล้ว เราว่าเรื่องของเพื่อนเรามันก็มีส่วนคล้ายนะไม่ว่าเพื่อนเราจะแวะกลางทาง วกกลับมาก่อน หรือไปถึงจุดย.4 แต่เพื่อนเราก็ได้เริ่มทำตามสิ่งที่ตั้งใจไว้แล้ว
13.20 น. คือเวลาที่เราและเพื่อนเลือกจะเดินกลับอีกทางที่ยังไม่เคยเดินซึ่งเส้นทางนี้จะพาเราไปเจอกับ “น้ำตกตาดเหมย” แต่แลกกับทางที่วิบากกว่า และเวลาที่เพิ่มขึ้นตามระยะทางอีกด้วย ถ้าทางจากจุด ย.2 ไปย.3 คือยากแล้วทางนี้คือยากแบบคูณสองชนิดที่เราไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ด้วยเส้นทางที่มีทางลงที่ชันสลับกับทางขึ้นที่เจอแทบทุก 10 นาที และทางเดินที่ไม่มีทางให้เดิน ทำให้ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร ตามที่อุทยานบอกดูไม่น่าจะเป็นจริงขึ้นมาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกของการเดินเส้นทางนี้ ตอนนั้นเราและเพื่อนยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงทุกคนต่างก้มหน้าเดินโดยมีความหิวเป็นแรงขับเคลื่อน ตอนนั้นเรารู้เลยว่าสำหรับเราการที่จะทำอารมณ์ให้ดีขณะที่ท้องร้องและกำลังใช้แรงอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่เมื่อได้ยินเสียงน้ำที่ไหลกระทบกับหินรอยยิ้มก็โผล่ขึ้นบนหน้าของเรา เดินไปอีกไม่กี่อึดใจก็ได้เจอกับน้ำตกตาดเหมยซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เราและเพื่อนเลือกเดินเส้นทางนี้ เราขอยอมรับว่าเราคิดว่ามันจะอลังการหรือว้าวกว่านี้ในตอนแรก ถึงมันจะเล็กและไม่ได้ใหญ่แบบที่จินตนาการไว้แต่มันก็ทำให้มีรอยยิ้มกว้างๆเกิดขึ้นบนหน้าของเราและเพื่อนได้ ด้วยความที่บรรยากาศมันเหมือนอยู่ในยุคจูราสสิคมากๆขาดก็แค่ไดโนเสาร์มาให้เราวิ่งหนี เราและเพื่อนจึงอดไม่ได้ที่จะร้องเพลงประกอบหนัง “จูราสสิคพาร์ค” ตอนที่เจอน้ำตกประหนึ่งเจอกับ Brachiosaurus (อยากให้ทุกคนฮัมเพลงหรือเปิดเพลงตามขณะนึกภาพ) เป็นอีกครั้งที่สิ่งเล็กๆน้อยๆรอบตัวทำให้เรายิ้มได้อย่างน่าประหลาดใจ
14.30 น. คือเวลาที่เราเหลืออีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนรถไฟจะออก และตอนนั้นเรายังเดินไม่ถึงที่ทำการอุทยาน เหตุการณ์มันกลับมาคล้ายกับวันแรกเลยคือเราต้องเดิน ตั้งใจเดิน และตั้งใจเดินขึ้นอีก ระหว่างทางเราเจอต้นไม้ต้นใหญ่ล้มอยู่เป็นระยะๆตามสองข้างทาง บ้างก็มีสะพานไม้มาให้ข้าม บ้างก็เจอต้นไม้ที่มีรูปร่างแปลกๆ ถึงเราจะรีบเดินแค่ไหนแต่เราก็อดรู้สึกว้าวไม่ได้ ทั้งที่เป็นภาพที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก แต่อาจเป็นเพราะไม่เคยสังเกตมันมาก่อนเราเลยไม่เห็น ไม่เห็นว่าตลอดสองข้างทางที่เราเดินมามันมีอะไรบ้าง แต่เพราะเมื่อเห็นอย่างนี้จึงรู้ว่าจริงๆแค่หันไปมองข้างทางบ้างก็ช่วยให้เราพักจากความคิดและกังวลที่ว่าต้องรีบไปให้ทัน ต้องรีบไปให้ถึงจุดหมายอย่างเดียวได้เยอะเลย ในที่สุดเราก็ถึงที่ทำการอุทยานทันเวลาที่ตั้งไว้พร้อมกับสภาพที่เหนื่อยล้าและหิวมาก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าให้ย้อนกลับไปตอนที่เลือกว่าจะเดินทางที่ง่ายกว่า เร็วกว่า หรือมาเดินทางนี้ที่ตอนแรกไม่รู้ว่าจะไปทันรอบรถไฟหรือเปล่า ยังไงก็เราก็คงเลือกอย่างหลังเพราะมันช่วยทำให้เราเห็นทางรอบข้างเราได้ชัดยิ่งขึ้นจริงๆ
16.50 น. คือเวลาที่เราขึ้นรถไฟกลับพร้อมกับคำตอบที่เราตามหา ในขณะที่รถไฟวิ่งตรงไปตามรางเรื่อยๆเหมือนกับเวลาที่เดินไปข้างหน้าอย่างเดียว เราได้รู้ว่าทุกสิ่งล้วนมีเวลาเป็นปัจจัยและเราไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ แต่ที่เราทำได้คือเก็บเกี่ยวและใช้ช่วงเวลานั้นให้คุ้มที่สุด ที่สำคัญคือหลายสิ่งเล็กๆในช่วงเวลาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีความหมายที่มาพร้อมกับความสุขในแบบของมัน ขอเพียงแค่เราเปิดตามองมันก็พอ หลายๆครั้งจะเห็นว่า “เวลา” รับบทเป็นผู้ร้ายที่พรากความสุขไปจากชีวิตหรือทำให้เราต้องเร่งรีบจนใช้เวลาตอนนั้นได้ไม่คุ้ม แต่ก็มีหลายครั้งที่ “เวลา” ก็ช่วยทำให้เราได้เห็นถึงความสำคัญของช่วงขณะนั้นๆทำให้รู้ว่าต้องใช้มันให้คุ้มค่าและมีความสุขกับมันให้มากที่สุด และอีกหลายครั้งก็ทำให้เราเห็นว่าสิ่งเล็กๆรอบตัวที่เราไม่เคยสังเกตนั้นมีความหมายมากแค่ไหน สุดท้าย “เวลา” ทำให้เราเห็นว่าจริงๆแล้วความสุขมันอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่เรารู้และมันก็ทำเราให้ยิ้มกว้างได้มากกว่าที่เราคิดอีกด้วย :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in