ถ้าถามว่าเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มั้ย...ตอบได้ 100% ว่าเชื่อ..แต่ถามว่าจะได้ตามที่ขอ...อันนี้อาจบอกยาก...และตอนนี้คิดว่าไม่ได้...หลายๆ เรื่องที่ทุกข์ใจ...และทำไรไม่ได้...ในสังคม....เราจะเจอทั้งคนที่ดีกับเรา...แบบ...เฮ้ย....เรานี่นะ...ทำไมถึงดีกับเราแบบนี้...ทั้งที่เราไม่เคยทำไรให้เลย...แต่สรุปอาจคิดไปเองก็ได้...อีกส่วนคือเฉยๆ....ไม่ได้อะไรกับเราทั้งนั้น....และอีกคนคือเหมือนไม่ชอบหรือเกลียดเราทั้งที่เราไม่ได้ไปทำอะไรให้...ทั้งความคิด...คำพูดและความเข้าใจ...ที่เหมือนเรามีเรื่องทุกข์ใจมากๆ อยู่แล้วและเราไม่ได้ไรกับใครที่ไม่ได้ไรกับเราก่อน...ทำไรไม่ได้ก็แค่แช่ง....แบบผูกเวรผูกกรรม...ที่คิดได้ใหม่...คืออาจโรคจิตและบ้า....แต่ก่อนเวลาใครทำไม่ดีกับเราและเราไม่ได้ทำไรให้เขาก่อน...เราก็ไปแช่งลูกเขาแทนแบบให้ลูกเขาเจอแบบที่เขาทำกับเรา...ถ้ายังไม่มีลูกก็ในอนาคต....แต่ในตอนนี้คือถ้ายังไม่มีลูก...ถ้ามีเมื่อไหร่ขอให้แท้งลูกคนแรก...ถ้ามีแล้ว..ก็ให้ตกไปสู่รุ่นลูกแทน...แบบหลานคนแรกแท้ง...ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ดีและแย่มาก...และคือเวรกรรมแม้เราว่าที่เราแช่งคงไม่ได้เป็นจริง...แต่ก็เคยดูอย่าง "ช่องส่องผี" ที่มีนั่งคุยกับ 1 ในทีมงานรายการ...แล้วอาจารย์เรนนี่ดูให้แล้วบอกตอนนึงคือแม้เราไม่ได้มีส่วนร่วมหรือให้การสนับสนุนให้เกิดการทำแท้ง...แต่แค่รับรู้...คนที่ไปทำมาเล่าให้ฟัง.....วิญญาณเด็กที่โดนทำแท้งก็อาฆาตเราด้วย...แม้ที่เราคิดแช่งคนอื่น..คือไม่ได้ให้ทำแท้งแต่แท้งเองก็ตาม....แต่ในอีกมุมนึงคือเราก็ทำไม่ดีกับคนอื่นมาเยอะ...ในแง่ที่เหมือนเขาดีกับเรา...แต่เราเดินผ่านไป...คือไม่ได้ไม่สนใจก็เอาเก็บมาคิด มารู้สึกไม่ดีตอนหลังทั้งนั้นหรือเขายิ้มให้เราแต่เราไม่รู้ทำไง...เดินเอ๋อๆ มองๆ...แล้วไม่คิดทำไรให้ดีขึ้น ซึ่งถ้ามาคิดย้อนหลัง คนอื่นก็ย่อมไม่ชอบในการกระทำของเราเหมือนกัน ซึ่งเรารู้สึกไม่ดีจริงๆ แต่ก็ไม่ได้จะพูดถึงว่าเรารู้สึกไม่ดีแล้วจะไปยุ่งกับใครเพราะในความคิด...ความเข้าใจ...และความรู้สึกคนเอาแค่ตัวเราก็ได้...การรู้สึกดีกับใครไม่ได้หมายความว่าต่อไป....เราจะรู้สึกดีกับเขาแล้ว...อีกด้านก็คือการที่เรารู้สึกไม่ดีกับใครก็ไม่ได้หมายความว่าต่อไปเราจะรู้สึกไม่ดีไปเรื่อยๆ แต่อาจรู้สึกเฉยๆ หรือเปลี่ยนมารู้สึกดีตอนหลังก็ได้....แต่ในการที่เราบอกรู้สึกไม่ดีกับคนอื่นก็ไม่ได้หมายความเราจะแช่งทุกคน...บางคนก็พูดหรือเข้าใจเราในแบบไม่ดีแต่มันอาจมีอะไรก่อนหน้านี้ที่เรามองหรือเรารับรู้และก็คิดว่าเราอาจมีหลายๆ ครั้งหรือในอดีตที่เราทำไรไม่ดีลงไปแล้วเราไม่รู้....แต่บางคนที่ไม่ดีกับเรา...และในความทรงจำเราไม่ได้ทำอะไรเขาหรือแน่ใจว่าน่าจะเจอครั้งแรก..หรือไม่ใช่ครั้งแรกแต่เราอาจไม่สนใจ..คือแช่งอย่างเดียวยิ่งตอนเราทุกข์ใจมากๆ และพูดหรือทำอะไรไม่ได้เลย...เราไม่อยากอยู่ใต้ความคิด - ความเข้าใจคนอื่นที่เขาไม่ใช่เราจะมารู้ดีในเรื่องคนอื่นได้ไง...เราก็ไม่ได้สมหวังไรกับในชีวิตเหมือนคนอื่นก็แค่อยู่ๆ ไป...รู้จักก็ไม่รู้จัก...อย่างตอนไปสัมภาษณ์ที่ถามแบบรู้ดีว่าเราทำงานมากี่ที่...ชีวิตคนเราไม่เหมือนกันอย่าเผือกไปรู้ดีเรื่องคนอื่นถ้าตัวเองไม่เจอเอง...คนเราไม่เหมือนกัน...คือเราทำไรใครไม่ได้แต่ก็แช่งไว้ให้ชาติหน้าหรือสักชาติให้เขาเจอแบบเรา...แม้เราอาจไม่เจอกันอีกไม่ว่ากี่ชาติต่อจากนี้ และจำไม่ได้อยู่แล้ว....กงกรรมกงเกวียน...หลายๆ อย่างในชีวิตที่ชีวิตเราไม่ได้เป็นแบบนี้...แต่นอกจากตัวเองที่อาจไม่กล้า, โง่, ตัดสินใจพลาดหรืออะไรก็ตามอย่างบ้า....นอกจากตัวเราที่ยอมรับว่าเราผิด...เราก็คงแบบชดใช้เวรกรรมด้วยแหละ..ทำอะไรเลยไม่ประสบความสำเร็จสักอย่างไม่พอ...ยังเจอมารผจญแบบความคิด, ความเข้าใจและคำพูดคนอื่นแบบ???...เราไปยุ่งหรือทำอะไรให้เขาไง?...ตายโหงตายห่า คือพูดไปคนอื่นแบบเราอ่ะคิดไปเอง...เราก็เลยคิดในใจ...ถ้าสิ่งที่เราเจอและเราคิดไปเอง..ขอให้เราตายโหงใน 7 วันแต่ถ้าเราไม่ได้คิดไปเอง...เจอแบบนั้นจริงๆ...ขอให้คนที่ทำไม่ดีกับเราเหมือนที่เราแช่งเมื่อกี้...ถ้ายังไม่มีลูกขอให้แท้งลูกคนแรก....ถ้ามีลูกแล้ว..ขอให้ผลนั้นตกสู่ลูกแทน...แท้งหลานคนแรก ถ้าเป็นแบบทอม-ดี้ หรือไม่มีลูกก็สูญเสียคนที่รักมากที่สุดไป...คือบ้าและดูโรคจิต แต่คนเรามีเรื่องทุกข์ใจและเรื่องแย่ๆ ที่เกิดในชีวิตตัวเองทั้งนั้น...แล้วมาเจอไรเฮี้ยๆ แบบนี้ เราจะปล่อยไปรึไง...ก็ต้องไม่ชอบและไม่พอใจอยู่แล้วที่มาสร้างความทุกข์และเรื่องคิดมากในชีวิตเราให้มันมากขึ้น
1 ในเหตุผลที่ตัดสินใจไปคำชะโนด นอกจากไปขอพรเรื่องงานหรือเรื่องอื่นๆ แม้ก็มาคิดว่าอาจคงไม่ได้คือการไปแก้บน...เมื่อ 2 ปีก่อนที่เรามีปัญหาเรื่องงาน แบบอยากออกมาก แต่ยังหางานทำไม่ได้ แล้วไปเจอโพสต์หารเฉลี่ยไปคำชะโนด...เราเลยหารค่ารถไปกับเขา...ตอนนั้นก็ไปขอพรเพื่อหาให้ได้งานใหม่บริษัทที่อยากทำไม่ได้...แต่ก็ได้งานใหม่ในอีก 2 เดือนต่อมา..ซึ่งเป็นงานที่เราได้เงินเดือนน้อยกว่าเดิม 2,000 บาท (เพราะเราเขียนแค่นั้นเอง...แต่ต้องได้งานทำ)...แต่บริษัทนี้เขามีค่าเดินทางให้อีก 2 พันด้วย เราก็เลยได้เงินเดือนเท่ากับที่เก่า และบริษัทนี้ดีอยู่อย่างนึงคือเมื่อเลิกงานตอน 18.00 น. เราสามารถนั่งเรือวันศุกร์ไปทำโฮสเทลกะกลางคืนทัน 1 ทุ่มโดยไม่ต้องเสียงานโฮสเทลไป....แต่สุดท้ายเราอาจอารมณ์ร้อนหรือคิดไม่ฉลาดพอ...บ้าบอ..เราก็เสียงานนั้นไป...ความจริงเจ้าของก็ให้โอกาสแก้ตัวแหละ...แต่เราอาจไม่ดีเองจริงๆ กับความคิด, คำพูดและการตัดสินใจที่ไม่ดีเอง...ก็ตกงานยาวเลยแค่นั้นและคงหางานไม่ได้อีก...แต่ตอนที่ตกงาน...อยู่ๆ ก็คิดได้เรื่องที่ไปคำชะโนด...เหมือนเราลืมไป...และมาจำได้ว่าเราไปบนไว้ว่าถ้าได้งานทำ...เราจะมาแก้บนด้วยการมาขอบคุณด้วยตัวเอง...แต่ก็ไม่ได้ไป...จนตกงาน..ก็ไม่ได้ไปเพื่อรักษาเงินเอาไว้....พอมากลางปีที่แล้ว...เราตกงานมานานมาก...6 เดือนแหละ...ก็บนในใจคิดถึงพ่อปู่ - แม่ย่าที่คำชะโนดว่าขอให้ได้งานทำ...ต่อให้เราต้องนั่งเครื่องบินไป...เราก็จะไป....ก็ได้งานตอนนั้น...แต่ว่าไปกันไม่ได้เพราะเราอาจทำไม่ได้ด้วยหรือมีอะไรหลายอย่างที่เราทุกข์ใจ...แต่ตอนนั้นก็มีหางานอื่น...คือช่วงนั้นก็มีหลายที่ติดต่อมาหรือโอกาสอื่นเข้ามา...และเงินดีด้วย...เราก็ไม่ได้ลืมคำสัญญา...ก็มองหาทริปที่ไปคำชะโนดก็เจอ 2,300 และ 2,600 บาท ก็มีติดต่อไป....แต่สุดท้ายเราเสียงานที่ได้ไป....หลายงานเสียไปหมดเพราะตัวเราเองนั่นแหละ...สุดท้ายก็ไม่เหลือไรเลย...แต่ในใจคือยังมีบนกับพ่อปู่ - แม่ย่าด้วยว่าอยากได้ทริปถูกๆ...ก็เจอแบบหลุดจองเหลือ 2,000 บาท แต่ก็ไม่ได้ไปเพราะตอนนั้นตกงาน....ก็เรื่อยมาเรื่อยๆ...จนมา 13 ธันวาคมปีที่แล้ว....เราก็จะไปคำชะโนด...ก็มีเปิดไพ่ดูว่าถ้าไปไหว้จะหางานทำได้มั้ย...ความจริงไพ่มันไม่ดี...ท้อใจจริงๆ....แต่ก็ไม่แน่ใจที่ออกมาไม่ดี..คือถึงไปขอพรก็ไม่ได้หรือว่าเราจะไม่ได้ไปกันแน่วันนั้น
13 ธันวาคม 2562
ออกเดินทางด้วยรถเมล์ 113 ไปหัวลำโพงเพื่อนั่งรถไฟไปอุดรธานี....อันนี้มาจากรีวิวที่มีคนนั่งรถไฟไปลงอุดรธานีแล้วต่อรถไปคำชะโนดแต่ตอนนั้นมีรถไฟฟรี...นี่แหละเรื่องที่เราคิดหนัก...เพราะค่ารถไฟที่ถูกที่สุดจากกทม. ไปอุดรธานีคือ 205 บาท...ถ้าไป - กลับก็ 410 บาท...ซึ่งเราตกงาน...ดังนั้นเงินจำนวนนี้คือถือว่าเยอะเพราะต้องต่อรถไปอีก 2 ต่อกว่าจะเข้าถึงคำชะโนด
17.12 น. ก็มาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพง คนก็เยอะอาจเพราะวันศุกร์ด้วยมั้ง
มาถึงก็เดินๆ แล้วหาที่นั่งเพราะยังคิดไม่ตกเรื่องไปอุดรธานี เพราะค่าตั๋วนี่แหละปัญหาใหญ่ รอบละ 205 บาท และยังเหลือเวลาอีกเยอะเพราะรถไฟออก 20.45 น. นั่งไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้จะไปดีไม่ไปดีจน 6 โมงเย็นก็ยืนตรงเคารพธงชาติกันในสถานีรถไฟ
ตอนนั่งๆ อยู่ก็มีผู้หญิงมาชูป้ายตัดผมฟรี...แล้วเดินหาคนไปตัดผมก็ได้ไป 1 คนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากเรา
นั่งจน 6 โมงครึ่งก็ยังตัดสินใจไม่ได้...แต่รถไฟออก 20.45 น. ยังมีเวลาอีก 2 ชม. แหละ
เดินออกไปรอรถเมล์แบบกลับบ้านดีกว่ามั้ยแบบวันนี้ยังไม่ต้องไป
ริมรั้วที่กั้นระหว่างชานชาลากับป้ายรถเมล์...เราก็เห็นเขาเอาคนมาตัดผมตรงนี้
รอ...รอ...รอ...รถเมล์ก็ไม่มาก็เลยเดินเข้าไปในสถานีรถไฟ...เพราะยังตัดสินใจไม่ได้
นั่งจน 19.15 น. ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี
เดินเข้าไปในชานชาลารถไฟ....รถไฟที่จะไปอุดรธานีคือรถไฟกรุงเทพฯ - หนองคายที่ชานชาลา 10
ตัดสินใจไม่ได้ก็ออกไปหน้าสถานีรถไฟ..นั่งๆ แถวหน้าร้านค้า...แล้วลองโยนเหรียญดูแบบออกหัวคือไป ถ้าออกก้อยคือไม่ไป
เราอาจโยนไม่ดี....แต่โยน 3 ครั้ง...ออกหัวทั้ง 3 ครั้ง
กลับไปยืนหน้าช่องขายตั๋วรถไฟอีก...ลังเลว่าจะไปดีมั้ย
สรุปสุดท้ายก็ไม่ได้ไป...ออกจากสถานีรถไฟกลับบ้านตอนประมาณ 2 ทุ่มเศษ....รอ 113 ซึ่งดันไปสุดที่แถวหน้ารามแต่ก็ต้องไปอยู่ดีเพราะไม่รู้คันต่อไปต้องรออีกนานแค่ไหน...ดึกแล้ว..รถน้อย
กลับถึงบ้านวันนั้นก็เกือบสี่ทุ่มครึ่ง....
เรื่องที่จะไปคำชะโนด จ.อุดรธานียังอยู่ในใจ...แต่ไม่โอกาสไป...คือไม่มีเงินด้วย...จนมาเจอเพื่อนแนะนำไปบ้านบุญสรวงที่เขาบอกอัญเชิญดวงจิตมาจากคำชะโนด จ.อุดรธานี....ก็เลยไปไหว้วันนั้นเลยและไปไหว้บ่อยมากแม้ก็ยังตกงานอยู่...แต่ทุกครั้งที่ได้ไปไหว้พ่อปู่ - แม่ย่าที่บ้านบุญบวงสรวงก็จะพูดในใจเรื่องที่จะไปแก้บนด้วยการไปขอบคุณด้วยตัวเองที่นู้น..ไม่ได้ลืม....ไปแน่นอน....
20 มกราคม 2563
พี่ที่ทำกะกลางวันจันทร์ - ศุกร์เขาโทรมาบอกเราว่า...ให้เราไปทำแทนเขาตั้งแต่ 30 มกราคม - 15 มีนาคม 2563 จนกว่าโฮสเทลจะปิดปรับปรุงเพราะเขาจะเดินทางไปประเทศแถวยุโรปกับแฟนเขาซึ่งเป็นชาวต่างชาติ....เราก็ตกลงเพราะหางานทำไม่ได้อยู่ดี...ความจริงตอนไปขอพรช่วงหลังๆ มานี้เราขอให้ได้กลับไปทำที่โฮสเทลด้วยแต่เป็นช่วงเสาร์ - อาทิตย์กะกลางวันหรือศุกร์ - เสาร์ -อาทิตย์กะกลางคืนถ้าพวกพี่ที่ทำกันอยู่ไม่ทำกันแล้วหลังโฮสเทลกลับมาเปิดอีกที...แต่ก่อนเราก็อยากกลับไปทำแต่ว่าเราเข้าใจเหมือนกันว่าใครๆ ก็ต้องทำงานหาเงิน....แต่เราหางานทำไม่ได้จริงๆ แหละ...ก็ปรากฏได้มาทำแทนพี่กะกลางวันจันทร์ - ศุกร์แทน คือโฮสเทลอยู่ราชดำเนิน ต้องออกจากบ้านตี 5 เพราะเข้างาน 7 โมงเช้าแต่มันก็ดีกว่าไม่ได้งานทำแหละ
21 มกราคม 2563
เอาล่ะก็คือหางานประจำไม่ได้อ่ะแหละ...แต่ก็ได้งานไปทำแทนพี่เขาที่โฮสเทลก็จะไปไหว้พ่อปู่ - แม่ย่าที่คำชะโนด จ.อุดรธานีแล้วกัน...แต่เครียดเรื่องงานมาก..ตอนแรกเมื่อวานที่พี่เขาโทรมาบอกก็จะไปวันพุธ....แต่วันอังคารก็ไม่ได้มีไรทำนิ...ก็ไปวันอังคารแล้วกัน...ตอนกลางวันออกไปทานข้าวก็จะเดินไปร้านประจำก่อนแต่ปิด...ก็เดินหันกลับมาจะไปร้านตามสั่งอีกร้าน...ก็เจอผู้ชายคนหนึ่งขี่มอไซด์มา....ก็เห็นแล้วแหละเขายิ้มให้ร้านค้าที่หันไปคุยแล้วยิ้มค้างมาที่เราเพราะมอไซด์เขาต้องตรงมาตรงที่เราเดินไปอยู่...เขาก็ยิ้ม...เราก็มองเห็นแต่คิดว่าคงยิ้มค้างจากเมื่อกี้ที่ยิ้มคุยกับร้านค้านั่นแหละก็เลยไม่ได้อะไร...เดินเฉยๆ...แล้วเขาก็เลี้ยวรถไปจอด...แล้วทำหน้าแบบที่เราเห็นจากหางตาที่เราอธิบายไม่ถูก...แต่ไม่ใช่แนวเขาไม่ได้ยิ้มให้เราจงอย่าเข้าใจผิด...เพราะถ้าเป็นแบบนั้นต้องทำหน้าเกลียดเรา...แต่ที่คิดคือเดาใจและความคิดเขาไม่ได้เพราะเราไม่ได้รู้ความคิดและความเข้าใจเขามาก่อนหน้านี้...เราก็เดินไปสั่งข้าว - ตักน้ำ....ตอนนั้นเราก็ไม่ได้อะไร...แต่หลังจากนี้เรามาคิดทบทวนย้อนหลังแล้วคือตกลงเขายิ้มให้เรามั้ยหรือแค่ยิ้มค้างจากตอนที่เขาคุยกับร้านค้าเมื่อกี้...เพราะมีกรณีก่อนๆ เก่าๆ ที่มีคนยิ้มให้เราเยอะ...แบบยิ้มไม่ได้อะไร แบบมิตรภาพดีดีเป็นมิตรแต่เราไม่ได้ยิ้มตอบและเดินผ่าน...ซึ่งเรามาย้อนคิดตอนหลังแบบจำได้อยู่แล้วเราก็รู้สึกไม่ดี...แต่เราพูดถึงบ่อยๆ...หลายๆ ครั้งที่พิมพ์ๆ...ชอบเอามาพูดซ้ำๆ...เราก็แค่รู้สึกแย่กับตัวเองที่ทำแบบนั้น...แบบคิดใจเขาใจเรา...แม้อาจไม่มีใครคิดอะไร...แต่เราเอง...หลายๆ ครั้งคือเฉยๆ...และยิ่งตอนเราทุกข์ใจ...ทุกข์มาก...เครียด..อย่างตอนนี้...เราก็ยิ่งไม่สนใจหรือไม่ยิ้ม...แต่ถ้าเราทำผิดไป...คือเราขอโทษและเสียใจจริงๆ...แต่คนที่เรากล่าวถึงคงไม่รับรู้แหละ...และเป็นเรื่องควรปล่อยวาง...ปล่อยผ่านเพราะนานมาแล้ว
ระหว่างนั่งรอข้าวและทานข้าว...เราก็เปิด "ช่องส่องผี" ดู....แล้วเจอที่เขาไปคำชะโนดก็เลยเปิดดู...ตอนนั้นเราร้อนรุ่มกลุ้มใจมาก...เครียด...ทุกอย่างร้อนไปหมด....คืออากาศร้อนมากด้วยแหละ...แต่พอดูคลิปไปเรื่อยๆ....ก็ได้รู้คือถ้าใส่ผ้าถุงเข้าไปขอพรจะมีโอกาสสมหวังมากกว่า...และก่อนเข้าสะพานที่สู่แดนพญานาค...จะมีรูปปั้นพญานาคขนาดใหญ่ 2 ด้านของสะพาน...ให้อธิษฐานและเอามือ..เอาหัวไปแนบกับองค์พญานาค...ตอนที่เขาเดินเข้าสู่แดนพญานาคตามความเชื่อ....อาจารย์เรนนี่ก็บอกว่ารู้สึกเย็นขึ้น...เราก็รู้สึกเย็นไปด้วย...คือถ้าคิดแบบแนวความจริงอีกด้านคือก็เห็นอยู่แล้วเพราะต้นไม่เยอะมาก ยิ่งต้นไม้เยอะก็ยิ่งเย็น...บังแดดด้วย....แต่เราก็ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อความศักดิ์สิทธิ์...เพราะไม่งั้นเราคงไม่ไป
เมื่อ 2 ปีที่แล้วเราอยากหางานใหม่มาก....ไม่เอาแล้วที่ทำอยู่และรู้สึกแย่มากที่ออกจากที่ก่อนหน้านี้ที่เราทำมา 2 ปี....โง่มาก...ก่อนที่เราจะไปคำชะโนด...เราก็ได้งานฟรีแลนด์มาก่อนหน้านั้นนะ...แต่ปีนั้น...เราก็ไปเขาคิชฌกูฏ 2 รอบและคำชะโนด 1 รอบเพื่อหางานใหม่ให้ได้....ซึ่งตอนนั้นเรามีสัมภาษณ์งานแต่ก็ไม่ได้....จนกลับมาจากสัมภาษณ์งานรอบนึงต้องโทรไปหาที่เขาจัดรถตู้ไปเขาคิชฌกูฏเพื่อจองที่นั่งไปเขาคิชฌกูฏรอบที่ 2....แต่ปีนั้นช่วงกลางปีคืองานเข้ามาก็ถือว่าเยอะว่าปีก่อนๆ..คือได้งานประจำใหม่ที่เงินเดือนเท่าเดิม....ได้ทำโฮสเทลกะกลางคืนวันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ และตอนนั้นช่วงเดือน 4 - 5 ก็งานฟรีแลนซ์..คือเราสามารถเก็บเงินไปปากีสถานที่ต้องมีงบ 5 - 6 หมื่นได้เลยในช่วงเวลาไม่กี่เดือน...ก็ไม่รู้ว่าคือจังหวะโอกาสหรือเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์...แต่การมีคนรู้จักอ่ะสำคัญ...และช่วงที่เราตกงานเป็นปีก็เพราะเราอาจมีคนรู้จักน้อยด้วยแหละหรือไม่ได้รู้จักใครซึ่งเราก็อาจไม่ฉลาดพอที่จะทำไรได้...หรือถึงรู้จักก็ไม่ได้ต้องไปหวังความช่วยเหลือแบบเอาแต่ได้หรือเขาต้องมาช่วยไรเราอยู่ดี...บางทีเราก็อาจคิดไปเอง...กับความสัมพันธ์แบบแปลกๆ.....ที่เหมือนเราเสียไปไม่ได้....แต่ก็ไม่มีวันที่จะรู้จักกันได้เหมือนกันคือพูดไรไม่ได้สักอย่างและเราก็ทำพลาดเองหลายอย่างที่ทำให้ต้องมานั่งเสียใจทีหลังทุกที...แบบก็มานั่งคิด...คิด...ไหนว่าจะไม่ทำแบบนั้นแล้วก็ยังทำ..แล้วก็มารู้สึกแบบพลาดอีกแล้ว
กลับมาบ้านเราก็มาเปิดไพ่ดูว่าควรไปดีมั้ย...แต่สรุปก็ไปแหละ....ก็ออกเดินทาง...ไปกินข้าวก่อนเพราะแถวสถานีรถไฟก็แพงแม้แพงกว่าแถวบ้าน 5 - 10 บาท....ตอนแรกไปร้านเดิมที่กินเมื่อกลางวัน...แต่คนขายหลับหมด...เรียก 2 รอบไม่ตื่นเลยเดินไไปร้านตามสั่งอีกฝั่ง....ดูๆ เมนู....แต่คนขายบอกหมดแล้วไม่ว่าข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว...อยากกินไปแถวหน้า 7/11...แต่เห็นสามีเขายืนผัดไรอยู่ข้างหลังอ่ะนะ...ในใจก็คือไม่ต้องมาแนะ...ไม่ขายก็ไม่ต้องขาย...แล้วเดินกลับไปร้านเดิม...ลองเรียกคนขายใหม่..ปรากฏตื่นก็เลยได้กินข้าวก่อนไปสถานีรถไฟ
4 โมงเย็นเศษๆ ก็ไปนั่งเครียดที่ป้ายรถเมล์...อ่านข่าวเรื่องที่ลุงคนนึงโวยวายเรื่องเด็กร้องได้...แล้วพนักงานบนรถไฟให้แม่กับเด็กไปนั่งโซนวีไอพี...113 มา 2 คันแบบทิ้งช่วงห่างแหละ....แต่ไปสุดที่หน้ารามก็เลยต้องรอต่อไป
พอคันที่ 3 มาก็ดูว่าจะไปถึงหัวลำโพงมั้ย...ก็ไปถึงแต่ตอนนั้นมีเจ๊คนหนึ่งโบกก็คิดเขาโบก 113 แต่ไม่ใช่เขาโบกมอไซด์คนรู้จักมั้งและยืนขวางเรากับ 113 แบบจะเดินไปที่มอไซด์ที่จอดรอเลยไป..เราเลยรีบโบกคือไปคันนี้ไม่ได้ก็ไม่ต้องไปแล้วจะ 5 โมงเย็นแล้วเนี่ย
ถึงสถานีหัวลำโพงตอน 18.35 น. อีก 2 ชม. รถไฟถึงจะออก
แบตมือถือก็ลดลงมาเร็วมาก....ก็คิดว่าแบตเสีย...แบตบวมมั้ย...คือไม่ได้ทำไรเลย...เพลงก็ไม่ได้เปิด...ลดมาเยอะอ่ะ..แต่ถ้าชาร์จคือ 20 บาท..ไม่มีชาร์จฟรีแบบบางสถานีรถไฟอย่างอยุธยา...แต่ถ้าหัวลำโพงมีชาร์จฟรีก็ไม่ได้ชาร์จ...คนเยอะ...ปลั๊กคงเต็มตลอด
เดินออกไปซื้อน้ำและขนมที่ 7/11 เพราะต้องเดินทางไกล....แล้วมาไหว้พระขอพรก่อนออกเดินทาง
ตอนนั้นเกือบ 1 ทุ่มจะมีประกาศว่ารถไฟกรุงเทพฯ - หนองคายรอบ 20.45 น.มาเทียบชานชาลาแล้ว...ก็เลยรีบไปซื้อตั๋วรถไฟเพราะต้องได้ที่นั่งติดหน้าต่างอ่ะ....ก็ไม่รู้ว่าที่คนเยอะแยะในสถานีมีไปกับรถไฟขบวนไหนบ้าง....แต่ขบวนที่จะไปก็เดินทางไกลก็มีคนขึ้นเยอะก็ได้มั้ง....ไม่รู้
ตั๋วรถไฟไปอุดรธานีราคา 205 บาท...ความจริงมัวแต่คิดนู้นนี่เลยลืมเอาเงินทอนด้วย...แต่มีคนที่ต่อหลังเราเรียกให้เอาเงินทอน....คือคิดหาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้
เดินไปขึ้นรถไฟที่ชานชาลาที่ 10 ตอน 19.12 น.
อีกชั่วโมงกว่ารถไฟถึงจะออกเดินทาง
เดินหาตู้ขบวนเพื่อขึ้นไปนั่ง..เจอคุณลุงคนหนึ่งเหมือนจัดของอยู่ก็ไม่รู้ว่าคือเจ้าหน้าที่หรือผู้โดยสาร พอเดินผ่านหน้าต่างตรงนั้น คุณลุงยิ้มให้เราก็เลยยิ้มตอบตามแบบมิตรภาพระหว่างการเดินทาง
เดินมาจนถึงโบกี้นึงก็ดูประตูทางขึ้นก็คิดว่าอาจจะขึ้นโบกี้นี้นั่นแหละ...
ตรงนั้นมีผู้หญิงคนนึงยืนอยู่เหมือนงงๆ เขาก็ทักเราว่าจะขึ้นโบกี้ไหน...เราก็ตอบกลับไปว่ารถไฟขบวนนี้ไม่มีเลขที่นั่งนิ..แต่ผู้หญิงคนนี้บอกว่ามีให้เราดูตั๋วรถไฟอีกที...เราก็เลยหยิบออกมาดูก็ปรากฏว่ามีจริงๆ คือเราอาจเข้าใจผิดว่านี่ขบวนธรรมดาแต่ไม่ใช่ คือขบวนเร็วซึ่งจะมีเลขที่นั่ง...ปรากฏก็โบกี้ 4
เห็นเลขโบกี้ก็เลยมองป้ายข้างรถไฟก็ปรากฏที่เรายืนอยู่คือโบกี้ 4 ก็เลยเดินขึ้นไปนั่ง
ลุ้นว่าจะได้ที่นั่งติดหน้าต่างมั้ยก็ปรากฏว่าได้
นั่งรอต่อไปบนรถไฟ...ตรงใกล้ๆ หน้าต่างจะมีที่เปิด - ปิดพัดลม....เห็นผู้โดยสารคนอื่นเปิดก็เลยเปิดของตัวเองบ้าง
นั่งรถต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง
โบกี้อื่นไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร..แต่โบกี้ที่นั่งคือคนไม่เยอะ...ความจริงมาวันธรรมดาเพราะไม่อยากให้คนเยอะ...คือหวังว่าคำชะโนดคนจะไม่เยอะเหมือนช่วงวันหยุดด้วย...แต่ตอนมาถึงคือคนที่รอรถไฟในหัวลำโพง คนก็เยอะเหมือนกัน แต่ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ไปขบวนไหนบ้าง
ระหว่างรอบนรถไฟก็มีขบวนรถไฟแล่นเข้ามา...มองไปตอนประตูเปิดจะเห็นที่นั่งสีแตกต่างจากที่เคยเห็น...ถ้าดูข้างขบวนก็รถไฟปรับอากาศชั้น 2
TORO 1 ถุงกับการเดินทางบนขบวนรถไฟขบวนนี้
20.45 น. ก็ออกเดินทางตามกำหนดเวลา
20.56 น. สถานีรถไฟสามเสน
แอบมองผู้โดยสารคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ
แม่ชีที่เดินไปมา...ที่ถ่ายภาพนี้เพราะเขาเดินมาตรงที่นั่งเรา ตอนแรกนึกว่าจะมานั่งฝั่งตรงข้ามเราแต่ไม่ใช่ เดินมาชะโงกๆ แล้วเดินกลับไปทางเดิม ซึ่งก็เห็นเดินไปมาหลายครั้งอาจจะเดินออกกำลังกายเพราะคนก็ไม่เยอะอะไร
22.26 น. รถไฟแล่นผ่านสถานีบางปะอิน ไม่ได้แวะจอด
22.37 น. รถไฟก็แล่นเข้าสู่สถานีอยุธยา...ซึ่งรถไฟธรรมดาจะถูกกว่ารถไฟขบวนเร็ว...แต่เคยมาอยุธยานี่แหละโดยรถไฟธรรมดา และแล่นผ่านสถานีอยุธยาแบบขบวนเร็วคือใช้เวลาพอๆ กัน
มองไปที่นั่งใกล้ๆ ผู้โดยสารคนอื่นก็หลับพักผ่อนกัน
วัดที่ใกล้สถานีรถไฟอยุธยา โดดเด่นด้วยองค์พระพรหม 4 หน้า (ถ้าใช่)
รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ พร้อมกับอากาศที่หนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยดึงหน้าต่างกระจกขึ้นเพื่อกั้นลม ตอนนั้น 23.04 น.
มาถึงสถานีรถไฟใหญ่แห่งนึงแต่ไม่รู้ว่าสถานีอะไร
23.39 น. สถานีรถไฟสระบุรี
23.45 น. สถานีชุมทางแก่งคอย
คนบนรถไฟหลายคนก็นอน...คนอื่นนอน...เราก็นอนบ้างเหมือนกันแต่ก็แค่หลับตาไม่ได้นอนหลับ
รถไฟก็มีหยุดเป็นระยะบ้าง...บางทีก็คิดว่าอาจรอรถไฟอื่นที่วิ่งสวนมาก็ได้..แต่อาจมีเหตุผลอื่นๆ ซึ่งก็ไม่รู้ สำหรับภาพนี้...ตอนนั้นตี 2.19 น.
คนขายของบนรถไฟก็มาขายของเป็นระยะๆ
รถไฟมาถึงสถานีนึง...คุณป้าที่นั่งแถวเดียวกับเราแต่คนละฝั่งไม่แน่ใจลงสถานีไหน แต่ตอนที่หันไปถ่ายภาพนี้ก็ตี 4.54 น. แล้ว ตามกำหนดที่ต้องถึง จ.อุดรธานีคือ 6.57 น. แปลว่าน่าใกล้จะถึงแล้ว
อากาศหนาวมาก ลมเย็น ขนาดปิดหน้าต่างกระจกขึ้นไปหมดแล้วแต่ก็เหมือนมีลมพัดเข้ามาอยู่ดี
ประมาณตี 5.07 น. สถานีหนองบัวลาย
ตี 5.11 น. อากาศเย็นหนาวมาก แบบนั่งหนาวทั้งที่ปิดหน้าต่างกระจกหมดแล้ว ตอนอยู่กทม. คืออากาศร้อนมาก ก็เลยไม่ได้เอาเสื้อหนาว หรือพวกผ้าที่ใช้ห่มได้อย่างผ้าพันคอ,ผ้าเช็ดตัวมาด้วย...เพราะเราเดินทางมีแค่เป้ก็เลยเอาแค่ผืนเล็กๆ มา กางเกงขายาวแบบ 4 ส่วนที่เอามาเปลี่ยนก็ใส่คู่กับเสื้อยีนตัวใหญ่ไม่ได้ ก็เลยนั่งหนาวต่อไป
มีคุณป้าเดินมาขายพวกขนมปังแบบบอกเราว่า...ช่วยยายซื้อหน่อย....แต่เราไม่มีเงินก็เลยไม่ได้ช่วยซื้ออะไร...คือยายเขาบอกขายไม่ได้แต่เราก็ว่าน่าจะขายได้อยู่นะเพราะคนในรถไฟก็เยอะอยู่
ตี 5.27 น. สถานีรถไฟเมืองพล
ตลอดทางที่นั่งรถไฟมา เก้าอี้ที่นั่งไม่ได้แข็งแรง...นั่งๆ อยู่มีหลายครั้งที่เหมือนหักลงไป...ก็ต้องลงไปงัดขึ้นมาให้นั่งได้ปกติ....ก็ทำแบบนี้ไปตลอดทางที่มันเหมือนหัก....เราอาจจะอ้วนเกินไปก็ได้....ว่างๆ ก็นั่งมองผู้โดยสารรอบๆ ก็ตื่นขึ้นมากันแล้ว
ตอนอยู่บนรถไฟ เราไม่ดื่มน้ำเลยแม้ซื้อก่อนขึ้นรถไฟมาเพราะไม่อยากเข้าห้องน้ำ แต่ปรากฏก็เข้าไปตลอดการเดินทาง 3 - 4 รอบ ซึ่งก็มีป้ายบอกห้ามเข้าห้องน้ำตอนรถไฟจอดเทียบชานชาลา...ก็มาคิดแง่ดีอย่างเรามาคนเดียว เวลาไปเข้าห้องน้ำก็ต้องทิ้่งกระเป๋าไว้เพราะในห้องน้ำไม่มีที่วาง คือวางบนพื้นก็ไม่ค่อนโอเคแบบบนรถไฟ บางทีก็เปิดเจอน้ำท่วมพื้นห้องน้ำ แต่พอดีโถกับประตูไม่ไกลกัน เราก็ยกเท้าเหยียบข้ามไปที่โถเลย แต่แง่ดีคือเพราะถ้าไปตอนรถไฟวิ่ง ถึงมีคนขโมยก็ยังลงจากรถไฟไม่ได้ แต่ขโมยก็คือขโมยแหละ...ยากจะหาตัวเจอว่าใครขโมย...แต่ที่เรานั่งมาในโบกี้ของเราก็ไม่มีใครขโมยอะไรของใครนะ เราก็ทิ้งเป้ไว้บนเก้าอี้นี่แหละ เวลาเข้าห้องน้ำก็กังวล อย่างครั้งนึง เราจะเข้าห้องน้ำ แล้วพื้นห้องน้ำดันเปียก เลยลังเล หันไปเจอผู้ชายคนนึงมอง คือเราไม่ควรตัดสินใคร แต่ก็ยอมรับว่ากังวล พอออกจากห้องน้ำไม่เห็นผู้ชายคนนี้ก็เลยกังวลรีบกลับไปที่เป้ที่วางไว้แต่มันก็ยังอยู่ คือไม่ดีมากที่จะไปมองคนอื่นไม่ดี แต่เราเดินทางคนเดียวแล้วทุกอย่างอยู่ในเป้ก็เลยกังวล
บางคนก็มีคนมาคอยดูหน้าห้องน้ำ อย่างผู้หญิงคนนึงเข้าห้องน้ำก็เดินมากับผู้ชายคนนึง ผู้ชายคนนี้ก็ยืนรอหน้าห้องน้ำไม่ได้เข้าห้องน้ำแล้วมารอๆ แถวหน้าห้องน้ำ แล้วผู้ชายคนนี้พอเดินกลับพร้อมผู้หญิงที่มาด้วยก็มาเล่นกับเด็กที่นั่งเยื้องไปจากเรา
ตี 5.55 น. ก็มาถึงสถานีบ้านไผ่
ตามที่แจ้งในตั๋วรถไฟจะถึงตอน 6 โมงกว่าเกือบ 7 โมงเช้า ก็เลยไม่กล้านอนเพราะกลัวถึงสถานี เรานอนแล้วจะเลยสถานีแล้วจะย้อนกลับมาลำบาก...อย่างสถานีที่ผ่านมา ถึงรู้ชื่อสถานีก็ไม่รู้อยู่จังหวัดไหน แต่ตอนที่อยู่ตามสถานีรถไฟก็มีประกาศตามสถานีว่าสถานีที่รถไฟจะจอดต่อไปคือสถานีรถไฟอะไร
6.32 น. ก็มาถึงสถานีขอนแก่น
รถไฟก็ปิดไฟในแต่ละโบกี้รถไฟ
รถไฟออกจากสถานีขอนแก่นประมาณ 6.42 น. ผ่านห้างสรรพสินค้าใหญ่และสิ่งก่อสร้างแนวไทยๆ ที่มีแสงไฟสวยๆ ช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับสิ่งก่อสร้าง
7.09 น. ถึงสถานีรถไฟน้ำพอง ซึ่งก็ไปถึงสถานีรถไฟอุดรธานี....คือเลทนั่นแหละ....รถไฟเร็วจะแพงกว่ารถไฟธรรมดาแต่ถ้าไม่ไปถึงแบบใช้เวลาเท่ากันก็น่าจะช้ากว่า อย่างตอนไปอยุธยา และบอกตรงๆ จอดแช่หลายสถานีมากๆ แบบจะจอดอีกนานมั้ย
7.28 น. ก็มาถึงสถานีเขาสวนกวาง....ตลอดทาง....ที่นั่งด้านข้างและฝั่งตรงข้ามเราไม่มีใครมานั่ง ก็นั่งคนเดียวตลอดทางก็สบายดีแบบมีพื้นที่ส่วนตัว
8.40 น. ก็มาถึงสถานีอุดรธานีคือช้าไปเกือบ 2 ชม. แต่เวลาที่แจ้งในตั๋วรถไฟ
ตอนลงจากรถไฟก็มีพวกคนขับมอไซด์หรือรถรับจ้างมาหาลูกค้า ถามว่าไปไหนๆ แต่เราเดินผ่านไปเพราะรู้ว่าตามสถานีคือแพง แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ไปยังไงต่อเหมือนกัน
เดินไปตรงทางเข้าสถานีก็เจอที่ชาร์จแบตฟรีซึ่งมีแค่บางสถานีรถไฟ คืออยุธยามีที่ชาร์จแบตฟรี แต่ตอนที่เราไปพิษณุโลก เราไม่เห็น เพราะที่เจอคืออยู่แถวที่ขายตั๋วรถไฟทั้งที่สถานีอยุธยาและอุดรธานี
ตัดสินใจชาร์จแบตมือถือและ Power bank ก่อน แม้จะต่อชาร์จมือถือกับ Power bank จนแบตใกล้เต็มก็ตามแต่ Power bank เหลือไม่เยอะ และถ้าไม่ชาร์จ พอเอาไปเสียบชาร์จมือถือมันจะดับแบบอยู่ๆ ก็แบตหมดแบบครั้งก่อนๆ คือก็ใกล้เสียนั่นแหละ
ตอนยืนเฝ้ามือถือที่ชาร์จแบตก็มีเจ๊วินมอไซด์มาถามว่าไปไหน..มอไซด์มั้ยลูก...เราก็เลยลองถามดูว่าไปคำชะโนดเท่าไหร่...เขาก็ถามมากี่คน....เราก็บอกคนเดียว...เขาก็บอกถ้าเหมารถ 1,500 บาท ถ้าสามล้อ 1,000 บาท แค่ถ้าไปมอไซด์ไปท่ารถบขส. 40 บาท เราก็รู้ว่ารถรับจ้างแพง ก็เลยถามเขาว่าเดินไปได้มั้ย เพราะราคาเหมือนไกล แต่เคยอ่านรีวิวที่คนเคยนั่งรถไฟมาอุดรธานีเพื่อไปคำชะโนด เขาจะบอกค่ารถโดยสารที่ต้องจ่ายด้วย จำไม่ได้ว่ามีค่ามอไซด์หรือรถสาธารณะอื่นไปบขส. ก็เลยลองถามดู...เจ๊เขาก็บอกเดินไปได้ประมาณ 2 - 3 ไฟแดง...เราก็เลยจะเดินไปเอง...แต่เจ๊ก็ตื้อๆ ว่าให้ไปกับเขาจะบอกด้วยว่าขึ้นรถคันไหน แต่เรื่องไปถามว่าขึ้นรถคันไหน เราไปถามเองได้ สรุปไม่ได้ เจ๊ก็ทำหน้าทำปากแบบหึ...แต่เราไม่สนใจ เพื่อความแน่ใจเลยเดินไปถามนายสถานีที่อยู่ในห้องว่าไปคำชะโนดยังไง...เขาก็บอกเคยแต่ขับรถไป...เราเลยถามว่าจากที่นี่ไปท่ารถบขส. ไกลมั้ย...เขาก็บอก 400 เมตร เดินตรงไปแล้วไปถามคนข้างหน้าเอาว่าไปทางไหน...ก็ถ้า 400 เมตรก็ไม่น่าไกล เดินไปได้
ตอนรอชาร์จแบตก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ แม้ไม่มีไรให้มองเท่าไหร่ ก็เห็นป้ายห้องน้ำ แบบค่าเข้า 3 บาทไกลๆ ซึ่งถ้าเป็นสถานีอยุธยาคือฟรี ก็เลยยังไม่เข้าที่นี่
ตอนรอชาร์จแบตก็ไม่แน่ใจตอนกลับจะกลับโดยรถไฟหรือรถทัวร์...แต่ลองเสิร์จหาราคาในเว็บบขส. คือ 400 กว่าบาทก็เลยจะกลับรถไฟ 205 บาท แต่ตอนจะเดินไปซื้อ พนักงานออกไปข้างนอกพอดีก็เลยรอ ยังไงก็กะให้มือถือเต็ม 100% ค่อยไปอยู่ดี
เกือบ 9 โมงเช้าก็ซื้อตั๋วรถไฟกลับกรุงเทพฯ 205 บาท รถไฟออกตอน 19.38 น. ตอนซื้อก็ถามว่าเลขที่นั่งที่ได้คือติดหน้าต่างใช่มั้ย....คนขายก็บอกว่าใช่
รอมือถือชาร์จแบตให้เต็ม 100%
ออกเดินทางตอน 9.03 น. เจอเจ๊วินมอไซด์อยู่ด้านหน้าก็ยิ้มให้กันนิดนึง แต่เราก็เดินผ่านไป
มี KFC อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ
ตอนเดินจะออกพ้นบริเวณสถานีรถไฟก็มีคนขี่มอไซด์ถามจะไปมั้ย...แต่เราบอกไม่ไป...เขาก็ขี่มอไซด์ไปหน้าสถานีรถไฟ เราก็เดินตรงไปตามที่นายสถานีบอก ก็ข้ามแยกไฟแดงไปแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ
เดินตรงไปเรื่อยๆ ผ่านร้านนวด ดูราคาคือแพงกว่าร้านนวดที่กรุงเทพฯ อีก
เดินไปเรื่อยๆ ก็ไม่แน่ใจว่าเดินอีกไกลแค่ไหน หรือเดินเลยมาแล้ว ก็เลยถามทางแม่ค้าร้านที่เดินผ่าน ตอนแรกเขาพูดภาษาอีสาน เราก็ไม่เข้าใจ พอเขาเห็นเราทำหน้างง ก็เลยชี้ๆ ไปอีกฝั่ง แล้วบอกให้เราเดินย้อนกลับไปหน่อยแล้วข้ามฝั่งเพื่อเข้าซอยตรงนั้น เราก็ขอบคุณเขา
เดินข้ามถนนไปก็เห็นมีซอยอยู่ฝั่งตรงข้าม
ยืนตรงเกาะกลางถนนหันไปทางซ้ายมือก็เห็นสถานีรถไฟอยู่ลิบๆ
ยืนกำลังรอข้ามถนนก็ลังเลในใจว่าใช่หรือเปล่าซอยนี้ แต่ตอนนั้นอยู่ๆ ก็มีลมพััดมาปะทะหน้าผากและผมวูบนึง ซึ่งก็อาจแค่ลมพัด พอข้ามถนนไปจะเดินเข้าซอยก็ไม่แน่ใจเลยเดินไปถามผู้หญิงที่เหมือนยืนคุมพนักงานยกของเข้าร้าน...เขาก็บอกให้เดินเข้าซอยนี้แล้วเลี้ยวขวา เราก็ขอบคุณแล้วเดินเข้าซอยไป
เดินไปสุดซอยแล้วเลี้ยวขวาก็เจอท่ารถบขส. อยู่ไม่ไกล
ใช้เวลาประมาณ 11 นาทีก็เดินมาถึงท่ารถบขส. ก็ไม่รู้ว่าต้องขึ้นรถคันไหนก็ถามผู้ชายที่ยืนตรงประตูรถโดยสารว่ารถไปคำชะโนดคันไหน เขาก็บอกรถส้ม...เดินเข้าไปก็มีคนใส่ชุดวินมอไซด์ชี้ไปรถส้มที่อยู่ด้านในว่าคันนั้น เราก็เลยเดินไปเพื่อจะขึ้นรถ
เดินมาถึงรถก็มีป้ายบอกไปบ้านดุง แต่ไม่แน่ใจราคา ตอนแรกก็ไม่รู้ไปถามใคร ก็ลองถามบรรดาลุงที่นั่งคุยกันแถวนั้น...เขาก็บอก 45 บาท...เราก็เลยถามว่าจ่ายเลยเหรอ...เขาก็บอกใช่...ก็จ่ายไป 45 บาทได้ตั๋วมา 1 ใบ
ขึ้นรถก็ไปนั่งแถวหลังคนขับจะได้ลงง่ายๆ ผู้หญิงที่นั่งตรงนั้นก่อนเราแต่ข้างหน้าต่างก็ทักเราเป็นภาษาอังกฤษ แต่เราตอบเป็นภาษาไทย...เขาก็ถามเราจะไปไหน....เราก็บอกไปคำชะโนด....ก็ถามเขาเหมือนกันเคยไปมั้ย....เขาก็บอกเขาเองอยู่ที่คำชะโนด เวลามีงานก็ไป...เขาก็โชว์รูปตอนไปร่วมงานบุญที่คำชะโนดให้เราดู....เราก็ถามว่าต้องขึ้นรถอะไรเข้าไป...เขาก็บอกมีรถแบบสามล้อแบบเหมาเข้าไป...เขาก็ต้องเหมาแบบ 200 บาท....ก็เลยให้คนที่บ้านมารับ...เราก็ถามเดินเข้าไปได้มั้ย....เขาก็บอกไม่ได้คือไกลหลายกิโลเมตร....เราก็ถามว่าโบกรถเข้าไปได้มั้ยแบบรถคนอื่นที่จะไปคำชะโนดเหมือนกัน...เขาก็บอกต้องลองดู.....เจ๊ที่นั่งแถวเดียวกันแต่คนละด้านก็พูดแบบต้องเหมา.....แต่ตอนเขาไปคือนั่งรถส่วนตัวเข้าไป ตอนนั้นก็มีเจ๊ชุดขาวโผล่มาจากด้านหลังที่เราพูดถึงคำชะโนดกันอยู่...ถามเรื่องการเดินทางจากบ้านดุงที่รถคันนี้จะผ่านเข้าไปคำชะโนด....เจ๊ที่นั่งแถวเดียวแต่คนละด้านกับเราก็บอกให้เรากับเจ๊ชุดขาวไปด้วยกันแบบเหมารถเข้าไป....เจ๊ชุดขาวมากับเพื่อนอีกคนก็เป็น 3 คน....ตอนนั้นคนขับก็ขึ้นมาผสมโรงบอกให้เขาติดต่อรถเข้าไปให้มั้ย 200 บาท...เราพยายามต่อรอง 180 บาทได้มั้ย....คนขับก็บอกไปคุยกับคนที่จะหารค่ารถกันเอง....เจ๊ที่นั่งข้างเราก็กดมือถือให้เราดูแบบ 200 หาร 3 ก็คนละ 67 บาทเราก็มองๆ เจ๊ชุดขาวว่าเอาไง...เจ๊เขาก็บอกคนขับว่าตกลง...คนขับก็ลงไปแล้วโทรศัพท์ก็อาจจะโทรนัดรถให้พวกเราก็ได้...ตอนนั้นก็คิดว่าแพงแหละ แต่เราไม่มีเพื่อนมาด้วยอีกคนไม่งั้นคนละ 50 บาทก็โอเคไง
ตอนนั่งรอรถออกก็คิดแบบการแต่งตัวเรา เสื้อยีนตัวใหญ่และกางเกงขาสั้น...เจ๊ที่นั่งข้างเราก็บอกว่าเราใส่ขาสั้นแบบนี้...เขาไม่ให้เข้า..แต่เราบอกมีกางเกงมาเปลี่ยน...ก็นั่งคิดเราเตรียมเสื้อยืดและกางเกง 4 ส่วนมาซึ่งยาวเลยเข่า...ก็เปลี่ยนเสื้อยืดก่อนก็ได้แล้วขาสั้นเหมือนเดิม พอไปถึงก็สวนกางเกงขายาวทับได้แบบเอวยืดและเป็นกางเกงผ้า 4 ส่วน...แต่ก็นั่งรอรถออกมานานก็ไม่รู้รถจะออกเมื่อใดก็เลยลงไปถามคนขับหรือลุงที่ขายตั๋วให้เรา...เขาก็บอก 10 นาที..เราเลยขอไปห้องน้ำก่อนแล้วขึ้นรถมาหยิบเสื้อยืดและกระเป๋าเงินแล้วขอฝากเป้ไว้กับเจ๊ก่อนไปห้องน้ำ...ซึ่งเสีย 5 บาท แพงกว่าที่สถานีรถไฟอีก
เดินขึ้นรถก็อยากถ่ายภาพคน 3 คนที่คุยกับเราเมื่อกี้ แต่อยู่ๆ ไปถ่ายภาพเขาไม่ได้ก็เลยเดินไปด้านหลังรถแล้วถ่ายภาพ
กลับมานั่งที่ เจ๊ข้างๆ เราก็ขอไปห้องน้ำ เราก็เลยหลบขาให้....รถออกตอน 9.43 น.
รถผ่านศาลแห่งนึงระหว่างทาง แต่ไม่รู้ว่าศาลอะไรเหมือนกัน
เจ๊ที่นั่งข้างเราก็ลงหลังจากนั้นไม่นาน
รถแล่นไปเรื่อยๆ คนขับก็จอดแล้วลงไป ผู้หญิงคนนึงก็มาขอลุงแก่ๆ ที่นั่งแถวหน้าและคอยเก็บเงินคนไม่มีตั๋วรถ...คือจะไปห้องน้ำ ลุงก็บอกให้รีบ แต่คนขับก็มาก่อนก็รอแป๊ปนึง คนขับก็เคลื่อนรถไปช้าๆ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็มาขึ้นรถทัน
รถก็แล่นต่อไป ตอนนั้นประมาณ 10.52 น. ออกเดินทางมา 1 ชม. แล้ว
เดินทางไปเรื่อยๆ ก็เจอร้านขายบายศรีข้างทางก็อาจจะใกล้ถึงบ้านดุงแถวตรงปากทางเข้าคำชะโนดแล้วก็ได้
11.18 น. ก็มาถึงปากทางเข้าคำชะโนดมีสามล้อมารอรับ...ก็มีมา 2 คัน...ตอนแรกเราคิดว่ามีแค่คันของเราและเจ๊อีก 2 คน...แต่มองไปอีกด้านของประตูรถด้านหลังก็เจอสามล้อมารอรับผู้หญิงอีก 3 คน
ตอนอยู่บนรถก็มีถามกัน...เจ๊ชุดขาวก็ถามเราว่ามายังไง...เราก็บอกรถไฟ...เขาก็บอกมาเครื่องบิน...2 คนประมาณเกือบ 4 พัน....แต่ก็เงียบๆ เพราะเราก็ไม่ได้คุยไรกับเขา..แต่พวกเขา 2 คนมาครั้งแรก...แต่การเดินทางคือไกลมากเหมือนกันกว่าจะถึงคำชะโนด...ตรงที่มีขายบายศรี...คนขับก็ถามจะซื้อบายศรีมั้ย แต่เจ๊ชุดขาวบอกจะไปซื้อข้างใน...ระหว่างรถผ่าน...ตามร้านก็มีคนมาเหมือนโบกๆ แต่รถก็วิ่งผ่านไป
11.44 น. ก็มาถึงประตูทางเข้าคำชะโนด
รถวิ่งมาจอดด้านในและบอกว่าให้เวลาถึงบ่าย 2 โมง เจ๊ชุดขาวก็บอกให้เราจ่าย 50 บาทก็พอ จาก 200 บาท เราก็ขอบคุณเขา....ความจริงเราอยากขอเบอร์เขาไว้เพื่อตอนกลับจะได้ตามกันได้...ถามกันได้แต่ไม่กล้า.....แต่เจ๊ชุดขาวพูดขึ้นมาก่อน...เราก็เลยตกลง แต่เจ๊ไม่ได้ให้เบอร์เราแต่เป็นอีกคน ซึ่งก็ทำเหมือนไม่อยากให้เบอร์เรา เอาแต่จะถ่ายรูปเจ๊ชุดขาว แต่เจ๊ก็บอกให้เขาให้เบอร์เรา...เขาก็บอกเหมือนไม่สนใจ...ตอนจะแยกกัน...เจ๊ชุดขาวก็ถามว่าเราจะไปด้วยกันมั้ย...แต่เราปฏิเสธคือจะไปเปลี่ยนกางเกงก่อน...คนขับก็ชี้ไปด้านหลังว่ามีที่ให้เปลี่ยนหรือไปเปลี่ยนผ้าถุงฟรีก็ได้....เจ๊ก็ถามอีกจะให้รอไปด้วยกันมั้ย..แต่เราปฏิเสธคือเรารู้ว่าเวลาเราขอพร...เราจะขอนานมากเลยไม่อยากไปกับใครเพราะเขาต้องมารอเราหรือเราอ่ะต้องเกรงใจเขาทำให้ขอพรไม่ได้ตามความต้องการเรา...เราก็ถามคนขับว่าเสียเงินเยอะมั้ยค่าผ้าถุง...เขาก็บอกแล้วแต่ศรัทธา...10 - 20 บาทก็ได้...เราก็นึกถึงที่อาจารย์เรนนี่ ช่องส่องผีเคยพูดแบบมาขอพรแบบใส่ผ้าถุงมีโอกาสสมหวังมากกว่า...เพราะพ่อปู่-แม่ย่าก็ยังเป็นคนโบราณอยู่
เดินไปตามทางที่คนขับบอกก็เจอผ้าถุงแขวนอยู่ ก็หยอดเงินใส่ตู้ และมีคนมาช่วยเราใส่ผ้าถุงก็ไม่รู้ต้องให้ทิปเขามั้ยแต่พอดีไม่มีเงินเลยไม่ให้
เดินไปซื้อบายศรีก่อนก็มีป้ายบอกราคาและเสริมดวงเรื่องอะไร
ตอนเราเดินไปซื้อเจอเจ๊ชุดขาวและเพื่อนด้วย แต่พอเราจะยิ้มให้ ก็ไม่แน่ใจเขาเห็นเรามั้ย แต่เดินก้มหน้าก้มตาผ่านเราไป เราก็ไม่สนใจไรต่อ...บายศรีครั้งที่แล้วเรามาซื้อ 199 บาท และดอกดาวเรือง 1 ชุด แต่ตอนนี้เราไม่มีเงินเลยไม่แน่ใจ...ก็ถามคนขายว่า 99 บาทเนี่ยเสริมเรื่องงานได้มั้ย...คนขายก็คงแค่พูดไปว่าได้...เราก็จะเอา 99 บาท และดอกดาวเรือง 20 บาท แต่คนขายดันบอกมีหมากพลูเป็น 160 บาท ก็ไม่รู้ตอนนั้นเรางงๆ หรือไม่มีสมองคิดรึไงไม่รู้ เหมือนเหมาชุดถูกกว่า? ตอนหลังมานั่งคิดคือเราไม่รู้หมากพลู 2 ชุดนั้นราคาเท่าไหร่..ตกลงเราขาดทุนมั้ย...แพ๊คละ 10 บาทหรือ 20 บาท ต่อให้ 20 บาทเราก็ขาดทุน 1 บาทอยู่ดีแหละ...แบบก่งก๊งมากตอนนั้น
ตอนแรกเราจะเอาสีม่วงเพราะสีประจำวันเกิดเรา...เราก็งงๆ มึนๆ จนคนขายจัดพานเสร็จแบบเอาหมากพลูใส่เข้าไป...เราถึงได้เห็นเป็นสีแดง...เลยบอกให้เขาช่วยเปลี่ยนให้ใหม่...ชี้ไปที่พานที่เราเล็งไว้...แต่คนขายที่เป็นเด็กอ้วนวัยรุ่นใส่แว่นกลับทำหน้างงๆ ไม่สนใจ...ตอนนั้นมีผู้หญิงอีกคนมาซื้อและจะเอาพานที่เราเล็งไว้...คนขายที่จัดพานก็จะหยิบพานสีม่วงอีกอันใกล้มือเขา...แต่ไม่รู้ทำไม...คือเราก็มองๆ และเห็นมีพายสีม่วงหลายอันแต่เรากลับอยากได้พานนี้ก็เลยหยิบขึ้นมาเองแล้วส่งให้คนขายที่จัดพาน ผู้หญิงที่อยากได้พานเดียวกับเราก็...อ้าว...แต่ก็ไปเอาพานสีม่วงอันอื่นแทน...แต่พานนี้...ตอนที่คนขายเอาหมากพลูใส่...เราถึงได้เห็นว่ามีสีน้ำเงินอันนึงแต่ก็ช่างมันเพราะเราอยากได้พานนี้
ตอนเดินมาที่ทางเข้าเพื่อไปไหว้พ่อปู่ - แม่ย่า....ก็เจอองค์พญานาคใหญ่ด้านหน้า..ถ้าตามดูในคลิปช่องส่องผี...อาจารย์เรนนี่จะให้ขอพรแล้วเอามือและหน้าแนบไปกับองค์พญานาคแต่เราไม่กล้าทำเพราะมีคนเฝ้าทางเข้าอยู่ก็เลยเดินผ่านเข้าไปแค่นั้น
เดินไปเรื่อยๆ เราก็มองหาเส้นแบ่งเมืองมนุษย์กับเมืองพญานาคตามที่ดูในคลิปช่องส่องผีที่อาจารย์เรนนี่บอก...ก็เจอเส้นนั้น...ครั้งแรกที่เรามา...อาจจะเห็นเส้นนี้แต่ไม่รู้คืออะไรเลยไม่ได้สนใจ
เดินเข้าไปเรื่อยๆ คนที่มาไหว้ขอพรก็ไม่ได้เยอะมากแบบครั้งแรกที่มาที่คนเยอะเพราะมาวันเสาร์
บนโบสถ์หลักก็มีคนไหว้อยู่
ระหว่างรอก็เลยเดินไปไหว้ที่จุดไหว้ด้านข้างของโบสถ์หลักก่อนเพื่อขอพรและมาแก้บนที่เคยสัญญาเมื่อ 2 ปีก่อนว่าถ้าหางานได้จะมาขอบคุณแต่ก็ไม่ได้...และงานนั้นก็เสียไปตั้งปีเศษแล้วด้วย แต่เพราะตัวเอง ดังนั้นสัญญาคือสัญญา แม้ไม่ได้มาเพราะตกงาน ไม่มีเงิน แต่มันรบกวนใจเรามาตลอดก็เลยต้องมา อีกอย่างกลางปีที่แล้ว เราหางานไม่ได้ก็บนในใจเลยขอให้ได้งาน ถ้าได้งาน ไม่ว่าเราต้องเสียเงินนั่งเครื่องบินไป เราก็จะไป แต่พอได้งานตอนนั้นก็มีปัญหาแบบทำไม่ได้ และเรื่องอื่นๆ ที่อึดอัดใจ แต่ตอนนั้นก็มีหาทริปไปคำชะโนด เจอแบบ 2,600 และ 2,300 บาทก็มีติดต่อ แต่สุดท้ายเสียงานนั้นไปก็ไม่ได้ไป แต่ก็มีนึกถึงพ่อปู่ - แม่ย่าว่าอยากได้ทริปถูกๆ กว่านี้ ก็เจอหลุดจองเหลือ 2,000 บาทแต่ก็ไม่ได้ไปอีก..แล้วก็ผ่านไปหลายเดือนจนมาตอนนี้คือจะครบ 2 ปีในเดือนหน้า และติดอยู่ในใจเราตลอด ขนาดไปไหว้ขอพรพ่อปู่ - แม่ย่าที่บ้านบุญบวงสรวงที่เพื่อนแนะก็ต้องนึกถึง...ก็เลยตัดสินมาแม้ไม่มีเงินนี่แหละ
หันมาต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามมีรอยแป้งมาถู แม้เขามีป้ายบอกห้ามถูต้นไม้
ตอนเราเดินย้อนกลับมาด้านหน้าก็มีคนประกาศให้ขึ้นไปไหว้ได้ เราก็มองๆ เห็นมีคนอยู่ด้านบน เราอ่ะอยากนั่งหน้าสุดเพื่อขอพรชัดๆ แต่ก็ลองเดินขึ้นไปก่อน ปรากฏคนที่เราเห็นก็คือไหว้ขอพรไปแล้วเอาพานบายศรีวางแล้วลุกออกไป เราก็เลยได้นั่งหน้าสุดสมดั่งใจปรารถนา
ต่อหน้าเราก็มีพานบายศรีเยอะที่เขาถวายไปแล้วเต็มไปหมด....พราหมณ์ที่สวดนำก็ให้สวดตาม แต่บทเหมือนสั้นมากๆ และพอบอกให้ขอพร...เราก็ขอพร...แต่ยังไม่ทันขอพรเสร็จ พราหมณ์ก็เหมือนให้สวดไรไม่รู้หรือเขาพูดไรแปลว่าจบให้ถวายพานบายศรีแล้วลงไปได้เพื่อให้คนอื่นขึ้นมาแทน จะได้ไม่เสียเวลา เราก็เลยรีบๆ ขอพรและแก้บนด้วยที่ว่าจะมาขอบคุณด้วยตัวเองเรื่องงานตอนนั้น....แม้เราจะไม่ได้ทำงานนั้นแล้ว....เราก็เหมือนแบบเราเดินทางมาไกลมาก เสียเงินไปเยอะ เราจะจบแค่นี้จริงดิ เราก็เลยไม่สนใครจะมาต่อเราหรืออยากนั่งแทนที่เรา ขอพรไปจนจบและพูดแก้บน จนพราหมณ์เริ่มสวดรอบต่อไป เราก็ออกไปไม่ได้ก็เลยสวดและขอพรอีกรอบ....รอบนี้ก็เหมือนกัน เรายังขอพรไม่ทันจบ ขอไปได้นิดเดียว พราหมณ์ก็ให้เวลาแค่นั้นแล้วสวดหรือพูดไรไม่รู้ให้ถวายพานแล้วให้คนรอบต่อไปขึ้นมา เราก็เกรงใจแบบอยู่มา 2 รอบแล้วก็เลยถวายบายศรีแล้วจะลงไปจากตรงนี้
ความจริงเราลงไปแล้ว แต่ตอนนั้นเป็นช่วงพราหมณ์ลงไปเพื่อหลบให้พนักงานมาเก็บกวาดบายศรีที่ถวายแล้ว เราเลยขึ้นไปแอบๆ อยู่ด้านบนริมๆ เพื่อขอพรต่อ พนักงานเก็บพานก็เก็บไป
ตอนเราไปนั่งหลบๆ ดูเขาเก็บพาน...มีคนชนพานบายศรีเราล่ม เราก็เลยเอื้อมมือไปหยิบมา หมากพลูก็หล่น เราก็พยายามๆ เสียบๆ กลับไปเหมือนเดิม
เราก็อยู่ข้างๆ เพื่อสวดขอพรรอบที่ 3 แต่รอบนี้ไม่รู้พราหมณ์ได้ไปพักมารึเปล่าเลยนำสวดนานขึ้น เราก็เลยรู้สึกดีขึ้นกับการสวดนานๆ และมีเวลาขอพรนานๆ และได้พูดแก้บน...แล้วเราก็ถวายพานบายศรี เอาหมากพลูไปวางไว้ที่พราหมณ์เขาให้วาง แต่ตอนยื่นให้ คนอื่นพราหมณ์รับไปวาง แต่ของเราพราหมณ์ไม่สนใจ หันไปคุยกับกับคนที่มาคนอื่นๆ แต่เราก็ต้องรอให้พราหมณ์หยิบไป สุดท้ายพราหมณ์ก็หยิบไปวางตรงที่เขาวางกัน...ตอนสวดขอพร..เราก็รู้แหละว่ารอบ 1 และรอบ 2 เราเห็นว่าผ้าถุงเราแหวกจนเห็นขา ซึ่งมันอาจดูไม่ดี...อันนี้ตามความเชื่อและที่ได้ฟังจากอาจารย์เรนนี่ ช่องส่องผี...ว่าพ่อปู่ - แม่ย่าเป็นคนโบราณ...ซึ่งในความหมายอาจชอบคนเรียบร้อยไม่ใช่นั่งผ้านุ่งแหวก..แต่ตอนเรานั่ง คนเบียดๆ และถ้าจะให้ผ้าถุงกลับมาเรียบร้อย เราต้องลุกขึ้นเพื่อจัดผ้าถุง ดังนั้นเราเลยทำอะไรไม่ได้ แต่พอมานั่งริมๆ รอบ 3 เลยมีพื้นที่และมีเวลาก่อนพราหมณ์มานำสวดที่จะจัดผ้าถุงให้เรียบร้อย ขาไม่โผล่ออกมา
ตอนจะลงจากโบสถ์ เราก็มาไหว้ขอพรอีกทำให้ไปลงด้านข้างบันไดติดกับที่พราหมณ์นั่งไม่ได้ เลยต้องลงบันไดหลัก เลยได้เห็นคนมาไหว้ที่แบกบายศรีพญานาคอันใหญ่มาด้วย
เราก็เดินจะมาไหว้ต่อที่ตรงศาลาข้างๆ ซึ่งเรายังมีดอกดาวเรืองและพวงมาลัยดาวเรืองอยู่ก็กะถวายที่ศาลา 2 ข้างของโบสถ์หลักนี่แหละ แต่คนเยอะก็เลยเดินไปข้างๆ โบสถ์ก่อน
ตอนนั้นมีคนเดินเอาถาดไข่ต้มมาแจก...ก็มีคนหยิบ เราก็หยิบมา 3 ฟอง....ความจริงเราไม่ได้ทานข้าวมาตั้งแต่ตอนเย็นเมื่อวานแล้ว ตอนมาถึงก็เลทไปเกือบ 2 ชม. ก็เลยกะเอาไปทานกับข้าวเย็น...ตอนแรกก็อยากแกะทานเลย แต่ไม่มีที่เก็บเปลือกไข่ไปทิ้งและไม่มีซอสแม๊กกี้ด้วยเลยเก็บใส่เป้ไว้ก่อน
เราก็ไปไหว้ขอพรที่ศาลาริมโบสถ์ต่อก็มีพราหมณ์นำสวด เราก็ไปนั่งแถวหน้าๆ เพื่อขอพร พราหมณ์คนนี้เขาให้ขอพรก่อน แต่เรายังไม่ทันขอพรเสร็จ เขาก็นำสวดไปแล้ว เราก็เลยต้องรีบๆ แล้วสวดตามเขา พราหมณ์ก็บอกคนมีพานบายศรีให้หันหน้าพญานาคเข้าหาตัวเอง
พอสวดเสร็จ คนถวายพานก็ถวายไป ตอนแรกเราจะถวายดาวเรืองแต่เห็นไม่มีที่วาง ไม่งั้นต้องวางบนพื้น แต่เห็นมีที่แขวนพวงมาลัยก็เลยจะยื่นให้พราหมณ์ แต่เหมือนเขาไม่สนใจ เราก็รอจนเขาหันมาสนใจนั่นแหละ บอกเขาว่าขอฝากแขวนหน่อยได้มั้ย พราหมณ์เขาก็รับไปแขวนให้
ส่วนดอกดาวเรืองที่เหลือ เราก็เอาไปไหว้ที่ศาลาอีกด้านของโบสถ์
เราก็มาไหว้ศาลาข้างๆ โบสถ์อีกรอบ ก็ดูผ้าถุงด้วยแบบให้เรียบร้อยไม่ใช่นั่งแหวกอีก
ไหว้ขอพรเสร็จก็มาที่บ่อน้ำที่มีรูปปั้นองค์พญานาคใหญ่ๆ ก็ตักน้ำแล้วเอามือแตะน้ำมาแตะๆ ผม
เดินมาดูบ่อน้ำ ก็อาจจะเป็นบ่อที่เขาว่าเคยมีคนมาดำน้ำแต่ดำไม่ถึงก้นบ่อก็ได้
มองขึ้นไปต้นไม้ด้านบนก็ไม่แน่ใจว่าใช่ต้นคำชะโนดมั้ย แต่การมีต้นไม้เยอะทำให้เย็นๆ กว่าอยู่ด้านนอกก็ได้
เราก็เดินไปตรงฆ้องที่คนมาลูบ...เขาเชื่อว่าถ้าลูบแล้วเสียงดังแปลว่าพรที่ขอไว้จะสำเร็จ
มีฆ้องอยู่ 2 อัน
เราก็ไปต่อแถวเพื่อลูบฆ้องขอพรดู
ครั้งแรกที่เรามาเมื่อ 2 ปีก่อนก็มาขอเรื่องงาน แต่งานที่ขอคือไม่ได้...เราอาจมีวาสนาไม่ถึง..แต่ก็หางานใหม่ได้ในอีก 2 เดือนต่อมา...ซึ่งปีนั้นเรามาคำชะโนดครั้งแรกและไปเขาคิชฌกูฏ 2 รอบเพื่อเรื่องงาน ตอนลูบฆ้องคือดัง แต่คนที่มาต่อแถวบอกว่าเราตีฆ้อง ก็ไม่รู้เหมือนกัน...พอตอนนี้เลยพยายามลูบๆ แต่ก็ไม่ค่อยดัง พรที่เราขอเรื่องงานก็คงอาจไม่ได้ก็ได้ คือหาไม่ได้แบบนี้ แต่เราก็ขอพรเรื่องอื่นด้วยที่เราทุกข์ใจและพูดไรไม่ได้...ทำไรไม่ได้สักอย่าง...และหลายๆ อย่างคือเราเป็นคนผิดเองจริงๆ
ลูบฆ้องครบ 2 อันแล้วเราก็เดินกลับไปทางเดิม ก็เจอคนมาลูบต้นไม้ขอหวย
ความจริงก่อนเดินมาบ่อน้ำ เราขอพรเสร็จก็จะเดินมาบ่อน้ำ แต่อยู่ๆ นึกขึ้นได้เรื่องคนที่เราเกลียด ไม่ชอบหรือเขาทำร้ายเราแต่ไม่เคยได้รับเวรกรรมอะไร ทุกข์ทรมาณใจมากมาย ก็เลยยกมือไหว้ไปที่โบสถ์พ่อปู่ - แม่ย่าขอผูกเวรผูกกรรมข้ามภพข้ามชาติ เขาทำอะไรกับเราไว้ชาตินี้ เราทำไรเขาไม่ได้ ชาติหน้าหรือชาติไหนก็อาจไม่พบเจอกันอีก แต่ขอให้เขาพบเจออย่างที่เขาทำกับเราบ้าง พอขอใกล้จะจบ อยู่ๆ เรารู้สึกมีอะไร...ที่ไม่ได้เสียบวาบ หรือขนลุก..แต่เหมือนมีอะไรวาบลงจากหัวเราลงไป...วาบแบบมีน้ำหนัก..นึกถึงของเหลวที่มีน้ำหนักรดจากหัวลงไป..แต่นี่เกิดจากด้านใน.......มันอธิบายไม่ถูก...คืออยู่คำชะโนดมาเป็นชั่วโมงไม่เคยมีความรู้สึกนี้เลย...อยู่ๆ เราก็นึกถึงองค์พญานาคหรืออะไรก็ตามที่เหมือนยืนข้างๆ เรา...คือคิดไปเอง...ไม่เห็นอะไร...คิดไปเอง เหมือนจับหัวเราแว่บนึงแล้วเราเลยรู้สึกเหมือนมีอะไรจากหัวแล้ววาบลงไป....แล้วเราต้องสะดุด...และเหมือนคิดไปเองว่าที่เราขอมันไม่ดีเลย...ขออะไรก็ตามที่แค่เฉพาะเราก็พอ...ไม่ต้องไปเกี่ยวอะไรกับคนอื่น...คือเรายกมือไหว้อธิษฐานอยู่แล้ว...เลยขอโทษ..และขอพรใหม่เฉพาะที่เราเดือดร้อนอย่างเรื่องงานหรือเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับคนที่เราเหมือนทำไม่ดี ทำพลาดและเราทำอะไรไม่ได้...และเราทุกข์ใจ..พอขอพรแค่เรื่องของเราที่ทุกข์ใจ....ความรู้สึกนั้นก็ไม่มีอยู่แล้วและหลังจากนั้น...สิ่งที่เรารู้สึกเมื่อกี้ก็ไม่ได้รู้สึกอีกเลยตลอดเวลาที่เราอยู่คำชะโนด...ปกติธรรมดา...คือเหมือนเราคิดไม่ดีก็ได้รับคำเตือนแหละ...ซึ่งก็ความเชื่อส่วนบุคคล
"ขออะไรแค่เรื่องที่เราทุกข์ใจพอ
ไม่ต้องไปสาปแช่งคนอื่นที่ทำเราทุกข์ใจ
ขอจองเวรข้ามภพข้ามชาติ"
เราก็เดินไปที่ต้นมะเดื่อยักษ์ที่ครั้งที่แล้วไม่ได้ไปเพราะเวลาไม่พอ ก็เจอบายศรีพญานาคอันใหญ่ที่เห็นเมื่อกี้วางอยู่
เดินมาถึงต้นมะเดื่อยักษ์
เราก็ไม่รู้ทำไงต่อแต่เห็นมีคนเดินไปฝั่งซ้ายมือ...เราก็เลยเดินตามไปก็เจอคนมาขอหวยกัน
เราก็มองๆ แต่ไม่ได้ขอหวยแล้วเดินย้อนกลับออกไปทางเดิม
เดินมาอีกด้านของต้นไม้แล้วมาไหว้ขอพรพระ
เดินย้อนออกมาด้านนอก คนก็ยังมาไหว้แต่ละรอบเยอะเหมือนเมื่อกี้ แต่ไม่ได้เยอะมากเหมือนครั้งแรกที่เรามา.....แต่มาวันเสาร์
ตอนนั้น 13.18 น. คือคนขับนัดเราบ่าย 2 เราก็เลยวนไหว้ขอพรอีกรอบ แต่ในใจคือเราควรโทรไปหาคนที่เหมารถมาคันเดียวกัน แต่เราคิดว่าบ่าย 2 เดี๋ยวก็ไปเจอกันที่จุดนัดพบก็พอเลยไม่ได้โทร
เราวนมาไหว้ที่ศาลาข้างโบสถ์อีกรอบ มีคนมายกหินเสี่ยงทานขอพรด้วย...เราเลยไปต่อแถวรอยกหินบ้าง คือรอบไม่มีคน ก็คิดว่าขอพรเสร็จจะไปลองยกหินเสี่ยงทาย แต่ลืม
ยังพอมีเวลา เราเลยจะไปลองลูบฆ้องอีกรอบ ตอนนั้น 13.41 น. แล้ว แต่พอจะไปลูบฆ้อง ดันมีเด็กมารอเยอะ ก็ไม่รู้จะทันเวลามั้ยเพราะนัดตอนบ่าย 2
เดินไปลูบฆ้องเล็กสีดำก่อนเพราะเด็กเขาออกันที่ฆ้องใหญ่สีทองแล้วย้อนมารอที่ฆ้องใหญ่ก็สามารถเดินออกจากเมืองบาดาลขององค์พญานาคตอน 13.50 น.
เดินใกล้ถึงทางออกสะพานก็เจอคนก้มมองอะไรในน้ำ แต่ก็ไม่รู้มองหาอะไรเหมือนกัน
เดินมาที่องค์พญานาคองค์ใหญ่ เราก็จำที่อาจารย์เรนนี่บอกได้ ก็เลยไปถามคนเฝ้าทางเข้าว่าจับองค์พญานาคได้มั้ย คือตอนเดินเข้า - ออกสะพานก็มีคนจับพญานาคแหละ แต่นี่คือด้านหน้าก็ลองถามก่อน เขาก็บอกว่าได้ ก็เลยไปขอพร...เอามือและหน้าไปแนบกับองค์พญานาค ในคลิปช่องส่องผีคือเขาบอกตรงกลาง แต่ตอนเราขอพร มีคนถ่ายภาพอยู่ด้านหน้า ก็เลยไปขอพรด้านข้างแทน
ตอนเราไหว้อยู่ด้านใน...เห็นพอมีเวลาเลยไหว้วน...ลืมว่ามีจุดไหว้อยู่ด้านนอกก็เลยไม่ได้ไหว้
13.56 น. ก็เอาผ้าถุงไปคืน คิดว่าทันเวลานัดเพราะเดินไปนิดเดียวก็ถึงจุดจอดรถ
เดินมาจุดจอดรถที่ใกล้โบสถ์นี้
ปรากฏว่ารถไม่อยู่ เจ๊ 2 คนที่มาด้วยกันก็ไม่อยู่ มองไปรอบๆ หรือว่าไปจอดที่อื่นก็ไม่เจอ...เลยตัดสินใจโทรหาเจ๊ที่ให้เบอร์มาแบบไม่เต็มใจ เขาก็บอกออกมาแล้ว...จะให้วนไปรับมั้ย..เงียบไปนิดก็บอกให้เราเหมารถออกมาเอง หรือหาคนหารออกมา...เราก็ถามว่าวนมารับได้มั้ย...เขาก็บอกออกมานานแล้ว...เราก็บอกว่านัดบ่าย 2.....แต่ก็คือทำไรไม่ได้แหละ นอกจากวางสาย...คือเขานัดเราบ่าย 2 เองแล้วตอนนั้น 13.58 น. ลองไปถามสามล้อแถวนั้น เขาก็บอกไปถึงปากทางคำชะโนดคือ 150 บาท แต่ไปถึงบ้านดุงคือ 200 บาท ซึ่งเราไม่มีเงินจ่าย...ก็เลยลองถามคนแถวนั้นว่ากลับเลยรึเปล่าคืออยากติดรถออกไป...แต่เขาไม่ได้กลับ...ก็ไม่รู้ถามใครเหมือนกันที่เขาจะออกไปปากทางที่เราเข้ามา...ที่ติดถนนใหญ่...เราจะได้รอรถไปต่อเหมือนตอนที่เรามา
หันไปเจอกลุ่มเจ้าหน้าที่ก็เลยเดินไปถาม...ตอนนั้นแค่คิดเผื่อมีเจ้าหน้าคนไหนออกไปด้านหน้า...ตอนแรกเขาก็บอกให้เหมาสามล้อออกไป....แต่เราบอกเงินไม่พอ...เขาก็เลยชี้ไปที่สามล้อคันนึง..บอกว่าคันนี้จะไปท่ารถบ้านดุง...มีคนให้เขาไปส่งท่ารถบ้านดุงคือ 400 บาท...ในใจคือแพงมาก...ตอนเดินไปคุยกับคนขับที่เจ้าหน้าที่นำไป....ตอนแรกเลย...เราคิดว่าเขาจะไปคนเดียว...เราก็ติดรถไปกับเขา.....คนขับบอกเรา 100 บาท...เจ้าหน้าที่ที่ไปคุยให้ก็บอก 100 นึงแหละ...ให้เราติดรถไปด้วย...แต่เราไม่อยากจ่าย 100 บาท ขอเขาลด...คนขับก็บอก 60 - 70 บาทก็ได้....เราก็ขอบคุณเจ้าหน้าที่...แต่ก็มารู้ตอนประมาณช่วงนั้นแหละว่า...สามล้ออีกคันที่มาพร้อมเราอ่ะก็คือคันนี้...ที่มาส่งผู้หญิง 3 คนที่ลงรถสีส้มคันเดียวกับเรา..เหมือนเขาจำเราได้....เราก็บอกเขาว่า...ลุงที่ขับมาส่งเขานัดบ่าย 2...เราก็มาบ่าย 13.58 น. แต่ไม่มีใครอยู่แล้ว ก็นั่งรอเพราะผู้หญิง 3 คนยังไม่มา......
นั่งรอมาสิบนาทีเศษ เราก็บอกคนที่นั่งด้วยกันแถวนั้นว่าขอไปไหว้พระที่ศาลาตรงข้าม ส่วนลุงคนขับเหมือนรอนานก็เดินๆ ไปมองหา 3 สาวที่มากับแก...แต่เหมือนหาไม่เจอ...บางทีก็คิดในแง่ดีไปว่าองค์พญานาคอยากให้เราอยู่นานๆ ก็ได้ ไม่ได้มาเกือบ 2 ปี....กว่าจะมาแก้บนก็เกือบ 2 ปีแม้เราเสียงานทุกอย่างไปหมดแล้วเพราะตัวเราเอง
เสี่ยงเซียมซี...ไม้แรกที่ตกคือเลขไม่มี...ไม้สองที่ตกคือ 19 แต่พอไปดูช่องใส่ใบคำทำนายคือไม่มี
เดินออกมาก็กลับไปนั่งรอที่เดิม
ตอนเดินจะกลับไปนั่งรอที่เดิม ก็มีเฮียขายน้ำข้างศาลาที่เราเพิ่งไหว้ลงมาถามไรสักอย่าง...น่าจะ...เรามาจากไหน...กลับไง...เราก็บอกมาจากกทม. และกลับกับรถสามล้อคันไหน...ความจริงก็จำไม่ได้ว่าถามไรแต่แนวนี้แหละเพราะตอนเราไม่รู้จะกลับจากที่นี่ยังไง ผู้หญิง 3 คนที่เราถามแรกๆ ว่าจะกลับรึยัง ก็ยืนซื้อน้ำอยู่หน้าร้านเฮียนี่แหละ
ตอนนั่งรอก็มีคนขับสามล้อแถวนั้นมาถามๆ คุยๆ ลุงคนขับก็บอกเรามีเงินไม่พอ แบบจะไปเหมารถออกไป ก็นั่งรอจนประมาณ 14.25 น. 3 สาวที่มากับลุงก็กลับมา แต่ลุงไปเดินตามหา 3 สาวอยู่แล้วไม่รู้หายไปไหน... 3 สาวก็เดินไปซื้อน้ำ...เราก็เตร่อยู่ที่รถนั่นแหละ...รอให้ทุกคนพร้อมค่อยออกเดินทาง...แต่ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ช่วย...และเราที่กล้าไปถามว่าเรามีปัญหาออกจากที่นี่ไม่ได้..เงินไม่พอเหมารถ
3 สาวเดินกลับมาแต่ลุงคนขับยังไม่มา...3 สาวก็เดินไปนั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ เราก็นั่งอยู่ที่เดิมรอคนขับ
แล้วลุงคนขับก็กลับมาพร้อมออกเดินทางตอนประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่คนนึงก็เดินมาทักลุงแบบดีได้ผู้โดยสารเพิ่ม
ระหว่างทางก็มีไร่สตรอว์เบอร์รี่อยู่หลายไร่....ให้คนมาซื้อได้
รถก็แล่นออกถนนใหญ่...ข้างทางก็มีของฝากขาย
ตอนรถวิ่งก็เตรียมเงินไว้ 60 บาท...ความจริงตอนนั้นยังเข้าใจว่ายัง 200 บาทก็หาร 4 ไม่ได้เหรอคนละ 50 บาทแบบนี้
เกือบบ่าย 3 โมงก็มาถึงท่ารถบ้านดุง...เราก็จะจ่ายเงิน...ลุงก็บอก 60 บาท...แต่พอดีตอนจ่ายเราทำเหรียญ 5 ตก...จะก้มเก็บ...ลุงก็บอก 50 บาท...เราก็เลยได้จ่ายไป 50 บาทเท่ากับตอนขามา...แต่ตอนจ่าย...เราเห็น 1 ใน 3 สาวจ่ายให้ลุงไป 400 บาท....ก็คือที่เราได้ยินเจ้าหน้าที่พูด..ว่ามีคนจ้างรถลุงไปส่งท่ารถ 400 บาทก็คือแบบนี้เอง...แล้วลุงก็ได้จากเราอีก 50 บาท...แต่เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร...เพราะเป็นเงินที่เราต้องจ่าย...คิดอีกแง่...400...หาร 4 คือคนละ 100 บาท...เราก็ไม่ต้องไรดีกว่า....
นั่งรอไปเรื่อยๆ ไม่รู้รถมาเมื่อใด เลยเดินไปถามคนขายของที่นั่งแถวนั้น เขาก็บอก 15.10 น.
รอจริงไม่ถึง 15.10 น. น่าจำ 15.05 น.
คนขับ 2 แถว....ก็มาบอกว่ารถมาแล้ว...ก็คือเห็นรถเลี้ยวมาแล้วแหละ..เราก็ขอบคุณลุง...คนขับก็หันไปบอก 3 สาวด้วย...คือขอบคุณที่ให้เราติดรถมาด้วยแหละ..แต่เขาก็ได้จากเราเพิ่มอีก 50 บาท...
ค่ารถ 45 บาท...
คนขายของที่เราถามเมื่อกี้เรื่องรถมาเมื่อใด...ก็มาขายของบนรถ...พอผ่านเราก็บอกให้เราช่วยซื้อ...แต่ลำบากอ่ะ...นอกจากเราไม่มีเงิน...และกินไป...พวกขยะนี่ลำบาก...ต้องรอจนกว่าจะลงจากรถเพื่อเอาไปทิ้งอีก...
นั่งรอบนรถไปเรื่อยๆ....ก็นั่งคำนวนเวลาไปด้วยน่าจะ 2 ชม. กว่าจะไปถึงตัวเมืองอุดรธานี...คือทันก่อนรถไฟออกอ่ะแหละ...แต่เราต้องไปหาอะไรทานก่อนด้วย....แต่สุดท้ายรถก็ออก 16.21 น.
ตอนรถวิ่งก็ผ่านสิ่งที่เราสนใจอย่างรูปปั้นของบุคคลที่น่าจะเป็นคนสำคัญแต่ไม่ทราบว่าใคร และศาลเกี่ยวกับองค์พญานาค....ตอนแรกไม่ทราบ...แต่รถวิ่งผ่านป้ายก็คือ ศาลหลักเมืองเจ้าปู่ศรีสุทโธ
เราก็นอนไปเรื่อยๆ ง่วงมาก...แต่ก็แค่หลับตาแหละ...จนลืมตาจริงๆ ตอนบ่าย 4 โมง ก็คิดว่าอาจใกล้ถึงตัวเมืองอุดรธานี แต่ความจริงอีกไกลมาก..ตอนเจอไหนี้ 16.19 น.
ผ่านศาลอีกแห่ง....ไม่แน่ใจว่าศาลอะไร...แต่น่าจะเป็นศาลหลักเมืองถ้าดูจากภาพ
นั่งรถไปเรื่อยๆ แบบเมื่อไหร่จะถึง
ประมาณ 17.14 น.ก็มาถึงท่ารถบขส. อุดรธานี...พวกวินมอไซด์ก็วิ่งมาหน้าประตูรอรับลูกค้า
เดินลงจากรถก็ไม่รู้เดินไปทางไหนเพื่อจะหาทางออก ตอนแรกเดินไปอีกทาง แต่พอพ้นขอบตึกคือทางตันก็เลยต้องเดินกลับไปอีกทาง
ตอนจะเดินออกก็มีวินมอไซด์คนนึงที่เหมือนไปแย่งหาผู้โดยสารจากรถทัวร์ที่เพิ่งเข้าไม่ทันเลยเดินมาหาเราแทนซึ่งเราไม่ไปเพราะเดินไปแค่ 10 นาทีถึงสถานีรถไฟ
หิวข้าวมากก็เดินหาร้านข้าว...ก็เจอตามสั่งตรงข้ามท่ารถ....ก็ดูราคา...แต่เราเหนื่อย ร้อนและไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่ตอนบ่ายเมื่อวาน...กินอะไรท่ามกลางอากาศร้อนๆ ไม่ลง....เลยคิดถึง KFC ที่มีแอร์ คือราคาแพงกว่าอาหารตามสั่งแหละ...แต่คิดแบบอาหารตามสั่งซัก 50 บาท + น้ำอัดลมอีก 15 บาท ส่วน KFC อย่างข้าวไก่แซ่บก็ 70 - 80 บาท ก็คือบวกค่าแอร์ไป...เพราะกินไม่ลงจริงๆ กับอากาศร้อน
ร้านตามสั่งอยู่ตรงข้ามท่ารถก็มีทางให้เดินไป 2 ทาง...ซ้ายหรือขวา...เราก็ไม่รู้...จำไม่ได้...ก็เลือกเดินไปทางขวาก่อนถ้าหันไปทางท่ารถ....ขวามือคือเราเลือกเดินไป
ออกพ้นซอยคือเจอโรบินสัน ดังนั้นคือเราเดินมาผิดทางแล้ว...เพราะตอนเราเดินมาท่ารถตอนสายๆ เราไม่เจอห้างอะไรทั้งนั้น
มองไปอีกทางที่เป็น 7/11 ก็ไม่คุ้นแบบตอนที่เดินมาท่ารถ ก็เลยถามคนแถวนั้น เขาก็บอกให้เดินไปอีกทาง ลุงสามล้อก็โบกมือแบบไปกับเขามั้ย แต่เราบอกไม่ไป แล้วเดินย้อนไปอีกทางเพื่อหาทางกลับไปแถวสถานีรถไฟ
เดินไปไม่ไกลก็เจอซอยที่คุ้นๆ เหมือนตอนเดินมาท่ารถก็เดินเข้าซอยนั้นไป
เดินกลับไปทางสถานีรถไฟ เดินไปเรื่อยๆ จนมาถึง 4 แยก....ตอนนั้น 17.27 น. ก็คิดว่าจะทาน KFC นี่แหละ...ขอตากแอร์หน่อย...ตอนนั้นไม่ใช่มีเงินอ่ะ....แต่ให้ไปทานในที่ร้อนๆ ทานอะไรไม่ลงจริงๆ อาหารมื้อแรกของวัน
ตอนยืนรอจะข้ามแยก ก็เห็นลุงผอมๆ ไม่แน่ใจ Homeless หรือแค่โทรมตามสไตล์มาบ้วนน้ำสีแดงในถังขยะแถวนั้น ก็แค่มองแล้วไม่สนใจ...ก็รอนาน...เพราะรถเยอะ...มีทั้งรถตรงมาและรถเลี้ยว...ก็ไม่รู้จะไปข้ามตอนไหน...จนลุงข้ามไปตรงกลาง...เราก็เลยข้ามบ้าง...ลุงก็บอกให้เราถอยมาหน่อยเพราะรถเลี้ยวมา...เราก็ถอยตามลุง...แต่แป๊ปเดียว รถที่มาทางตรงที่มาเส้นที่เรายืนก็เหมือนวิ่งมา...ก็ต้องเขยิบขึ้นไปข้างหน้า....พอรถสีขาวคันใหญ่ที่เลี้ยวมาจอดให้...เราก็จะข้าม...แต่ลุงบอกให้ไปข้างหลัง...เหมือนให้ข้างหลังรถคันนี้ซึ่งมีรถอีกคันจอดชะลออยู่ตามหลังรถขาว...หรือไม่รู้ไปข้างหลังตรงไหนเหมือนกันเพราะเราจะข้ามไปฝั่ง KFC...เลยแค่มองลุงแบบงงๆ แต่ไม่ได้ทำตามลุง..ลุงก็ยิ้มให้นิดนึงแล้วไปตามทางของเขา...เราก็ไปตามทางเราคือ KFC
ยืนดูก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาชุด 79 หรือ 89 ก็สุดท้ายก็เอาข้าวไก่แซ่บ 79 บาท ก็คือเทียบกับอาหารตามสั่งคือ 50 บาท + น้ำอีก 15 บาท (เทียบอัดลมเหมือน KFC) ก็ประมาณ 65 บาท....มาทาน KFC คือแพงกว่าแต่ก็คิดเป็นค่าแอร์ด้วย...เพราะร้อนมาก เหนื่อยมาก ไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่ตอนบ่ายเมื่อวาน...สั่งชุดอาหารเสร็จ ก็เดินหาอ่างล้างมือ....แล้วก็ล้างแว่นแต่แว่นก็มัวอยู่ดี..เดินมารับอาหารและหยิบผ้าขนหนูที่พกมาในเป้ไปล้างหน้า....แต่ใน KFC ไม่มีห้องน้ำก็ต้องไปเข้าห้องน้ำที่สถานีรถไฟ
นั่งทานไป ตอนนั้น 17.35 น. ก็อีกประมาณ 2 ชม. กว่ารถไฟจะออกจากสถานี...ก็อยากนั่งทานถึงประมาณ 6 โมงเย็นค่อยออกจาก KFC ขอตากแอร์เย็นๆ ก่อนแล้วไปชาร์จแบตมือถือระหว่างรอรถไฟ แต่พอทานเสร็จก็ยังไม่ 6 โมงเย็นก็เล็งไอศกรีม 10 บาท...ลังเลจะทานดีมั้ยเพราะเสียเงินเพิ่ม...แต่สุดท้ายทานก็ทานเพราะยังอยากนั่งตากแอร์อยู่
ออกจาก KFC ประมาณ 18.15 น. ข้ามฝั่งไป 7/11 แล้วเดินย้อนกลับไปสถานีรถไฟ
เดินไปจุดชาร์ตแบตฟรี...6 ปลั๊กคือเต็มหมด..เดินไปถามนายสถานีที่อยู่แถวนั้นว่ามีจุดชาร์จแบตฟรีแค่ตรงนี้เหรอ...เขาก็บอกว่าใช่...เราก็เลยเดินไปตรงอีกด้านนึง...ว่าจะเข้าห้องน้ำแต่เปลี่ยนใจ...รอให้ใกล้เวลารถไฟออกค่อยเข้าห้องน้ำเพราะเสีย 3 บาท...เห็นมีห้องอาบน้ำด้วย..10 บาท
เดินย้อนกลับมาตรงจุดชาร์จแบตฟรี...พอดีมีคนเอามือถือที่ชาร์จออกไปอันนึงพอดี..ก็เลยรีบหยิบปลั๊กที่ชาร์จมาชาร์จมือถือ
ชาร์จแบตก็ต้องนั่งเฝ้า ตรงนี้ไม่มีที่นั่งที่สามารถมองมือถือที่ชาร์จตรงๆ แบบที่สถานีอยุธยา ก็เลยนั่งเฝ้าตรงขั้นบันไดตรงนั้น...
นั่งรอไม่นานก็มีคนเอามือถือที่ชาร์จออกไปอีก...เราก็เลยเอา Power bank ไปเสียบชาร์จ
นั่งรอไป..ก่อนขบวนรถไฟเรามาจะมีอีกขบวนที่ไปกรุงเทพฯ อีกขบวนเข้าสถานีก่อน...เหมือนเข้าสถานีเลทไปประมาณ 3 - 5 นาที
เปลี่ยนป้ายใหม่เป็นขบวนรถไฟขบวนต่อไปซึ่งเป็นขบวนที่เราต้องไป
เดินไปเข้าห้องน้ำ...ความจริงอยากปล่อยมือถือชาร์จไว้แต่กลัวหาย...เลยเอาแค่มือถือไปแต่ทิ้ง Power bank ไว้...เผื่อกลับมาที่ชาร์จเต็มก็เอามือถือชาร์จแทน Power bank...แต่เดินกลับมาที่ปลั๊กก็ว่างอยู่
เห็นเก้าอี้ใต้ระฆังว่างก็เลยไปนั่งตรงนั้น
ประมาณ 19.28 น. รถไฟก็เริ่มเข้าชานชาลา...นายสถานีก็ประกาศก่อนหน้านี้ว่าใครได้โบกี้ไหนให้ไปยืนรอรถไฟตรงไหน
เดินขึ้นไปบนรถไฟ...โบกี้ที่เราขึ้นยังไม่มีคนนั่ง...ก็เดินหาที่นั่งตามเลขที่นั่งในตั๋ว
ยังพอมีเวลาก็เลยเดินลงไปถ่ายภาพรถไฟจากด้านนอก
ตอนเดินขึ้นรถไฟก็เจอพี่เสื้อเหลืองคนนึงถามเราประมาณว่า....จะไปมั้ย...รถไฟจะออกแล้ว....เราก็เดินขึ้นรถไฟ...คือไป...เขาก็ถามว่ามากี่คน....เราก็บอกมาคนเดียว...เราก็เดินกลับไปนั่งที่...เขาก็เดินไปส่วนหัวขบวนรถไฟ
เดินกลับมาที่นั่งพยายามเปิดหน้าต่าง...แต่ปรากฏเปิดไม่ได้...ดึงขึ้น-ดึงลงก็ไม่ขยับ...ถามป้าที่นั่งตรงข้าม....แกก็เฉยๆ....แต่เราไม่เปิดหน้าต่างไม่ได้...เพราะอึดอัดและร้อน...แต่ตอนหลังเหมือนมารู้เลาๆ ว่าป้าแกอาจจะเคยลองเปิดก่อนเรา...แล้วเปิดไม่ได้
เปิดหน้าต่างไม่ได้ก็ได้แต่นั่งลง...แล้วมองหาเผื่อมีเจ้าหน้าที่โผล่มาจะได้บอกเขา...ไม่นานก็เห็นเจ้าหน้าที่ขึ้นมาแต่เดินไปหาฝรั่งแบบขอดูตั๋ว...ฟังๆ ดูเหมือนเขามีปัญหาแบบป้าคนนึงไปแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าฝรั่งคนนี้มีตั๋วมั้ย...เหมือนมานั่งที่แก...แล้วมีการไล่อะไร...แต่ปรากฏฝรั่งเขามีตั๋ว
เราก็เลยเดินไปบอกเจ้าหน้าที่ว่าเปิดหน้าต่างไม่ได้...เขาก็บอกให้รอก่อน...เพราะทั้งขบวนมีเขาคนเดียว...เดี๋ยวเรื่องนั้นเรื่องนี้...นี่ก็เรื่องฝรั่ง...แล้วมีเรื่องเราอีก....เหมือนหน้าต่างฝั่งนี้ื (ฝั่งชานชาลา) เปิดได้...แต่ฝั่งเรามันสูง..เปิดไม่ได้...เราก็งงๆ...หรือเปิดจากหน้านอกเหรอ...คือปกติก็เปิดได้จากด้านใน แต่ก็ไม่รู้เขาอาจมีตัวล็อคไรจากข้างนอกรึเปล่าก็ไม่รู้...ก็กลับมานั่งที่...รอให้เจ้าหน้าที่เขาว่าง
ป้าตรงข้ามเราก็พูดแบบนั่งไปเดี๋ยวก็เย็น...แล้วเหมือนไปเปิดพัดลมมั้ง...แต่เราก็อยากให้หน้าต่างมันเปิดเพราะเราอึดอัดและร้อน
รถไฟก็แล่นออกตามเวลา...หน้าต่างก็ยังเปิดไม่ได้...แต่ก็เห็นเหมือนศาลเจ้าอะไรสักอย่างอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ...แต่เพราะไม่รู้ไม่งั้นอาจข้ามมาไหว้...แต่ก็ไม่ได้อยู่ดีต้องเฝ้ามือถือที่ชาร์จแบต
ฝั่งตรงข้ามก็ถนนทั่วไป...รถเยอะเพราะเป็นตัวเมืองอุดรธานี
รถไฟก็เหมือนผ่านตลาดข้างทาง
นั่งไปสักพักเจ้าหน้าที่ก็เดินมาหาเรา...บอกว่า...เหมือนวันนั้นที่น้องมา...พี่คนเดียวทั้งขบวน...3 เที่ยว 6 รอบ....แว่บแรกคือเขาจำเราได้ด้วยเหรอ?...คือเรามาอุดรธานีเมื่อวาน....แล้วพี่เขาก็พูดแบบ...ตรงนั้นก็มีเรื่อง...ตรงนี้ก็มีเรื่อง..พี่คนเดียว 9 ขบวนไม่อาจแยกมาบริการน้องได้คนเดียว...เราก็เข้าใจพี่เขาแหละ แล้วเขาก็พยายามเปิดหน้าต่างให้เรา...เราก็ขอบคุณเขา...เขาเปิดให้หน่อยนึง..เราก็ดึงส่วนที่เหลือลงมาเองให้เท่าที่เราอยากเปิด
นั่งรถไฟไปเรื่อยๆ...ก็มาสังเกตแบบตามสถานีรถไฟที่รถไฟจอด...ฝรั่งที่เหมือนย้ายที่จากที่คุยกับเจ้าหน้าที่เมื่อกี้มานั่งเยื้องไปจากเก้าอี้เรา..ชะโงกหัวออกนอกรถไฟ...คือเขาก็ดูว่าปลอดภัยก่อนเอาหัวยื่นออกนอกรถไฟแหละ...แม้มีคำเตือนที่ไม่ต้องอ่านออกเพราะเป็นภาษาไทยแต่ต้องรู้ด้วยตัวเอง..ประเทศไหนเขาก็ห้ามยื่นอวัยวะร่างกายออกนอกรถไฟทั้งนั้น...และเขาก็ยังยืนหัวออกนอกรถไฟแม้รถไฟวิ่งออกจากสถานีแล้วก็ตามก่อนยื่นเอาหัวกลับเข้ามา
ตอนรถไฟวิ่งผ่านมาไม่กี่สถานี....ด้านหลังโบกี้เราก็ยังว่างอยู่
20.07 น. สถานีกุมภวาปี
ฝรั่งก็ยังชอบยื่นหัวออกนอกรถไฟอยู่ดี
รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ เราก็เห็นแสงไฟไกลๆ จากกองไฟ..ไม่รู้เผาอะไรกันอยู่รึเปล่า
รถไฟแล่นเข้าจอดสถานีนึงที่มีรถไฟอีกขบวนจอดอยู่
เราเห็นฝรั่งยืนขึ้น.....ตอนแรกนึกว่ายืนให้ผู้โดยสารคนอื่นที่ขึ้นมาเยอะที่สถานีนี้นั่งด้วยกัน...คือยืนสุภาพมากจากท่าทาง...แต่ก็ไม่รู้ยืนทำไมเหมือนกัน
ผู้โดยสารคนอื่นก็เก็บของ....นายสถานีก็ทำงานด้านในห้องทำงาน
แล้วเราก็รู้ว่าฝรั่งยืนแบบนั้นทำไม...เมื่อชายหนุ่มคนนึงปรากฏตัวขึ้น...เราก็เดาว่าอาจทำงานร่วมกัน
รถไฟก็ออกเดินทางต่อไป
รถไฟก็แล่นมาถึงสถานีรถไฟอื่นๆ ไปเรื่อยๆ
ฝรั่งก็ยังชอบยื่นหัวออกไปนอกรถไฟอยู่ดี อาจจะยื่นหัวออกไปมองหาอะไรแบบข้อมูลหรือสำรวจอะไรก็ได้...ก็เดาเอาเพราะเหมือนมาเจอผู้ชายคนนี้แล้วมาทำงานกัน
หันไปอีกด้านเราก็เจอภาพกราฟฟิตี้น่ารักๆ อยู่บนกำแพง
รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ ก็เจอกองไฟอีก
รถไฟแล่นไปจนประมาณ 21.19 น. เราก็เห็นตึกสูงๆ ไกลๆ...เหมือนกำลังวิ่งเข้าเมืองใหญ่...ก็เดาว่าถึงสถานีขอนแก่นแล้ว
มีเสาสูงๆ ที่มีไฟสีแดงๆ ด้วย
เมืองที่มีตึกสูงๆ มากมาย
แล่นใกล้สถานีขอนแก่นไปเรื่อยๆ
21.23 น. ถึงสถานีขอนแก่น
21.59 น. ถึงสถานีบ้านไผ่...ฝรั่งลุกขึ้นไปส่งเพื่อนร่วมงานลงที่สถานีนี้
4 ทุ่มเศษ...คนอื่นก็นอนๆ...เราก็นอนบ้างใช้เป้ต่างหมอนนอน
22.43 น. ถึงสถานีหนองบัวลาย
รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ เราก็นอนบ้าง ลุกบ้าง...นอนบนโบกี้รถไฟชั้น 3 ไม่ได้สบายอะไร..คนอื่นไม่รู้แต่เรานอนไม่หลับ
23.01 น. น่าจะสถานีหนองบ้วใหญ่นะ...ป้ายมันไกลๆ
รถไฟแล่นต่อไปเรื่อยๆ
23.08 น. นอนๆ ไปอากาศหนาวก็ลุกมาดึงหน้าต่างขึ้น....
23.43 น. อากาศก็ยังหนาวอยู่ดีก็ลุกมาปิดหน้าต่างขึ้นอีก..เกรงใจป้าตรงข้ามด้วย...ความจริงแกอาจอยากปิดหน้าต่างก็ได้...แต่เห็นเราปัญหามากตอนจะออกจากอุดรธานีที่จะเปิดหน้าต่างให้ได้
ความจริงเราอยากปิดพัดลมมาก แต่ที่เปิด - ปิด ไม่ได้อยู่ฝั่งเรานั่งแต่อยู่อีกฝั่งนึงเลยไม่กล้า เพราะคนฝั่งนั้นอาจอยากเปิดพัดลมก็ได้..เราก็เลยแค่มองๆ ไม่กล้าไปปิดพัดลม
คนอื่นก็นอนหลับกันไป...บางคนมีผ้าปิดหน้าเพราะแสงอาจแยงตาทำให้นอนไม่หลับ
หลังจากโง่มานานก็นึกขึ้นได้ว่ามีถุงเท้าอยู่ในเป้...คือทิ้งไว้นานแล้วไม่ได้ซักประมาณ 3 เดือนก่อน...แล้วขี้เกียจเอามาซักก็ทิ้งไว้ในเป้...คือหนาวมาตั้งนานเพิ่งนึกออก
ส่วนผ้าห่มคือไม่มี...เราก็นึกถึงเสื้อยีนตัวที่เราใส่มาจากกทม. คือตัวมันใหญ่ เนื้อที่ผ้าเยอะเอามาห่มได้ นั่งโง่หนาวมาตั้งนานเพิ่งนึกออก
คนอื่นก็นอนๆ กันไป
รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ แล้วมาจอดตรงนี้นานมาก
ทุกข์ทรมานบนรถไฟแบบชีวิตอนาถา...เมื่อไหร่จะถึงกทม. สักที...อยากอาบน้ำมาก
ตอนตี 4.25 น. เราก็ร้อนเลยดึงหน้าต่างลง....หลายคนบนรถไฟก็ตื่นนั่งชมวิวไปเรื่อยๆ
ตี 5 .37 น. ที่ถ่ายภาพนี้....หลายคนก็ตื่นขึ้นมา...ความจริงตามกำหนดการในตั๋วต้องถึงสถานีกรุงเทพฯ ตอนตี 5.45 น.
ภาพนี้ตี 5.45 น. เข้าสู่สถานีหัวลำโพงคือตรงเวลาอ่ะ
ตอนลงจากรถไฟ....สิ่งแรกที่คิดคือ...ในที่สุดก็รอดชีวิตมาได้กับการเดินทางที่ยาวนานมาก
เดินไปรอ 113 ที่ป้ายข้างสถานีรถไฟ...แต่พอไปยืนมองๆ ไม่เห็น 113 จอดอยู่ตามที่รถเมล์จอดก็ไม่รู้อีกนานแค่ไหนก็เลยไปรอ 73 หรือ 40 ที่ป้ายแถว MRT หัวลำโพงแทน
ร้านกาแฟแถวป้ายรถเมล์คือขายดีมาก...ลูกค้าเพียบ...ราคาทองจำนำนี่ก็ถือว่าราคาดีมั้ง..ราคาทองตอนนี้คือขึ้น?
หมาและเจ้าของที่รักกัน
สุดท้ายไป 73 แล้วไปต่อรถแถว MRT พระราม 9 ก็ไปถึงตอน 6 โมงกว่า..จะรอ 514 แต่ไม่มาก็เลยต้องเดินอ้อมข้างๆ ฟอร์จูนไปป้ายรถเมล์ที่ไกลแสนไกลเพื่อเพิ่มโอกาสรอรถคือ 168 และ 514...ซึ่ง 168 ผ่านมา 2 คันไปแล้วหยุดแค่หน้าราม ส่วน 514 นี่น่าจะไม่พ้นรัชดา
อยากกลับบ้านมาก อยากอาบน้ำ...แต่รถติดมาก...ติดทั้งที่พระราม 9...ติดทั้งหน้าราม...และแยกลำสาลี อาจจะคิดว่าเพราะสร้างรถไฟฟ้า แต่เคยมีลุงคนนึงเคยบอกว่าก่อนมีสะพานข้ามแยกลำสาลี ตรงนี้เรียก ลำสาหัส เพราะรถติดมาก แปลว่าเมื่อ 20 ปีก่อนก็คือติดนี่แหละ...
ตอนนั่งรถก็หลับเอนตัวไปมาจะไปชนเจ๊ข้างๆ ไม่รู้แกรำคาญมากมั้ย แต่ง่วงมากและรถก็ติดมาก...พอพ้นแยกลำสาลีที่มีจุดกั้นทำรถไฟฟ้าแบบซิกแซก...รถดันไม่ติด..ไปติดที่แยกบ้านม้าอีกช่วงแล้ววิ่งได้ตลอด....แถวบ้านก็คึกคักกันตั้งแต่หน้าหมู่บ้าน...คนมาซื้อของ...พูดคุย...จ้องมองกันไปมา...เราก็เดินแบบไม่แน่ใจอะไรสักอย่างแต่ก็เดินผ่านไป...แบบคงคิดไปเอง...พอไปถึงกลางหมู่บ้านเจอเจ๊สาวน้อยคนนึงเดินช้ามาก...คือจะช้าไปไหนคะ...ซอมบี้เกิร์ล...เดินอ่อยผู้ชายอยู่เหรอ...หันไปพูดกับเขาซิ....ก็มีเฮีย..เจ๊...และคนอีกคนนั่งสุมหัวกันอยู่เราก็เดินไปขนาบข้างซ้ายมือ...เดินช้าๆ เหมือนกัน...อาเฮียก็พูด..."...." เราก็ได้ยินแหละแต่อาจไม่ได้หมายถึงเรา...คิดเข้าข้างตัวเองไม่ดี...อาจพูดถึงน้องคนนี้ก็ได้หรือคนอื่นที่มาข้างหลังเราน้องเขาก็ยังเดินช้าต่อไปจนพ้นซอย..แล้วหันมารอเราเดินไปเพื่อเลี้ยวเข้าซอยไม่ก็เข้าร้าน...ก็ไม่มีใครแซงใครไปอ่ะนะ...เราก็กลับบ้านไป...
มาถึงบ้านก็หยิบไข่ต้ม 3 ฟองที่ได้จากคนแจกที่คำชะโนด...ต้องมีซอสด้วยถึงกินได้
ไปขอพระคำชะโนด...เขาบอกไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนต้องมีศรัทธา...แต่เราไม่รู้ดิ...ผิดหวังมาเยอะและพลาดโอกาสมาเยอะเพราะตัวเอง...และตกงานเป็นปีก็ไม่คิดจะหางานได้หรอก...ประสาทกินกับชีวิต...ในชีวิตก็เจอทั้งคนที่ดีกับเรา...เฉยๆ กับเราและเฮี้ยกับเรา...แบบทำเราคิดมาก ประสาทกิน ก็แช่งก็ด่าไปในใจ....วันนี้ (27 JAN 2020) เดินเข้าหมู่บ้าน ก็เจอมอไซด์บีบแตรจะเลี้ยวเข้าซอย แต่เราเดินข้างหน้าก็ไม่รู้ไงว่าจะเลี้ยวหรือจะตรงนรกไรก็หงุดหงิดและมาเจอมอไซด์อีกคันแว๊นมาพร้อมคุยโทรศัพท์เป็นวัยรุ่นหน้าเหี้ยม เราจะหลบ เขาก็จะหลบทางที่เราหลบ กว่าจะพ้นกัน...เราก็เดินๆ ไปจนต้องข้ามฝั่งเข้าซอยก็เลยหันไปมองตรงกลางถนน..นึกถึงมอไซด์เมื่อกี้แล้วพูด...รถคว่ำ...คอขาด
ชีวิตก็ยังตกงานต่อไป....เราว่าในชีวิตเราก็เจอพวกคนที่ทำเราทุกข์ใจคิดมาก..ทั้งสีหน้า..การมองหรืออะไรต่อไร...ที่ทำเราไม่พอใจแต่ทำไรไม่ได้...และคนที่ทำไม่ดีกับเรา..เราพูดไป..เขาก็บอกไม่ได้ทำไรแบบนั้นก็ได้...เราก็เลยคิดในใจ..ถ้าเราคิดไปเองขอให้ตายโหงใน 7 วัน แต่ถ้าไม่ใช่ขอให้ถ้ามีลูกคนแรกขอให้แท้ง...หรือเมียแท้ง...ถ้ามีลูกแล้วขอให้ตกรุ่นหลาน...ถ้าไม่มีลูกก็คนที่รัก...ก็บ้าแหละ..แบบใครจะยุ่งกับเรา..อย่างเรามีใครยุ่งด้วย...แต่หลายอย่างในชีวิตที่หงุดหงิดและผิดหวัง...และเราอารมณ์ไม่ดีมากๆ...นิ่งๆ เฉยๆ...จะเป็นจะตาย...แต่ไม่ได้ไรกับใคร..คือใครดีกับเรา..เราทำไม่ดีใส่...เรามาคิดทีหลังก็เสียใจ...แบบไม่ได้ตั้งใจหรือคิดไม่ทัน...แต่ใครไม่ดีกับเรา...เราก็ด่าก็แช่งนั่นแหละ...เราแบบคงบาปหนามากเลยทำไรไม่เจริญอ่ะแหละ...แบบหาคนเข้าใจเราอ่ะยาก....ใครๆ ก็เข้าใจในมุมตัวเองแล้วทำคนอื่นประสาทกิน...แต่เราก็เหมือนกันแหละ...ใครๆ ก็คิดและเข้าใจอะไรในมุมตัวเองเท่านั้น
ตอนแรกคิดจะไปคิชฌกูฏวันที่ 27 มกราคมแต่ไม่แน่ใจเพราะไปขอพรนี่เสียเงินแค่ค่าเดินทางเกือบพันบาท ค่ารถตู้ 590 บาทและค่าขึ้นเขาอีก 210 บาทแบบไป - กลับ...ซึ่งเราตกงานอยู่...และนึกถึงปีที่แล้วเราไปคือสมหวังมีงานทำมั้ย...รอถึงกลางปีนู้นและอยู่ไม่นาน...แต่เราก็ยอมรับว่าเราก็ทำพลาดหลายอย่างแหละ...แบบก็อาจทำไม่ได้หรือพลาดโอกาสไรไปเอง...ซึ่งก็ผ่านมาแล้ว...เราก็ไม่รู้ตายเมื่อไหร่เหมือนกัน...ชีวิตเจอคนดีกับเราก็ดี...เจอคนเฮี้ยกับเรา..เข้าใจเราผิดก็ด่าก็แช่งไป...ชาตินี้ไม่ได้..ทำไรไม่ได้ก็ชาติต่อไปหรือลูกหลานเขา...เวรกรรม...เราทำไรไม่ดี..ก็พบเจอเวรกรรมเหมือนกัน...ชีวิตเรามีความสุขตรงไหนตอนนี้..ทำไรไม่ประสบความสำเร็จ...ล่มจมและผิดหวัง...แม้หลายๆ อย่างคือพลาดเอง และหลายอย่างพูดไปก็เหมือนคิดเข้าตัวเองให้คนอื่นด่าอีกนั่นแหละ
"สรุปตกงาน ไม่มีจะกินต่อไป"
"หลายอย่างเราอาจผิดหรือโง่หรือคิดไม่ทันเองทำให้พลาดอะไรหลายๆ อย่างไป
และย้อนไปแก้ไขไม่ได้ก็ต้องยอมรับความจริง ไม่เราก็คิดเข้าข้างตัวเองแหละ
แต่ถ้าเราทำพลาดเองทำให้ชีวิตเป็นแบบนี้เราก็คงได้แต่บอกว่าเสียใจจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ไปยุ่งไรกับใคร"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in