Fictober2018
Day 1 : Poisonous
เตชน์คิดว่าตัวเองกำลังจะตาย ...ไม่ใช่...แต่ก็ใกล้เคียง
สิ่งแรกที่เขารู้สึกคืออาการปวดหัวอย่างรุนแรง ลืมตาขึ้นมาได้ไม่กี่วินาทีก็มีอันต้องปิดเปลือกตาลงไปใหม่ ทั้งกระหม่อม ขมับ ทั่วกะโหลกของเขารู้สึกปวดร้าวแถมยังตื้อตันเหมือนถูกค้อนทุบ
ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะลืมตาขึ้นได้อีกครั้ง เมื่อนั้นเขาจึงได้พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลับตาลปัตร แทนที่สิ่งแรกที่ควรจะปรากฏแก่สายตาคือเพดานห้องนอน กลับกลายเป็นขาโต๊ะและฐานตู้วางของ ใกล้ๆ หางตาของเขาคือขวดสีเขียวล้มระเนระนาด
...เตชน์ดีใจที่ไม่เห็นรอยหกบนพื้น ในประเทศไทยที่อัตราภาษีเหล้าเบียร์พุ่งสูงปรี๊ด การกินทิ้งกินขว้างนับเป็นเรื่องน่าเสียดาย ...แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้
เขาครางอู้หลังจากสติค่อยๆ กลับคืน นอกจากปวดหัวแล้วยังปวดคอและปวดเอว พบว่าร่างกายท่อนบนของตนกองอยู่บนพื้น ขณะที่ท่อนล่างพาดเกยอยู่บนโซฟาผ้า ...ไม่มีอะไรอยู่ถูกที่ถูกทางสักอย่าง
ในห้องมืดจนเกือบสนิท มีเพียงแสงแดดลอดพ้นออกมาจากหลังผ้าม่านดูสลัว เขาตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้น ตัวเลขสีส้มสว่างเรืองบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลข้างโทรทัศน์บอกเขาให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงสี่สิบห้านาที
เขาสะอึกอึ๊ก เรอออกมายาวเหยียดจนกลิ่นเบียร์คลุ้งไปทั่ว ยืนทื่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาอีกหน ใช้มือปัดและโยนกระป๋องเปล่าออกไปให้พ้นทางนอน เสียงกระป๋องกระทบพื้นไม้ดังแกร๊ง กลิ้งหลุนๆ แล้วกระจายไปคนละทิศละทาง
เตชน์ยอมรับว่าเมื่อคืนเขาดื่มหนักเกินไปหน่อยถึงได้ปวดหัวมากขนาดนี้ เขารู้สึกเสียใจ...แต่ไม่สำนึก คำว่าสำนึกไม่เคยมีอยู่ในสารบบของเขา
คิดในใจว่านอนต่ออีกสักหน่อยก็น่าจะดี แต่ก่อนที่จะได้ทำอย่างนั้นเสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นมา เตชน์หลับตา มุ่นคิ้ว ทำเป็นไม่สนใจ กะว่าหากไม่ตอบรับอะไรผู้เคาะคงล้มเลิกความตั้งใจและเป็นจากไปเอง
ทว่าแทนที่จะเป็นเช่นนั้น หลังจากผ่านไปประมาณห้านาที เสียงเคาะประตูกลับกลายเป็นเสียงทุบประตูไปเสียฉิบ คนด้านนอกทุบประตูดังชนิดที่ว่าไม่เกรงใจเพื่อนร่วมคอนโดชั้นเดียวกันกับเขาเลย
“...อะไรวะ”
ร่างบนโซฟาครางเสียงแหบ ขมับเต้นตุ้บๆ ตามเสียงทุบ ได้ยินเสียงแว่วเรียกชื่อเขา
“โอย…” เตชน์กลั้นใจหอบสังขารไปที่หน้าประตู เขาเหยียบกระป๋องเปล่าลื่นจนหวิดล้มคะมำไปรอบหนึ่ง ดีว่าเอามือยันตู้รองเท้าเอาไว้ได้ทัน ถึงอย่างนั้นก็กวาดเอาของบนตู้ร่วงลงเกือบหมด เกิดเป็นเสียงดังโครมคราม
ดูท่าคนหน้าประตูคงได้ยินเหมือนกัน เพราะยิ่งทุบประตูดุเดือดชนิดที่ว่าถ้าพังได้คงพังเข้ามาแล้ว
“ได้ยินแล้ว…พอได้แล้ว… มาแล้วโว้ย!”
เจ้าของห้องกระชากประตูเปิดออก ท่ามกลางหัวตื้อเหมือนหมอกลง เขามองเห็นใบหน้าขาวๆ ของอีกฝ่ายฉายแววตื่นตระหนก
“อาเตชน์!” เด็กนั่นร้อง แล้วสีหน้าตื่นตระหนกจะเปลี่ยนเป็นโล่งใจชนิดที่ว่ายกภูเขาออกจากอก “...ทำไมอาไม่ตอบไลน์หรือรับโทรศัพท์ผม!”
เตชน์หรี่ตา พ่นลมออกจมูกดังพรืดเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ถอยหลังกลับเตรียมจะปิดประตู
“เดี๋ยวสิครับอา..!”
ณัฐปธานร้องอีกหน แทรกมือเข้ามายึดประตูแน่นอย่างไม่กลัว กลายเป็นเตชน์เองที่เป็นชะงัก กลัวตนจะเป็นฝ่ายกระชากประตูงับนิ้วพวกนั้นนั้นช้ำ เขาถอนหายใจดังอย่างไม่ปิดบัง
“ธาน…” เตชน์กลืนน้ำลายเมื่อพบว่าเสียงที่เปล่งออกไปค่อนข้างแหบแห้ง “แกก็เห็นแล้วว่าอาสบายดี ยังครบสามสิบสอง”
ความจริงก็ห่างไกลจากคำว่าสบายดีอยู่โข
เขากระแอม “ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็กลับไปรายงานพ่อแกได้แล้วว่าอายังไม่ตาย”
พูดจบก็ส่งสายตาดุๆ เป็นเชิงให้อีกฝ่ายปล่อยมือจากประตูได้แล้ว
ณัฐปธานทำเป็นไม่รู้ชี้กับสายตานั้น เขาสูดจมูกฟุดฟิด
“อาหกล้มหรือเปล่าครับ”
“เปล่า” ...แค่เกือบ
“แต่กลิ่นเหล้าหึ่งขนาดนี้คงไม่เรียกว่าสบายดีมั้งครับ”
...สู่รู้นัก… เตชน์คิด แต่ไม่ได้พูด
“อาไม่ได้กิน”
เด็กนั่นจ้องตาเขา แล้วก็ทำปากกลมอ่านได้ว่า ‘อ๋อ’
“ไม่ได้กินเหล้าแต่กินเบียร์ใช่มั้ยครับ” ณัฐปธานทำสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ เตชน์เห็นแล้วก็นึกฉิว นั่นใช่สีหน้าที่เด็กควรแสดงออกต่อผู้ใหญ่หรือไง
“อาไม่รู้หรือครับว่าแอลกอฮอล์เป็นพิษต่อตับ”
“กลับไปสอนน้องแกที่บ้านไป๊” เขาไล่
“ผมไม่ไปจนกว่าจะได้เห็นว่าอาเตชน์สบายดีจริงๆ”
จากที่ปวดหัวอยู่แล้ว เตชน์รู้สึกปวดหัวหนักกว่าเดิมกับความดึงดันของเด็กเบื้องหน้า แต่ไม่ปฏิเสธว่าคุ้นเคยดี เขาคลายมือออกจากประตูแล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตามเติมอย่างไม่สนใจอะไรอีก
“ถ้างั้นก็ตามใจแกแล้วกัน" เขาบอก นอนคว่ำหน้าซุกกับหมอนอิง "เข้ามาแล้วก็ปิดประตูให้ด้วย”
ณัฐปธานรีบเผ่นแผล็วเข้ามาข้างในเมื่อผู้เป็นอาเลิกสนใจ เด็กหนุ่มปิดประตูห้องให้ตามคำสั่งอย่างเบามือ เงียบกริบ แทบจะไร้เสียง มารยาทงามจนสมควรเอาคะแนนไปสิบเต็มสิบ ต่างจากตอนทุบประตูจนแทบพังก่อนหน้านี้อย่างลิบลับ.
.
.
.
..................................................
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in