เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อิน(เทิร์น)หรอ?cherry moon
อิน(เทิร์น)หรอ 4: เพราะเราคือมนุษย์ไงล่ะ







  • เนื่องด้วยมนุษย์เป็นสัตว์สังคม...

    สองสามอาทิตย์หลังจากฝึกงานวันแรกเราเลยเริ่มมีเพื่อนไปทำกิจกรรมสักที!

     

    อันที่จริงเราก็สามารถคุยและคุ้นเคยกับคนในออฟฟิศได้ตั้งแต่อาทิตย์แรกๆแล้วแหละแต่ว่าอาจจะเนื่องด้วยวัยด้วยมั้งก็เลยรู้สึกว่ายังมีช่องว่างอยู่แต่พอทำงานไปได้สักสองอาทิตย์ก็เริ่มพูดคุยกับอินเทิร์นคนอื่นแล้วก็พบว่าความสนุกอย่างหนึ่งของการฝึกงานต่างบ้านต่างเมืองคือการพบปะผู้คนใหม่ๆเนี่ยแหละ.

     

    บริษัทเรามีอินเทิร์น3คน ส่วนบริษัทเพื่อนบอสที่อยู่ติดกันเนี่ยมีเด็กฝึกงาน4คน อินเดีย ไทย ฝรั่งเศส ไม่มีใครเป็นเวียดนามเลย 5555555555 (คือมารู้ทีหลังว่าที่บ.มีนักศึกษาเวียดนามมาฝึกแต่เขามาเวลาที่ว่างซึ่งเราเคยเจอแค่สองสามครั้งตั้งแต่มา)

    ที่ตั้งบริษัทที่เราทำอยู่เนี่ยอย่างที่เคยบอกไปว่ามันมีสองบริษัทอยู่ติดกันเดินไปมาหาสู่ขิงข่ากันได้ตลอดเวลาโดยที่มีอินเทิร์นอินเดียคนนึงที่ฝึกอยู่บริษัทเราเขาก็มีเพื่อนอยู่อีกบริษัทนึงพอเราเริ่มรู้จักคนนึงมันก็จะรู้จักทุกคน 555555555555 ส่วนใหญ่เราได้คุยกับเพื่อนอินเดียมากกว่าไม่ค่อยได้คุยกับฝรั่งเศสเท่าไหร่อาจเพราะอยู่คนละบริษัทแล้วเหมือนเขาก็มีแก๊งค์ของเขาอะไรแบบนี้

    อินเทิร์นอินเดียมี 3 คน เป็นชายล้วนมาจากมหาลัยเดียวกัน, วิค  ริดดิท และซาฮีล. วิคคือคนที่ฝึกงานอยู่บริษัทเดียวกับเรา

     




    พวกเราได้เริ่มสนทนากับวิคครั้งแรกก็ตั้งแต่อาทิตย์แรกของการทำงานแต่เป็นการคุยแบบสั้นๆห้าวิจบประมาณนั้น55555555555 คือวันนั้นเป็นวันเกิดคนในออฟฟิศแล้วเขามีงานฉลองเล็กๆกัน เราเห็นวิคยืนอยู่วงนอกไม่ค่อยกินอะไร(ผิดกับเรา5555555)ด้วยความที่อยากผูกสัมพันธ์ด้วยก็เลยยื่นไก่ให้เขาชิ้นนึงแล้วถามว่ากินมั้ยซึ่งเขาก็ปฏิเสธ ตอนนั้นแบบเสียเซลฟ์นิดนึงว่าแบบเอ๊! หรือเขาไม่อยากเป็นเพื่อนกับกูวะ5555555555 แต่เราก็เห็นเขาหยิบผลไม้กินแบบไม่แตะเนื้อสัตว์เลยอะไรแบบนี้ด้วยความอยากเป็นเพื่อนและอาจจะบวกความสอดรู้สอดเห็นเลยให้เพื่อนถามว่าเป็นมังสวิรัติหรอซึ่งเขาก็บอกว่าใช่...แต่เฉพาะวันอังคารอ่ะ

    ก็นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆสิ่ง

     

    แต่เอาจริงทุกคนที่นี่ดูเป็นเพื่อนด้วยง่ายนะ อาศัยยิ้มให้บ่อยๆทุกครั้งที่เห็นหน้าพูดทักทายทุกวัน แค่นี้ทุกคนก็พร้อมที่จะเข้ามาคุยด้วย 555555555555

     

    อ่ะ หลังจากการพูดคุยสองสามประโยคครั้งนั้นพอเจอหน้าวิคไม่ว่าจะตอนไหนเราจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตรตลอดแล้วหลังจากนั้นก็ได้คุยกันมากขึ้นตอนที่อยู่ในออฟฟิศ อารมณ์แบบว่าแกทำงานไรอยู่หรอ, เรารีเสิร์ชนะ, แกมีไรให้ช่วยมั้ย แล้วด้วยความที่เขามาก่อนเขาก็แนะนำเราบ้างว่าอยู่ในบริษัททำไรได้บ้างแกลงไปเดินเล่นบ้างก็ได้ฉันเห็นแกนั่งอยู่แต่ในออฟฟิศอะไรทำนองนั้นแต่คือเราไม่ค่อยเห็นวิคไปกินข้าวกลางวันกับคนในออฟฟิศเลย(เพื่อนอินเดียอีกสองคนส่วนใหญ่จะไป)วันนึงเราออกไปกินข้าวพร้อมวิคพอดีเลยลองชวนเขาว่าไปกินข้าวด้วยกันมั้ยซึ่งวันนั้นเป็นวันอังคารพอดีเขาเลยบอกว่าเอาไว้พรุ่งนี้ละกัน 55555555555

    วันต่อมาก็ได้มีตี้กินข้าวกลางวันอันประกอบด้วยวิค ซาฮีลและเรากับเพื่อนเรา เขาถามเราว่าอยากกินอะไรก๋วยเตี๋ยว(ไม่ใช่เฝอแต่เป็นอาหารเส้นประเภทนึงที่เรียกว่าบุ๊น+ชื่อเนื้อEx. ก๋วยเตี๊ยวปลาก็คือ บุ๊นก๋า)หรือว่าข้าวซึ่งตอนนั้นเราเบื่อก๋วยเตี๊ยวมากกกทุกอย่างที่นี่ดูเหมือนจะเป็นเส้นไปหมดเราก็เลยตอบไปว่าข้าวด้วยท่าทางที่ดีใจมากว่าในที่สุดฉันจะได้กินข้าวแล้ว!

    แต่เอาจริงบรรยากาศกลางวันนั้นเกร็งมาก 5555555555 แบบว่าเออออจะชวนคุยไรดีวะอะไรแบบนี้ ซาฮีลก็เป็นคนนึงที่เงียบๆและเหมือนต้องมีคนเปิดประเด็นก่อนถึงจะพูดในตอนนั้นก็ต้องขอบคุณวิค นางเป็นคนพูดเก่งและตลกดีทุกอย่างเลยผ่านไปได้พอสมควร หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จวิคก็ชวนเรากับเพื่อนว่าศุกร์นี้เพื่อนพวกเขาที่ฝึกงงานอยู่ที่โฮจิมินห์เขาฝึกเสร็จแล้วและจะมาที่นี่นะเราจะไปหาไรกินแถวOld Quarter กัน ถ้าแกอยากจอยก็มาได้นะอะไรแบบนี้ด้วยความที่ตอนนั้นเราต้องการการเปิดโลกเปิดสังคมมากเราเลยตอบตกลงแทบทุกอย่างที่มีคนชวนอ่ะ5555555555 เออ แล้วเราก็ได้รู้สาเหตุของการที่ไม่ค่อยเห็นวิคไปกินข้าวก็คือนางบอกว่านางกินข้าวเช้าเลยไม่หิวตอนกลางวันและตอนกลางวันคือนางไปเดินเล่น— อืม

     




    Friday Night คืนนั้นสนุกมากกก เราเคยแต่ไป Old Quarter ตอนกลางวันซึ่งมันก็ไม่มีอะไรมากนอกจากคาเฟ่ต์และตึกเก่าที่สวยๆแต่พอตอนกลางคืนคือกลายร่างเป็นเบียร์สตรีทจ้าาาาคือแบบประทับใจในทรานฟอร์เมชั่นนี้ คืนนั้นก็ไปนั่งกินชาบูเวียดนามสไตล์กันและเบียร์เล็กๆน้อยๆและได้พูดคุยกับริดดิทจริงๆจังๆครั้งแรก คือเราพบว่าพวกเขาเป็นคนคุยเก่งมากกกกกก เอาจริงซาฮีลแม่งก็พูดเยอะแต่อาจจะด้วยความที่สภาพแวดล้อมคืนนั้นมีเพื่อนๆของเขาด้วยแหละเลยแบบเฮฮาสนุกสนามมากแต่ด้วยความที่ฝนตกเราเลยไม่ได้ทำไรกันมากนอกจากกินชาบูนั่นแหละ

     




    หลังจากนั้นก็เหมือนสนิทกันมากขึ้น คุ้นเคยกันมากขึ้นวิคพอนางรู้ว่าเรากับเพื่อนไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวแบบคืนวันศุกร์เลยไรงี้นางก็แบบ ฮะ! ทำได้ไง(ภาพลักษณ์ตอนนั้นในสายตาวิคคือเราน่าจะเนิร์ดมากแบบทำงานเสร็จกลับบ้านนอน55555 แต่คือเพิ่งมาได้แค่อาทิตย์สองอาทิตย์ไงโว้ยยย)คือเขาอ่ะต้องออกมาข้างนอกเดินเล่นกันตลอดนะอะไรงี้เขาก็เลยแบบว่าเออถ้าฉันจะไปไหนอ่ะจะชวนแกละกันนะซึ่งเราก็ตอบตกลงอีกแหละ

     

    เราไปกินข้าวและเที่ยวกันอยู่ประมาณสองครั้งก็คือไปกินเบอร์เกอร์กับไปเดินซื้อของที่ห้างลอตเต้และวิคก็ทำให้เรารู้สึกไม่คิดถึงบ้านเพราะเขาเหมือนแม่มาก 5555555 แบบว่าดูแลเอาใจใส่มากแบบว่าเราพูดว่าเราโฮมซิกอ่ะคิดถึงบ้านอยากกลับบ้านไรงี้ คิดถึงอาหารเผ็ดๆ เขาก็แบบพาเราไปซื้อของที่มันแบบจะใช้ทำอาหารไทยได้อ่ะเขาบอกว่าเออเขาก็เคยเป็นแต่พอได้กินอาหารที่มันรสชาติคล้ายอินเดียมันก็พอประทังความคิดถึงไปได้ฮื่อออออออออ แล้วก็แบบอีกสารพัดสาระเพที่นางเทคแคร์เราและเพื่อนดีมาก แบบประทับใจมากเอาจริง

     

     





     

    นอกจากวิคและชาวอินเดียแล้วเราก็พอจะมีความคุ้นเคยกับพี่ๆในออฟฟิศอยู่บ้างอย่างที่บอกไปคุ้นเคยประมาณที่ว่าชวนกันไปกินเบียร์ได้ประมาณนั้น 5555555555อันที่จริงเราไม่ได้ตั้งใจที่จะเชื้อเชิญ แต่เรากับเพื่อนมีความอยากรู้อยากลองร้านเหล้าในเวียดนามอยู่แล้วแต่ด้วยความที่ยังคงมีความกลัวว่าจะสั่งยังไงดีวะกลัวไปเด๋อๆด๋าๆในร้านเหล้าอะไรแบบนี้ วันนึงระหว่างเดินกลับจากกินข้าวกลางวันเราเลยอ้อมๆกับHa(ต่อไปนี้ขอเรียกว่าฮะจัง เพราะบอสเรียกงั้น)ว่าแบบเอออออคนเวียดนามนี่เขาไปบาร์กันบ่อยมั้ยคะ? ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่คิดหรอกว่าเขาจะชวนไปจริงๆ5555555 แต่คือเขาก็บอกว่ามันก็แล้วแต่คนแต่เขาอ่ะไปเฉพาะเวลามีเพื่อนไปแหละ แล้วเราอยากไปกันรึเปล่าถ้าอยากไปเสาร์นี้ว่างรึเปล่าล่ะ—ซึ่งเราก็ตอบว่าว่างค่ะ!

     

    วันนั้นที่ไปก็มีอันกับฮะจังและเรากับเพื่อน ร้านที่ไปในวันนั้นก็เป็นร้านแถวโอลด์ควอเตอร์นั่นแหละเป็นร้านที่ดูโลคอลๆนิดนึงแต่กลับแกล้มอร่อยดีและเบียร์ถูกมากกกกก ผิดกับร้านที่ไปกินฮอทพอทกับวิคมาก.ซึ่งคืนนั้นก็ไม่ค่อยได้ทำไรหลังจากกินเสร็จก็แยกย้ายเรากับเพื่อนก็เดินเล่นดูไนท์มาเก็ตกันต่อซึ่งของก็ไม่ค่อยต่างกับไทยเท่าไหร่. อ่อแต่ก่อนแยกกันเหมือนเขาอาจจะรู้สึกว่าคนน้อยมันกร่อย 555555555เขาเลยชวนว่าอาทิตย์หน้าเราไปบาร์กันมั้ยแบบบาร์จริงๆ อยู่แบบข้ามคืนเลย— ซึ่งเราก็ตอบโอเค! คูล!

     






    ทั้งอาทิตย์นั้นใจเราจดจ่ออยู่แค่ที่คืนวันเสาร์แหละ 555555555555 จนในที่สุดมันก็มาถึงคนในออฟฟิศไปกันเยอะพอสมควร เอาเป็นว่านับสิบคน ซึ่งก่อนไปผับเนี่ยเขาก็พาเราไปกินข้าวเย็นก่อนเป็นดินเนอร์ที่เป็นร้านปลาคือทุกเมนูจะมีปลาเป็นส่วนประกอบ(เรารู้สึกว่าที่นี่ชอบกินปลากับไก่มาก)มีฮอทพอทปลาที่หน้าตาคล้ายแกงเขียวหวานแต่ไม่มีความเผ็ดใดๆแต่รสชาติก็อร่อยดี และในระหว่างที่กินข้าวเย็นกันอยู่เขาก็เหมือนจะเอาเหล้าออกมากินกันอารมณ์เหล้าขาวเขาบอกว่าเวียดนามมีสวิสกี้ๆซึ่งเขาก็ให้เราและเด็กๆอินเทิร์นที่อยู่ ณ ตอนนั้นลอง(เรา เพื่อนเรา วิคริดดิท(ซาฮีลฝึกงานเสร็จแล้ว)) รสชาติคือเรารู้สึกว่าอ่อนกว่าเหล้าขาวกินแล้วไม่แสบคอเท่าแต่กลิ่นแรงกว่ามากกกกแบบว่าถ้าดมแต่กลิ่นคือนึกแล้วว่าชอทเดียวแม่งเมาชัวร์

     

     

    หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จเขาก็ไปต่อกันที่คาราโอเกะซึ่งตอนแรกเราว่าจะไม่ไปเพราะดูทรงแล้วต้องไปนั่งฟังเพลงเวียดนามแน่ๆก็เลยอยากให้เขาได้เอ็นจอยกันเต็มที่แต่ด้วยความที่วิคไปเพราะริดดิทไปเราเลยแบบเออไปก็ได้วะเพราะไม่งั้นระหว่างรอไปบาร์เราก็ไม่ร็จะไปไหนเหมือนกัน

    คาราโอเกะที่เวียดนามคือยิ่งใหญ่มาก เป็นห้องๆ มีไฟวิบวับ มีขนม สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮล์ได้เอาจริงเราว่าแม่งเหมือนร้านคาราโอเกะไทยสมัยนู้นนนนนนอ่ะแต่คนเวียดนามคือเขาดูจริงจังกับการร้องคาราโอเกะมากกกก คือถ้าอยู่ที่ไทยเวลาไปร้องเกะกับเพื่อนคือร้องเอาฮาร้องเอามันร้องเอาตลกแต่ที่นี่คือเหมือนคาราโอเกะคือที่โชว์พลังเสียงและเราว่าทุกคนเสียงเพราะมากเพราะกว่าต้นฉบับอ่ะเอาจริง. ซึ่งที่ร้านคาราโอเกะนี้พวกชาวต่างชาติก็จะนั่งเบื่อๆโลกกันหน่อยเพราะฟังไม่ออก

     

    จนกระทั่งเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่งก็ถึงคราวที่จะไปผับจริงๆสักที พวกชาวต่างชาติ(อินเดียไทย ญี่ปุ่น(คนนี้ไม่ใช่อินเทิร์น))ก็จะตื่นตัวตื่นเต้นกันเป็นพิเศษ. อ่ะ จังหวะนี้ขอกล่าวถึงชาวญี่ปุ่นสักนิด นางชื่อเคียวเฮ เป็นสถาปนิกออฟฟิศข้างๆที่เหมือนจะมาทำงานก่อนที่เราจะไปฝึกงานได้แค่เดือนเดียวและนางเคยมาทำเวิร์คชอปที่ไทยกับมหาลัยที่นางจำชื่อไม่ได้55555555555555 แต่เคียวเฮแม่งเป็นคนที่คู-ลมาก  เอาจริงเราแอบคิดว่าญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่นอ่ะอยู่ไหนก็คือญี่ปุ่น เหมือนมีกลิ่นอายของความUniqlo หรือ Muji ตลอดเวลาแบบมันจะเรียบก็เรียบแต่มันก็เท่ห์ เก็ทมั้ย เออนั่นแหละซึ่งเคียวเฮก็เป็นชายหนุ่มที่เราและเพื่อนรู้สึกว่าเออเท่ห์ชิพหายคนอะไรเหมือนนักร้องอินดี้คูลๆ เอาเป็นว่าแอบหวีดอยู่เล็กๆ กรี๊ดดดดดดดดดดดดด

     

    ร้านแรกที่เราเข้าไปชื่อว่าร้าน HAIR OF THE DOG BAR เป็นร้านเล็กๆเหมือนเป็นร้านนั่งมากกว่าร้านเต้นซึ่งทุกคนแม่งเตรียมพร้อมมาเต้นมาก คนเวียดนามผู้เชี่ยวชาญในวงการร้านเหล้าเลยบอกว่าเออ เปลี่ยนร้านเหอะ

     

    ร้านที่สองที่มาคือ THE OPERA, เอาจริงมันเป็นการเปิดประสบการณ์เข้าผับแบบผับไม่ใช่ร้านเหล้าครั้งแรกของเราเลย แบบหูยยยย อีดีเอ็ม หูยยยยยย ไฟเลเซอร์ หูยยยยย ผู้หญิงเต้นบนแท่น หูยยยยๆๆๆๆ 555555555555 คือแบบเปิดโลกมากจริง แต่เพลงเขาดีมากนะมีการมิกซ์เคพ็อพบ้างบางจังหวะอารมณ์ของดีเจถ้าใครมาฮานอยก็แนะนำนะ ร้านอยู่ในโอลควอเตอร์นั่นแหละ แต่เหล้าแพงมากกแนะนำว่าเผาหัวมาจากที่อื่นก่อนดีกว่า(หรือมันก็ราคาปกติของคลับอยู่แล้วไม่รู้อ่ะ)

    เออแต่ที่นี่คือเขาไม่ตรวจบัตรตรวจพาสปอร์ตอะไรทั้งสิ้นเลยอ่ะแบบเดินมาขอดูเมนูราคาค่าเหล้าแล้วถ้าตกลงก็เดินเข้าร้านได้เลย

     

    เอาล่ะเมื่อดนตรีพร้อม กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้! ทุกคนก็เริ่มโชว์ท่าเต้นที่เคยใช้ในร้านเหล้าของประเทศตัวเองเคียวเฮคือฮาสุดเอาจริง 555555555555555555แต่การเต้นมันคือเรื่องสากลโนะไม่นานทุกคนแม่งก็เข้าจังหวะกันได้หมดและคืนนั้นพวกที่เละก็คือชาวต่างชาติทั้งหลายนั่นแหละชาวเวียดนามคือชิวมากช่วยด้วย แต่เหมือนเขาจะออกจากผับกันไวกว่าประเทศไทยอ่ะพอเริ่มสักตีหนึ่งก็เริ่มบางตาลงแล้ว ประเทศไทยคือเปิดไฟไล่ก็ยังไม่อยากลุกค่ะ!

     

    หลังจากกินเสร็จทุกคนก็แยกย้าย วิคคนที่ปกติสุดด้วยความที่อาจจะเห็นเราและเพื่อนเป็นผู้หญิงและต่างกรึ่มทั้งคู่นางเลยชวนเราให้นั่งแท็กซี่ไปด้วยกันมั้ยคือนั่งไปส่งเราก่อนแล้วเลยไปที่พักของพวกนางไรงี้(ทุกวงเหล้าจะมีคนแบบนี้รึป่ะวะ555555555555) แล้วคืนนั้นก็จบลงด้วยหนังตาที่หนักมากของเรา




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in