เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My StoriesJirattipat Tengamnuay
เมื่อฉันว่าง ตกงาน ส่องตัวเงินตัวทองแก้เครียดที่สวนรถไฟ
  • 16 ธันวาคม 2562: บันทึกแบบไม่มีอะไรสักอย่าง แค่อยากพิมพ์เพราะเบื่อชีวิต, เครียดและไม่รู้ทำอะไร

    เบื่อชีวิตมากเพราะตกงาน ไม่รู้จะทำอะไร...ก็มีบ้างที่คิดถึงงานเก่าๆ ที่ผ่านมา...หรือโอกาสของชีวิตในเรื่องงานในอดีต...แต่ก็รู้ว่าคิดไปก็เท่านั้นเพราะมันผ่านไปแล้ว...คนตกงานเยอะแยะ...เตะฝุ่นมากมายแต่คนมีเงินก็มีเงินนะแม้เขาบอกเศรษฐกิจแย่...ก็ไม่คิดจะหางานได้อีกหรอกเลยใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย...เคยคิดก็ใช้ชีวิต...พอเงินหมดก็จะได้ตาย..แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นนี่ดิ...คือทำไมต้องเป็นเราที่ต้องตายด้วยแต่นานาจิตตัง...คือตัวเองก็ไม่ใช่คนมีตัวตนอะไรในสังคมหรอก...แบบจืดจางหายไปในกลุ่มคนและสายลมเลยแหละ...แต่ก็ไม่อยากอยู่ภายใต้ความคิด, ความเข้าใจและคำพูดคนอื่นเหมือนกัน...ก็ตกงานจริงๆ มาปีเศษแล้ว...ส่วนงานที่เคยได้ทำในปีนี้เราจะไม่นับ...เพราะนับไปก็ไม่ได้ไรขึ้นมา...แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป...เพราะมันก็ผ่านไปแล้ว...แล้วในชีวิตเรา...เราเองก็ไม่ได้รู้จักใครด้วย...อยู่เงียบๆ คนเดียว...มันอาจเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่เหมือนดึงใครต่อใครเข้ามาหมุนรอบแบบใกล้กันเข้ามา...แต่พอเวลาผ่านไป...ก็เหมือนกระจัดกระจายหายไป...แต่หลายอย่างเราก็ทำตัวเองด้วยแหละ...เราเองก็ไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน ก็ได้แค่นึกถึงแค่นั้น

    ตอนแรกว่าจะไปไหว้พระแถวสนามหลวงหรือไปอยุธยาเพื่อเก็บที่ที่ความจริงเราไปมาแล้วแต่พอเอารูปลงฮาร์ดดิสตัวนอก...ไฟล์ดันเจ๊ง...รูปหายเกลี้ยง....เลยว่าจะไปถ่ายภาพใหม่...และรถไฟไปอยุธยาแบบธรรมดาไป - กลับรวม 30 บาท...ให้ความรู้สึกถูกกว่านั่งรถเมล์แบบรถแอร์ในกรุงเทพฯ...ความจริงเวลาเราไปไหน...ยังนึกถึงคนคนหนึ่งที่ตะโกนเหมือนมาที่เราว่า..."จะไปไหนอีก"....แต่เสียงคือไม่พอใจนะ...ความจริงอาจมีไรก่อนหน้านั้น...ตอนนั้นเช้ามืดมากๆ เราได้ยิน...แต่เราพวกรู้ตัวและคิดช้า...ความจริงเราควรลงจากรถที่เพิ่งก้าวขึ้นตอนนั้นเพราะอยากรู้ว่าใคร....เพราะตอนนั้นมืดมากๆ...เห็นแค่เค้าโครงเงาสีดำอยู่ใต้สะพานลอย...คาใจมาตั้งนานแล้วแต่รู้ไปก็เท่านั้น...ซึ่งความจริงเราควรพูดถึงเขามั้ย...ก็ไม่...เพราะเขาอาจจำคนผิด...และพอพูดไป...คนอื่นอาจเข้าใจผิดว่า...อุ้ย...เรานึกถึงเพราะมีอะไรในนั้นเหรอ...??...แค่ชีวิตเรามีเรื่องไรบางอย่าง....การนึกถึงก็เหมือนเรานึกถึงคนอื่นที่เหมือนมีบางช่วงเคยดีต่อกัน...ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้เลยเพราะเราไม่อยากโดนเข้าใจผิดหรือนินทา...มันไม่ดีต่อสุขภาพจิตเรา...หลายๆ ครั้ง...เราก็คิดว่าเมื่อไหร่จะตายไปสักทีในเรื่องงาน...ดังนั้นเรื่องอะไรต่อไรแนวนี้...คือเราก็แค่เก็บไว้ในใจและความทรงจำ...เราไม่ได้รู้จักใครใช่มั้ย...เรื่องของเราก็อาจไม่เกี่ยวกับใครที่ต้องรับรู้...ในชีวิตก็เจอทั้งเรื่องแย่ๆ จากคนอื่นและดีๆ จากคนอื่นแหละ...ก็เมื่อไหร่จะตายไปสักที...ก็ทำแต่บุญไหว้พระ...แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางออกแต่แค่ไม่รู้จะทำอะไรกับเรื่องงานแค่นั้น...เบื่อชีวิต...เบื่อสิ่งที่เจอ หลายอย่าง...เราก็เหมือนมีโอกาสหรือมีไรดีดีจากคนอื่นนะ...แต่เราไม่สามารถคว้าหรือรักษามันเอาไว้ได้เลยก็คงเพราะตัวเราเองแหละ...แต่งานก็คิดว่าหาไม่ได้จริงๆ...ส่วนงานที่เคยได้และทำอยู่ในช่วงเวลาน้อยมากๆ...มันก็มีเหตุผลว่าทำไมเราทำต่อไปไม่ได้หรือต้องออก...แต่เราเป็นบ้าอ่ะเรื่องจริง....แต่เราบอกว่าตัวเองบ้าได้...แต่คนอื่นว่าเราแบบนั้น...เราก็จะแช่งให้ลูกเขาเป็นบ้าเช่นกัน....แต่ก็อย่างที่บอก เราเป็นคนจืดจางไม่มีตัวตน...ดังนั้นก็อยู่คนเดียวในโลกนี้อยู่ดี

    ออกจากบ้านมา 10 โมงกว่า...ก็มาทานข้าวหน้าหมู่บ้านก่อน...ร้านเดิมเจ้าประจำ...และเมนูเดิม...ไม่กี่วันก่อน...เจ้าของร้านก็เอาแพ็คตับ - หัวใจไก่มาให้เราดูแบบเหมือนซื้อมาทำให้เรากิน...เพราะเราถามบ่อยว่ามีมั้ย...แต่เขาบอกไม่มีบ่อยๆ เพราะของพวกนี้เก็บไว้นานไม่ได้และอาจไม่ค่อยมีคนสั่งมาทานก็ได้...เราก็เลยเหมือนเกรงใจเขาก็สั่งมาทานแล้วกัน...แต่ความจริงก็เมนูโปรดเรา...โปะไข่ดาวก็ 45 บาท...แต่ร้านนี้มีข้อเสียคือเราบอกใส่ผักน้อยๆ....ซึ่งคือไม่ต้องใส่ผัก...แต่เขาไม่ค่อยฟังชอบใส่ผักมา...อีกร้านที่อยู่ไม่ไกลคือเข้าใจมากกว่า...พอเราบอกผักน้อยๆ...เขาก็ไม่ใส่ผักมา...แต่พอดีเราเป็นลูกค้าประจำร้านนี้ก็เลยมาที่ร้านนี้...แต่อาหารเขาอร่อยจริง...เมนูไหนก็อร่อย


    ทานเสร็จก็เดินเร่ร่อนไปป้ายรถเมล์...ก็ไม่รู้ไปไหนดี...ตอนแรกว่าจะไปประตูน้ำ...คิดถึงปลาที่ Big C ราคา 24 บาท...ทานกับข้าวสวย 6 บาท รวม 30 บาท...สำหรับมื้อหนึ่งคือโอเค...แต่พอ 113 มา...เรากลับไปนึกถึงหัวลำโพงแบบจะไปทำไมก็เลยไม่ได้ไป....พอ 519 มา...คือไปวัดย่านาคแต่ก็เพิ่งไปมา...ช่วง 2 - 3 สัปดาห์ก่อนจะไปไหว้ขอพร....ไปบนเรื่องงานนี่แหละ...รอเท่าไหร่...519...ก็ไม่มาจนเลิกรอแล้วไปสายอื่น...ไปที่อื่นแทน...แต่พอไม่รอ...ก็มาเร็ว...สุดท้ายสาย 8 มา...คือเราจะนั่งสายนี้ไปสวนรถไฟ...ตอนแรกไม่ได้อยากไป...เพราะครั้งล่าสุดมีเรื่องหลายอย่าง...ทั้งรถจักรยานไม่ดี...เสียงดัง....ล้อหลังไม่หมุน...เจอครอบครัวสุขสันต์ขวางเลน...แซงก็ไม่ได้หรือเราปั่นไปชนคน...แบบเราเห็นแล้วว่าเขาเดินเข้าเลนจักรยาน...เราก็เบี่ยงออกขวา....เขากลับตกใจแบบจักรยานมาด้านหลังเลยจะเดินกลับเลนคนเดิน...เราหลบไม่พ้นเลยชนเขา...เราอ่ะล้มกลิ้ง...แต่เขาเหมือนไม่เป็นอะไร...พอตอนเราลุกมานั่งเก็บของ...เขาก็ยืนได้อยู่...สรุปแม้ผ่านไปเกือบ 2 สัปดาห์...คือถ้าถึงวันพุธอ่ะครบ 2 สัปดาห์...เราก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่....แบบเจอเรื่องเครียดกว่าเดิมแน่ๆ...และเรากลัวโดนแบนด้วยแบบปั่นเร็วเป็นพักๆ...ไม่ค่อยหยุดให้คน..คือไม่ได้จะไปชนเขา...ถ้าเห็นก็เบี่ยงออกไปแค่นั้น....ถ้าเขาจะเดินไปตามทางเขาหรือจักรยานก็ไม่ได้จะชน...ซอกแซกไปตามทาง...แต่คนอื่นก็เอาแต่ใจและเอาแต่ตัวเองทั้งนั้นแหละ...เคยมีคนพูดว่าเราเห็นแก่ตัว...แต่ลูกเขาปั่นขวางทางแบบซ้ายก็ไป...ขวาก็จะไป...ตรงกลางก็จะอยู่...หรือครอบครัวที่ปั่น 2 เลนจักรยาน...คนอื่นก็ไปไม่ได้...หรืออัดคลิป...คือลูกน่ารักอ่ะ...แต่คนอื่นคือ...ขอทางไปหน่อยค่ะ...ปั่นช้าๆ เพราะแซงไปให้พ้นๆ ตรงนี้ไม่ได้มานานแล้ว...สวนรถไฟไม่ใช่สวนสาธารณะในหมู่บ้านส่วนตัว...แต่เราไปอะไรแบบนี้...คนอื่นก็บอก...เห็นแก่ตัวเอาแต่ตัวเองอยู่ดี...แต่ถามจริงเถอะ...แล้วไง...ใครแคร์...ก็ไม่ได้เหมือนจะมีใครสนใจใครอยู่แล้ว...ส่วนใหญ่ถ้าเป็นตัวเองคือไม่ผิดแค่นั้น...ใครจะไปทำอะไรได้

    ถนนลาดพร้าวเป็นเส้นที่ติดมาก...มาถึงตอนประมาณเที่ยงกว่า...ตอนเดินมาเพื่อข้ามสะพานก็คิดๆ เพราะไม่ได้อยากมา...คือใจอยากไปไหว้พระแม่ลักษมี, พระพิฆเนศและพระตรีมูรติแถวประตูน้ำ...แต่ถามไหว้แล้วได้อะไรสมใจมั้ย...ชีวิตก็เตะฝุ่นอยู่ดี...ก็ไม่ได้คาดหวังจะหางานได้จริงๆ อ่ะแหละ...แต่เรื่องของเราก็ไม่ได้เกี่ยวไรกับใคร....ไม่อยากเจ็บปวดจากสังคมและผู้คนอีก


    เดินข้ามสะพานลอยมาก็จะเข้าเขตสวนสาธารณะฝั่งติดเส้นที่ไปจตุจักรก่อน....ก็เดินคิดแบบไม่อยากมาอ่ะ...หลายๆ อย่างที่เจอครั้งล่าสุดไม่ว่าเรื่องจักรยานและเรื่องคน...แต่ก็เดินไปเรื่อยๆ...พอออกประตูเขตสวนฝั่งนี้ก็ข้ามถนนเส้นเล็กๆ ไปสวนรถไฟ...แดดร้อนเพราะเที่ยงๆ...แต่ก็มีคนมาวิ่งหรือมาปั่นจักรยานบ้าง...พวกคนงานที่ดูแลสวนสาธารณะก็เยอะ...ไม่รู้เพราะเข้าหน้าหนาวแบบก็ไม่ได้หนาวหรือเปล่าแต่ใบไม้ร่วงเยอะมาก....เหมือนเยอะกว่าครั้งก่อนๆ ที่มา...ก็ไม่ได้อยากปั่นจักรยาน...แต่ไม่รู้จะไปไหน ครั้งก่อนก็ปัญหากับจักรยานเยอะ...อย่างตอนที่ล้อหลังไม่หมุน...คือเราแค่ปั่นไปเรื่อยๆ...แล้วเหมือนมีเสียงอะไรจากจักรยานตอนเราปั่น...แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร...เพราะคันแรกที่เราเอาไปเปลี่ยนก็เสียงดัง...แต่อยู่ๆ ล้อหลังก็ไม่หมุน...คือถ้าเข็นอาจหมุนบ้าง..แต่พอขึ้นมาปั่นก็ไม่หมุน...ตอนแรกไม่แน่ใจแบบไปปั่นผ่านพวกอะไรเหนียวๆ มั้ย...เราเลยเอนจักรยานลงดูล้อ...แต่ไม่เจออะไร..เลยเข็นเอา...เจอยาม...เขาก็มาช่วยดูและบอกเบรกติดมั้ย...แต่เขาก็ช่วยไม่ได้...พอเข็นไปที่ร้าน....เกือบถึงร้าน...ทีนี้จักรยานคือไม่ไปเลย....ล้อไม่หมุน...แต่ตอนแรก...ถ้าเข็นคือเข็นได้...หมายถึงเราเดินจูงจักรยานไปเรื่อยๆ ได้...เราก็เลยต้องลากจักรยานให้ไปข้างหน้า...พอไปถึงร้าน....คนดูแลบอกล้อเบี้ยว....เจ้าของก็บอกให้เราบอกความจริงว่าไปชนหรือล้มมารึเปล่า...แต่ไม่ได้ชนไง...คือเรายอมรับจริงๆ...ว่าปั่นครั้งก่อนๆ มีล้ม....แต่นานๆ ทีหรือเอาวันนั้นเลยก่อนเรากลับ...ที่เราชนคนที่อยู่ๆ มาตัดหน้าเรา...ขนาดเรากลิ้งไปกับพื้นและจักรยานล้ม...พอลุกขึ้นมาก็ยังปั่นไปคืนร้านได้...แต่ก็แล้วแต่อ่ะ...เพราะเราพูดความจริง


    เดินๆ ไปตามทางในสวนรถไฟเรื่อยๆ...ตอนเที่ยงๆ แดดแรงๆ...ก็มีคนงานมาดูแลสวนอยู่หลายจุด....เราก็มองๆ...ใบไม้ก็ร่วงเยอะ...มองไปบนกิ่งไม้...ก็เห็นแบบมีแค่กิ่งแต่ไร้ใบอยู่หลายต้น....แบบคงหน้าหนาวแล้ว...ใบไม้ก็ร่วง...แต่อากาศคือร้อนเถอะ



    คิดไม่ตกเรื่องจะปั่นจักรยานดีมั้ยเพราะไม่อยากปั่น...ปัญหาเยอะจากครั้งที่แล้ว...เดินเรื่อยเปื่อยมาเจอเก้าอี้ม้านั่งแบบแดดไม่ได้ส่องเยอะแยะ...ก็เลยไปนั่ง...ไม่รู้จะทำไรดี...ฝั่งตรงข้ามมี Union Mall...ตัวห้างไม่ได้ไรแต่เราติดใจเฟรนช์ฟรายส์คลุกบาบีคิว 39 บาทมากกว่า...เงินไม่มีแค่อยากกิน...ความจริงก็นึกถึงงานเก่าแถวนี้ที่หนึ่ง...เงินดีนะ...งานไม่ได้มีไรมากด้วย...แต่มีปัญหาบางอย่าง....และเราก็เป็นบ้าสติไม่ดีด้วยอ่ะแหละ...พูดถึงงานนี้....ครั้งแรกที่มาทำไม่ได้มาที่นี่แต่ไปอีกที่ซึ่งไกลมาก...เลย BTS สุรศักดิ์เข้าซอยไปอีก...แต่บ้านเราอยู่ระหว่างรามคำแหงกับมีนบุรี...ตอนเช้ารถติดมาก...ท่าเรือคือคนเยอะมาก...และพอเดินเข้าไป...แบบตามน้องเข้าไป...เจอผู้ชายผิวคล้ำคนนึงมองเราแบบไม่พอใจจากห้องประชุมที่เป็นกระจก...และพอเราเดินออกจากห้อง....คือที่เราทำเป็นแค่ห้องเล็กๆ ในบริษัทที่ทำงานอีกอย่าง...ไม่เกี่ยวกัน....แบบที่เราทำคือของภรรยาเจ้าของ...ก็เจอผู้หญิงผิวคล้ำคนหนึ่งจ้องเราแบบไม่พอใจ...แต่เราเดินผ่านไม่สนใจ...คือเราเพิ่งเคยเห็นเขาครั้งแรกและไม่ได้มาทำไรกับเขา...แต่คิดอีกอย่างคือสายงานมันก็แคบ...คนนั้นคนนี้รู้จักกัน....คือที่เก่าๆ เราก็มีทำไม่ดีแหละ...แต่ถ้าจะมาจากสาเหตุนั้นทั้งๆ ที่งานที่เราทำแยกกันคนละส่วนไม่มีไรมาเกี่ยวข้องกันเลย...และคนสัมภาษณ์เราคือเจ้าของและภรรยาเจ้าของ...ก็คือไม่มีใครรู้เราจะมา...และเราเป็นใคร...รู้จักกันตอนไหน...คนแบบไม่มีตัวตนจางๆ เป็นวิญญาณอย่างเรา....แต่ถีงมีอะไรก็ไม่ได้รู้จักเราอยู่ดีนั่นแหละ...แต่สรุปก็ไปกับที่นี่ไม่ได้แล้วก็ออก...งานไม่ได้มีไรแต่เราไม่มีความสุขและเป็นบ้าเป็นบอ...แต่เจ้าของและภรรยาก็ดี...ภรรยาเขา 25 เอง...ตั้งใจทำงานมากๆ....แต่เงินลงทุนที่นี่คือของสามีเขาแหละ...แต่มีบางอย่างที่เหมือนเราเดินต่อไปไม่ได้...ก็พูดถึงเพราะบริษัทนั้นอยู่แถวนี้แหละ...ฝั่งเดียวกับ Union Mall..ผ่านมา 6 เดือนแล้ว...เร็วเนอะเวลาที่เสียไป...



    มองดูใบไม้ที่ร่วงเกลื่อนกลาดและมองยอดไม้สูง...บางต้นคือร่วงเยอะ...มองขึ้นไปเห็นแค่กิ่งไม้


    ตอนเดินไปร้านจักรยานก็คิด...แบบครั้งที่แล้วปัญหาเยอะทั้งปั่นแล้วเสียงดัง...เอามาเปลี่ยนคือล้อหลังไม่หมุนซะอย่างงั้น...แล้วโดนคนดูแลร้านผู้หญิงบอกล้อเบี้ยว...เจ้าของก็ถามไปชนหรือล้มให้บอกความจริง...คิดเยอะมาก...ความจริงเดินเข้าประตูที่ตรงไปร้านจักรยานได้เลยแต่ก็เลี้ยวขวาไปอีกทางที่เลียบพวกร้านขายของ...แต่ไม่อยากทานไรเพราะอากาศร้อนมากๆ...สุดท้ายก็ไปร้านจักรยานอยู่ดี...ลูกจ้างผู้ชายก็ดี...เขาก็มาดูแลและลองทดสอบล้อหลังจักรยานให้...ว่าหมุนได้...เราก็ขอบคุณและเกรงใจเขา...คือไม่ได้มาเกือบ 2 สัปดาห์ยังจำได้...แบบมีปัญหาล้อหลังแต่เราว่าเจ้าของร้านผู้หญิงก็จำได้ด้วยแหละ...ส่วนทำไมน่าจำได้ต้องเป็นตอนที่เราไปคืนจักรยาน...แต่พอได้จักรยานมาก็คิดว่าปั่นช้าๆ...คือลูกจ้างชายเขาทดสอบหมุนล้อหลังให้ดูเลยเกรงใจ...แต่ความจริงก็ได้แต่ปั่นช้าแหละ...เพราะพอปั่นเข้าสวน...เสียงดังไปตลอดทาง....แต่เราไม่อยากไปเอาเปลี่ยน...เพราะครั้งที่แล้วที่เจ๊เจ้าของร้านบอกก็ดังทุกคันนั่นแหละ...ก็เลยปั่นต่อไปแบบดังๆ นี่แหละ...อ้อ...จำได้แล้ว...ครั้งที่แล้ว...คันที่ 3 แม้ปั่นได้ดีแต่เบรกไม่ดี...พอกดเบรกแล้วหยุดไม่ค่อยอยู่...แต่คันนี้เบรกโอเคแต่ปั่นไปเสียงดังมาก


    เริ่มปั่นตอน 13.25 น. แดดก็ร้อนแต่ก็ปั่นๆ ไป...เครียดมากกับชีวิต...ปั่นไปก็คิดนู้นนี่...แต่ก็ปั่นช้าๆ เพราะนอกจากเสียงดังตอนปั่นก็ไม่น่าจะปั่นเร็วได้...รอบแรกๆ...ตอนปั่นๆ เจอนกตัวหนึ่งบินผ่านข้างหน้า...ความพิเศษคือสีสวยมาก...สีฟ้า - น้ำเงิน....มันบินไปเกาะที่โคมไฟสูงๆ...เราก็พยายามควานหามือถือมาถ่ายภาพ...แต่มือถือห่วย...กว่าจะเปิดกล้องได้คือกลัวนกจะบินไปแล้ว...แต่ปรากฏมาถ่ายภาพทันตอนที่ยังเกาะโคมไฟอยู่


    หลังจากนั้นไม่ถึง 1 นาที....นกก็บินไป...คือรู้ได้ไงไม่ถึง 1 นาที...เพราะรูปแรกที่เราถ่ายภาพทันกับรูปที่เราถ่ายตอนมันบินเวลาเดียวกัน 13.39 น. ....แต่ปีกสวยมากตอนมันบิน...เราหยุดจักรยานเพื่อขอถ่ายภาพเลย


    ปั่นต่อไปเรื่อยๆ รอบทางที่เขาให้ปั่นก็ย้อนมาทางเดิม...รอบแรกๆ คือเห็นแล้วก็คิดว่าสวยดี...ดอกไม้ร่วงเกลื่อนพื้น...แต่ไม่ได้หยุดถ่ายภาพ...พอมารอบนี้ก็เลยหยุดถ่ายภาพ...แถวศาลเล็กๆ....


    ปั่นต่อไป...แต่ยอมรับมาครั้งนี้เจอตัวเงินตัวทองเยอะมาก...เคยมาตอนช่วงบ่ายๆ แบบสัก บ่าย 1 -2...ก็ไม่ค่อยเจอเหมือนมันหลบแดดนะ...แต่ครั้งนี้เจอเยอะมากๆ ตลอดทางที่ปั่น...และคือเจอแบบระยะใกล้ๆ ขอบทางรถจักรยานหรือบนทางรถจักรยานเลย...มีทั้งตัวเล็ก - ตัวปานกลาง และตัวใหญ่....ก็มาคิดอาจเพราะวันนี้คนงานมาดูแลสวนเยอะหรือเปล่าเพราะวันนี้ใบไม้และดอกไม้ร่วงเยอะมาก...ตัวมันก็เลยออกจากที่หลบแดดมาข้างนอกกัน...แต่ตอนเจอแรกๆ ก็ไม่ได้ถ่ายภาพ...ตกใจมากกว่าถ้าอยู่ๆ โผล่ออกมาและแบบใกล้ทางจักรยานมากๆ...อย่างช่วงผ่านประตูใหญ่จะเข้าช่วงเลนจักรยานสู่ดงต้นไม้ 2 ข้างทางก็เจอแบบตัวเงินตัวทองขนาดกลาง 2 ตัว...หรือระหว่างทางที่ปั่นในดงต้นไม้ 2 ข้างทางก็เจอแบบตัวเล็กๆ ทั้ง 2 ฝั่ง แบบฝั่งละตัว...มีโผล่ออกมาจากพุ่มไม้มาที่เลนจักรยานแต่เราก็ปั่นผ่านไป...คือแต่ก่อนตัวเล็กๆ แต่ตอนนี้เติบโตออกมาเผ่นพล่านเยอะขึ้น....พอปั่นมาถึงส่วนดงต้นไม้ครึ้ม 2 ข้างทางอีกจุดที่ต้องปั่นข้ามสะพานข้ามบึง...ก็มาเจอแบบตัวขนาดกลาง 2 ตัวทางฝั่งขวามือ...ส่วนตัวฝั่งซ้ายที่หลบอยู่ในดงต้นไม้คือตัวใหญ่....ยอมรับกลัวเพราะใกล้มากแต่ก็ปั่นผ่านไป...ความจริงแล้วแต่ใจเราด้วย...เคยมาปั่นๆ เจอตัวเงินตัวมองเดินผ่านหน้าก็หยุดถ่ายภาพ...หรือเห็นข้างทางก็มีจอดจักรยานลงไปถ่ายภาพเหมือนกัน...แต่ช่วงนี้จิตใจแย่อ่อนแอ...เลยอาจกลัวตอนมันมาใกล้ๆ...(แต่แค่ช่วงตอนนั้นแหละ)...แต่พอปั่นเลยไปหน่อยก็หยุดถ่ายภาพ...แต่ก็กลัวแบบมีตัวอื่นโผล่ออกมาใกล้ๆ เหมือนกันเพราะเป็นดงต้นไม้


    ปั่นไปเรื่อยๆ แบบเครียดมาก...ตกงานและไม่มีเงิน...แต่ไม่น่าจะหางานได้อีกแล้วแหละ...แต่ก็ไม่อยากคิดถึงงานในอดีตมาก...เพราะผ่านไปแล้ว...และหลายอย่างเราก็ทำดีที่สุดแล้ว....อย่างที่ล่าสุดประสาทกินมากกว่าตอนตกงานอีก...แต่ความคิดและความเข้าใจคนคืออย่างไรก็ได้...ไม่ต้องสนความคิดของคนอื่นจะอย่างไร...แต่ความจริงเรายอมรับไม่ได้มีความสามารถจริงๆ แหละ...ทำไม่ได้อ่ะแหละ....แต่ไม่ใช่แค่ที่ล่าสุด...เรายังคิดถึงที่เก่าๆ ที่อื่นด้วย...โดยเฉพาะที่ที่อยู่แถวนี้ที่อยู่ฝั่งเดียวกับ Union Mall แม้ผ่านมา 6 เดือนแล้ว...อยากนอนมองฟ้า...คิดนั่นคิดนี่...ตอนแรกว่าจะไปเก้าอี้...แต่ปั่นผ่านเห็นแต่แดดส่อง ไม่อย่างนั้นก็ต้องข้ามไปที่เลนคนเดิน...ก็มาเห็นแบบสแตนเชียร์ริมสนามกีฬา...แต่ยังไม่มีคนมาเล่นกีฬา...เพราะเพิ่งบ่าย 2...ส่องๆ ดูเห็นมีคนนอนอยู่น่าจะคนงาน...แต่ตอนปั่นๆ ผ่านจะไปที่เลี้ยวกลับก็มีเด็กวัยรุ่นมาสวีทกันอยู่ตรงม้านั่ง....เราก็ปั่นเข้าไป...แล้วจอดจักรยานแถวๆ สแตนเชียร์



    เดินขึ้นไปนั่งบนสแตนเชียร์...ตอนแรกจะนอนมองฟ้า..แต่สกปรก...ไม่มีเสื่อมารองด้วย...มองคนนอนอยู่ก่อนก็นอนไป...เราก็มองข้างหน้าที่สนามกีฬาที่ว่างเปล่าแล้วก็เล่นมือถือฆ่าเวลา....ไม่รู้ทำไร...ไม่รู้ไปไหน...คิดถึงแต่เรื่องเก่าเก่าที่จบและผ่านไปแล้ว...อนาคตก็ไม่มี...และไม่มีเรื่องให้คาดหวังอะไร


    นั่งมองไปฝั่งตรงข้ามคือ Union Mall...นึกถึงเฟรนช์ฟรายส์คลุกบาบีคิว 39 บาท...แต่เดินไปไกลแม้มองจากตรงนี้เห็นตึกชัดเจน...แต่ต้องเดินข้ามถนนไปอีกแบบ 2 สะพานลอย


    นั่งเล่นมือถือสักพักก็ปั่นต่อไป...ปั่นมาอีกรอบที่เข้าสู่ดงต้นไม้ 2 ข้างทางใกล้ประตูใหญ่ก็เจอจักรยานจอดขวาง 2 เลนอยู่...แต่มองผ่านไปตามช่องว่างเราเห็นตัวเงินตัวทองตัวไม่ใหญ่มาก...คือผู้ชาย 2 คนที่จอดขวางก็บังสายตาไว้แหละ..แต่มีบางช่วงขยับ..ก็เลยเห็นเพราะตัวเงินตัวทองตัวไม่ใหญ่มากและอยู่บนพื้น...และเห็นมีเด็กข้างหน้าด้วย...ซึ่งก็ดีแล้วที่เราเห็นเพราะปกติขวางทางแบบนี้แล้วไม่ยอมไปไหนสักที...เราจะปั่นแทรกไปเพราะความจริงมีช่องว่างที่ปั่นแซงได้ทางฝั่งขวา...แต่นี่เห็นก่อนว่ามีตัวเงินตัวทองอยู่ข้างหน้า...เราเลยหยุดรออยู่ตรงนั้น


    สักพักพวกเขาก็ลงจูงจักรยานเดิน...เราก็มองแบบงง...เพราะปั่นผ่านไป 1 วินาทีก็จบ...และตัวเงินตัวทองหายเข้าไปในพุ่มไม้ฝั่งขวาแล้ว...ก็ไม่เข้าใจอ่ะนะ...แต่ก็รอจนพวกเขาขึ้นจักรยานปั่นไปแล้วค่อยปั่นจากจุดที่หยุด...จะได้ไม่ใกล้กันมากเกินไปเพราะมาเป็นครอบครัวหลายคน...เห็นมีผู้หญิงอ้วนๆ ปั่นกลับมาเหมือนถามว่าทำไมไม่ตามไป



    ปั่นไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดดงต้นไม้ 2 ข้างทางก็เกือบปั่นเหยียบหางตัวเงินตัวมอง...คือปลายหางมันเล็กมากและตรงนั้นก็ดูมืดๆ หน่อย...แต่ถัดจากตรงนั้นมานิดถ้ามองไปฝั่งซ้ายก็จะเจอตัวเงินตัวทองแบบขนาดใหญ่อีกตัวนอนหลบใต้ดงไม้....ก็รีบปั่นผ่านไป...แต่ลองมองฝั่งขวาที่เคยเห็นมีตัวขนาดกลาง 2 ตัวหลบเข้าไป...มองรอบนี้ก็ไม่เจอ...ก็รีบหันไปถ่ายภาพแล้วปั่นออกจากตรงนั้น


    ปั่นไปเรื่อยๆ ก็คิดว่าจะกลับดีมั้ย...ตอนนั้นเพิ่งบ่าย 3 โมง...และหิวแต่ไม่รู้กินไร...ตอนปั่นเข้าเขตที่มีสนามกีฬาอยู่ฝั่งขวามือ...ก็ปั่นตามคู่แม่ลูก 2 คู่...แต่แซงไม่ได้...เพราะจักรยานห่วย...แค่ปั่นก็เสียงดังตลอดเวลา...พอถึงจุดเลี้ยว...คู่แม่ลูก 2 คู่ก็ไปฝั่งขวา...เราก็เลยเลี้ยวไปฝั่งซ้ายแทน...ซึ่งถ้าตรงไปตามทางก็จะผ่านสวนโมก...ตอนแรกว่าจะไปนั่งชิลๆ...ตรงเก้าอี้ที่มองเห็นทะเลสาบ...แต่ก็หิวเลยว่าจะไปหาไรทานข้างทาง...เพราะเดินข้ามสะพานออกไป...เดินไปฝั่งตรงข้ามเคยเห็นร้านอาหารตามสั่งอยู่...แต่ระหว่างทางก็เจอตัวเงินตัวทองว่ายน้ำ...คือวันนี้มาเจอเยอะมากๆ...แต่ก็เดินผ่านไป...พอมาถึงใกล้สะพานก็ไม่แน่ใจว่าจะจอดจักรยานไว้ตรงไหนถึงปลอดภัย...เพราะต้องเดินออกไปข้างนอก....กลัวหายแม้เคยจอดทิ้งแถวหน้าสวนโมกแล้วไปเข้าห้องน้ำ...ออกมาก็ยังอยู่ก็เถอะ...สุดท้ายก็จอดแอบๆ ไว้ริมสะพานและถ่ายภาพไว้...เผื่อหายคือมีหลักฐานว่าครั้งสุดท้ายที่เจอ...เราจอดไว้ตรงไหน


    เดินออกไปข้างนอกก็มีร้านตามสั่งฝั่งตรงข้ามจริงแหละ...แบบร้านข้างทาง...แต่แดดร้อนมาก...เลยไม่อยากทานไร...เลยเดินไป 7/11 แทน...ตอนแรกว่าจะซื้อขนมถุงๆ...ก็ 20 บาท...คือหมดโปรตอนนั้น 13 บาท...มีป้ายติดอยู่แต่ดูวันที่คือหมดเขตแล้ว...ก็มาคิดและยังไงดี...ใจอยากกินเฟรนช์ฟรายส์คลุกบาบีคิวที่ Union Mall มากกว่า แบบราคา 39 บาท...ถ้าซื้อขนมถุงอีกก็ต้องบวกเพิ่มไป 20 บาท...เลยตัดสินใจเดินกลับไปที่จักรยาน...และคิดว่าปั่นรอบนี้เสร็จก็จะกลับแล้ว...คือเครียดมากๆ...ยิ่งปั่นก็ยิ่งคิดเรื่องงานและเรื่องอดีต...แบบโอกาสที่พลาดไป...หรือสิ่งต่างๆ...ที่เราไม่แน่ใจว่าทำผิดพลาดไปมั้ย...แต่ตอนนั้นก็มีเหตุผลของเรา...ยิ่งคิดยิ่งเครียดก็เลยจะกลับแหละ

    ปั่นมาเรื่อยๆ....ก็เจอตัวเงินตัวทองในบางจุด...ก็ไม่ได้สนใจ...จนออกจากดงต้นไม้จุดที่ 2 ใกล้ทะเลสาบก็เจอตัวเงินตัวทองหันหลัง...ก็ไม่ได้สนใจ...ปั่นผ่านไป...แต่มาชะงักตอนเห็นว่ามันทำอะไร...คือกำลังกินปลาตัวใหญ่...ที่คงไปเอาขึ้นมาจากในน้ำ...เคยเห็นตัวเงินตัวทองกินปลาแหละ...แต่ตอนนั้นอยู่ฝั่งตรงข้ามที่มีคลองกั้น...และมีรั้วกั้นเราจากน้ำอีกที...ส่วนอีกครั้งคือตัวเงินตัวทองไล่คาบปลาในน้ำ...แต่เราว่าปลามันน่าจะตายไปแล้วตอนเราเห็น...คืออาจตายก่อนตัวเงินตัวทองมาเจอด้วยซ้ำ...เพราะความจริงมีปลาอีกตัวที่ว่ายอยู่...ที่จำได้คือหางสีสันสวย...แต่รอดนะตัวนั้น....ตัวเงินตัวทองไปคาบปลาตาย...เราก็มองว่ามันจะทำไงต่อ...แต่สุดท้ายมันก็ปล่อย...ซึ่งตอนที่เห็นก็เป็นจุดที่มีรั้วกั้นเราจากน้ำเหมือนกัน


    เราก็เลยหยุดดูมันกินปลา...ตอนแรกที่ปั่นผ่านมาคือกลัว...แต่พอมายืนดูเรื่อยๆ ก็ชิน...มีตัวเงินตัวทองอีกตัวเดินมาใกล้ๆ ด้วย...เราก็ยืนมองมันกินปลาไปเรื่อยๆ...แก้เครียด...ตอนแรกว่าจะกลับแล้ว...แต่ยืนดูมันก็แก้เครียดดี...แบบชีวิตสัตว์โลก...ความจริงเราอยากไปส่องสัตว์ที่แอฟริกา...แต่ไม่มีทั้งงานและเงินแหละ...และคงไม่มีวันได้ไปอีกแล้วแหละในชีวิตนี้


    ยืนมองไป 3 นาทีก็มีลุงคนนึงปั่นจักรยานผ่านมาเลยเข้ามามอง...จำไม่ได้ว่าลุงพูดไร...แต่ใจเราตอนแรกคืออย่าเข้าใกล้และส่งเสียงดังรบกวนมัน...แบบส่องสัตว์แบบเงียบๆ...แต่แป๊ปเดียว...ลุงเขาก็ไป...แต่ก่อนที่ลุงเขาจะไป...ตัวเงินตัวทองคงได้ยินเสียงเลยหันหลังไปกินปลาเงียบๆ...แต่ตัวเงินตัวทองอีกตัวก็เดินเข้ามาแบบหยุดแบบใกล้เรื่อยๆ 


    สักพักก็มีลุงอีกคนมาถามเราว่า..."ทะเลาะกันเหรอ"...เราก็ตอบว่า..."มันกินปลา"...ก็นั่นแหละ...แต่ถ้ามองก็เหมือนอาจจะทะเลาะกันก็ได้เพราะตัวเงินตัวทองเหมือนหันหน้าหากัน...และตัวที่กินปลาหันหลังบังปลาเอาไว้


    แดดมันร้อน...เราเลยถอยจักรยานหลบแดด...ตอนที่ส่องมันกินปลาก็อยู่บนจักรยานนี่แหละ...เพราะความจริงก็ใกล้...เพื่อมันเข้ามาใกล้กว่านี้ก็จะได้ปั่นจากไป...ตอนที่ดูก็มีแก๊งเด็กวัยรุ่นผ่านมา...บางคนหยุดดู...มีคนหนึ่งก็บอกเพื่อนว่าเมื่อกี้เจอตัวใหญ่กว่านี้แล้วก็ปั่นจากไป...เราก็ยืนส่องมันกินปลาไปเรื่อยๆ...แก้เครียด...เพราะไม่รู้จะทำอะไร...ปั่นจักรยานไปก็เครียด...แบบคิดนั่นคิดนี่


    ตอนที่ยืนส่อง...ก็มีช่วงหนึ่งมันยกปลาขึ้น...แต่กล้องมือถือคือห่วย...กว่าจะเปิดกล้องได้...มันก็เอาปลาวางลงเหมือนเดิม...ก็เลยรอจังหวะอีก...เลยเปิดกล้องทิ้งไว้ก็เลยได้ภาพมันยกปลาขึ้นมา...แต่ปลาตัวใหญ่...คือกว่าจะโตเท่านี้ใช้เวลาเท่าไหร่...แล้วก็โดนคาบมากิน


    ความจริงชีวิตสัตว์โลกแหละ...แต่พอมาไล่ดูรูปแล้วอยากอ้วก...แต่ตอนนั้น...เครียด...เลยยืนดูมันกินปลาแก้เครียดแบบไม่รู้สึกไรแค่คิดว่าน่าสนใจดีแค่นั้น...ความจริงมีตอนมันใช้ขาหน้าเหมือนช่วยฉีกหรือจับปลาให้กินง่ายด้วยก็เลยถ่ายภาพไว้


    ตัวเงินตัวทองอีกตัวก็เดินมาใกล้ๆ...แล้วเหมือนเบนออกมาฝั่งเรามอง...ตอนนั้นเหมือนมีเด็กปั่นมาหยุดข้างหลังเราด้วย...เราก็เลยปั่นออกไป...แต่เด็กเหมือนปั่นตาม...ก็เลยหยุดหันมามอง...อาม่าที่คงเป็นย่าเด็กก็บอกเด็กชื่อ เตเต้...หรือตัว ต. สักอย่างให้ปั่นไปได้เลยไม่ต้องหยุด....เด็กก็เลยปั่นทิ้งย่าตัวเองออกไปเลย...เราหยุดแล้วก็มองอยู่...ส่วนการส่องสัตว์...ดูเวลาตอนนั้นคือเราหยุดดูมันกินปลาประมาณ 10 นาทีได้


    ปั่นวนมาอีกรอบ...ตอนเลี้ยวออกจากดงต้นไม้ 2 ข้างทางก็เห็นนกยืนอยู่แบบแสงส่องมาดูสวยดี...แต่ก็ปั่นผ่านไปไม่ได้หยุดถ่ายภาพ...จนมาเจอตัวเงินตัวทองก็เลยหยุดถ่ายภาพ...จุดเด่นรอบนี้อีกอย่างคือ อีกานี่แหละ...กระโดดหยองแหยงรอบๆ ตัวเงินตัวทอง


    พอถ่ายภาพตัวเงินตัวทอง...เราเลยนึกถึงนกเมื่อกี้ที่ยืนให้แดดส่อง...ดูดสวยดีตอนปั่นจักรยานผ่าน...ก็เลยจอดจักรยานแล้วเดินย้อนกลับไป...ตอนเดินก็หันไปมองเพราะทิ้งกระเป๋าเอาไว้...แต่ก็แป๊ปเดียวและไม่ค่อยมีคน...ก็คงไม่มีใครขโมย...แต่ตอนเดินย้อนกลับก็เจอตัวเงินตัวทองอีกตัว...ตัวเล็กตัวนี้...วันนี้ไม่รู้ทำไมคือเจอเยอะมากๆ...ปกติเจอบ้างแต่ไม่เยอะขนาดนี้...แต่เราไม่ได้มานานมั้ย...ก็ไม่นาน...คือแต่ก่อนก็เยอะเท่านี้แหละมั้ง....เพราะตอนนั้นก็ตกงานก็ไม่รู้ทำไร...เลยมาถ่ายภาพตัวเงินตัวทอง...ก็ได้ไปเยอะแหละ...เจอหลายจุดมากกว่าครั้งนี้อีก



    ตัวเงินตัวทองคือเยอะมากอ่ะตรงนี้...แต่ตัวเล็กๆ 


    เดินย้อนกลับไปทางเดิม...คือตัวเงินตัวทองเยอะ..ตัวเล็กๆ ก็เยอะ...แบบขยายพันธุ์กัน



    ตัวเงินตัวทองที่กินปลาตอนนี้ไปอยู่ตรงโคนต้นไม้...มีอีกา 1 - 2 ตัวอยู่รอบๆ...


    มองไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่มีแค่เราที่หยุดดู...มีครอบครัวหนึ่งผ่านมาก็หยุดดู...ตอนแรกนึกว่าต่างชาติแบบฝรั่ง...จีน...ญี่ปุ่น....แต่หลังๆ ได้ยินผู้หญิงพูดภาษาไทยแต่หน้าเขาออกฝรั่งนะ


    อีกาตรงนี้น่าสนใจตั้งแต่เห็นแรกๆ คือกระโดดกระหยองกระแหยง...แต่ไม่ได้ถ่ายคลิปไว้...มองไปเรื่อยๆ ส่วนตัวเงินตัวทองลากปลาออกไปจากโคนต้นไม้ตรงด้านที่เราเห็น...



    ตัวเงินตัวทองอีกตัวก็โผล่ขึ้นมาจากบึง


    หันมาที่ตัวที่กำลังกินปลาอีกรอบก็กำลังตั้งใจกินโดยมีอีกาอยู่ข้างๆ


    ครอบครัวพ่อแม่ลูกก็ยังยืนมองอยู่ไม่ไกล


    ตัวเงินตัวทองก็คาบปลาเดินจากไปเรื่อยๆ...อีกาก็ยังไม่ได้จากไปไหน


    สุดท้ายเราก็รู้ว่าอีกาไม่ใช่แค่มากระโดดกระหยองกระแหยงรอบๆ ตัวเงินตัวทองอย่างเดียว...มันมารอชิ้นปลาที่ตกอยู่ของตัวเงินตัวทอง...เพราะพอคาบได้ก็บินจากไป



    ตอนแรกก็คาบไปยืนเกาะบนต้นไม้แต่แป๊ปเดียวก็บินจากไป



    หันกลับมาที่ตัวเงินตัวทองกำลังคาบปลาเดินจากไปก็เห็นมันเดินไปลิบๆ และมีครอบครัวพ่อแม่ลูกกำลังมองอยู่ไกลๆ 


    หันมามองตัวเงินตัวทองอีกตัวที่เดินมาใกล้ๆ...คือมากินเนื้อปลาที่หล่นนั่นเอง...ไม่รู้จ้องมานานรึยัง และไม่รู้ใช่ตัวเดียวกับรอบที่แล้วที่เราผ่านมาแล้วเจอ 2 ตัวยืนใกล้ๆ กันรึเปล่า


    หันกลับมาที่ตัวที่กินปลาก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว แต่เห็นครอบครัวพ่อแม่ลูกยังอยู่ที่เดิม...ก็ปั่นๆ ไป...แต่ก็ไม่เห็น...จนไปเจออยู่แถวๆ ใกล้ถุงดำเหมือนหลบๆ อยู่


    ปั่นเลยไปหน่อยจะได้เห็นชัดๆ 


    แป๊ปเดียวก็มีรถแบบคนที่ทำงานสวนมาจอดและมีคนเดินมาดู...ถามว่า..."ปลาอะไร"...อีกคนที่เดินมาอีกด้านของเราบอก..."ปลานิล"...แล้วพวกเขาก็ขับรถออกไป...แต่สิ่งที่เราคิดคือ...ตัวใหญ่...เราซื้อปลานิล 24 บาทมาจาก Big C...เพราะถูก...แต่ตัวไม่ใหญ่มาก...ที่ตัวเงินตัวทองกำลังกินคือตัวใหญ่กว่า...แบบไซด์ XL ที่ถ้าจำไม่ผิดน่าจะตัวละ 60 กว่าบาท


    ยืนมองต่อไป...ความจริงอยากอ้วก...แต่ยังไม่อยากปั่นต่อไป...ตอนแรกเหมือนดูแก้เครียดแบบชีวิตสัตว์โลก...แต่นานๆ ไปก็อยากอ้วกเพราะปลายิ่งเละเทะ


    ยืนมองเป็น 10 นาทก็หันมาเห็นนกคาบลูกกลมๆ สีขาวในปากก็เลยถ่ายภาพไว้


    หันมามองอีกทีก็น่ากลัว...ก็ปั่นจากไป...แต่พอปั่นวนมาอีกรอบประมาณสี่โมงครึ่ง...คือมันยังกินปลาอยู่ก็เลยหยุดดูมันนิดนึง...แล้วจากไป...แบบหลายรอบแล้วที่เราปั่นวนๆ มายังกินไม่เสร็จอีกเหรอ


    ปั่นไปเรื่อยๆ...ก็วนไปรอบๆ...จนมาเจอนกปีกสีฟ้า - น้ำเงินอีกตรงแถวจุดเดิม...ก็หยิบมือถือจะมาถ่ายภาพ...แต่ก็ห่วยมือถือตัวเอง...กว่าจะเปิดกล้องได้...จากยืนอยู่ก็บินไปแล้ว...ดีที่ถ่ายภาพทันตอนบิน...เพราะมันจะสวยตอนที่มันบิน...เพราะจะเห็นสีที่ปีกมันชัดๆ 


    ปั่นวนมาก็เจอตัวที่กำลังว่ายน้ำ...ความจริงก่อนหน้านี้ก็เจอ...แบบตัวเล็กๆ นอนข้างทางชิดติดริมเลนจักรยาน...ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจเพราะตัวเล็ก...แต่อยู่ๆ มันขยับแล้วถอย...เราก็ตกใจเบนจักรยานออกนิดนึงเหมือนกัน...หรือที่มีฝรั่งพ่อลูก 3 พาลูกมองไรในน้ำ...ก็คิดว่าตัวเงินตัวทองแหละ...แต่เราก็ไม่ได้หันมอง...ปั่นผ่านไป...ความจริงก็มีตัวว่ายน้ำหลายตัวแต่แค่ปั่นผ่านมองๆ แค่นั้น


    อีกอย่างมาวันนี้คือนึกถึงเรื่องสมองสัตว์แบบไม่มีไรรองรับความคิดแบบหลักฐานหรือผลวิจัย...แต่ปั่นผ่านฝูงนกพิราบ....ก็ชะลอเกือบหยุด...แต่มันก็ไม่ยอมกระจายตัว...บางตัวยังเดินผ่านหน้ารถจักรยานเรา...ทั้งที่เราจะเหยียบมันก็ได้...แต่เราหยุด...เลยเอาไปเทียบกับกระรอกที่เคยเจอ...คือมันวิ่งตัดหน้ารถแต่แบบไกลๆ หน่อย...เราก็เบรก...มันก็หันมองมอง...ต่างคนต่างมอง...แล้วมันก็วิ่งไป...หรืออีกตัว...คือเราเบรกไม่ทันแน่ๆ...อยู่ๆ วิ่งออกจากพุ่มไม้...ใจหล่นวูบ...ตกใจไม่อยากฆ่าสัตว์...แต่มันกลับชะงักแล้ววิ่งกลับพุ่มไม้ไป....ไม่มีผลวิจัยรองรับแต่กระรอกน่าจะฉลาดกว่าหรือไม่นกก็พวกโนสนโนแคร์...ไม่กลัวคนอยากชนก็ชน...ไม่หนี

    ตัวเงินตัวทอง...ถ้ามองรอบๆ ทางที่อยู่ระหว่างบึงและทะเลสาปคือเยอะวันนี้...รอบก่อนรอบที่เราจะกลับนับได้ 4 ตัว...ไม่ไกลกันมาก...แต่แค่ปั่นผ่านแล้วมองข้างทาง....พอปั่นมาอีกรอบเพราะติดใจว่าอยากถ่ายภาพ...แต่ไม่ได้หยุดถ่าย...จะย้อนกลับ...มันก็เลนเดินรถทางเดียวก็เลยปั่นวนมาอีกรอบก็นับได้ 4 ตัวเหมือนเดิม...แต่ตัวกินปลาหายไปนานแล้ว

    ตัวที่ 1 >>>


    ตัวที่ 2  >>>


    ปั่นไปก็เห็นฝรั่งและลูก 3 คนหยุดจักรยานเหมือนมองอะไรอยู่...ซึ่งตัวเงินตัวทองแน่นอน


    ตัวที่ 3  >>>


    ตัวที่ 4  >>>


    5 โมงเย็นหน่อยๆ ก็ออกจากสวนรถไฟเอาจักรยานไปคืน...ปกติกลับดึกแบบเขาให้คืนจักรยานอย่างช้า 18.45 น. ก็กลับตอนใกล้ๆ เวลานั้นแบบเอาให้คุ้ม 30 บาท...แต่วันนี้เครียดมากๆ...และจักรยานปั่นไปก็เสียงดังแบบจะหลุดมั้ยส่วนประกอบและปั่นไม่ขึ้น....แต่พอเอาไปคืน...อีเจ๊เจ้าของเริ่มเลยแบบถามทำไมจักรยานเสียงดังมาก...ลูกจ้างผู้ชายก็มองจากไกลๆ...ทำหน้าเจื่อนๆ...แต่เราก็แค่คืนบัตรเอาบัตรเราคืนไม่พูดอะไร...เบื่อจะพูด...ดังตั้งแต่เริ่มปั่นเข้าสวนแล้ว...แต่เพราะมีปัญหาจากครั้งที่แล้วที่จักรยานเสียงดังเลยเอาไปเปลี่ยนกลับได้คันที่ปั่นแล้วอยู่ดีดี...ล้อหลังไม่หมุนซะงั้น...แล้วเจ๊บอกเองดังทุกคัน...เราเลยไม่เอาไปเปลี่ยนตั้งแต่แรก....ไม่อยากมีปัญหา...คือมาคิดแบบถ้าดังเพราะเราทำพัง..ขอให้เราตายโหงไม่ต้องกลับถึงบ้าน...แต่ถ้าไม่ใช่...เจ๊ตายโหงก่อนถึงบ้านมั้ย...แต่เราคงบ้าและอาฆาตโมโหร้ายเกินไปก็แค่นึกแหละ

    เดินข้ามมา Union Mall...เพื่อเฟรนช์ฟรายส์คลุกบาบีคิว 39 บาท...ก็สั่งปกติ...ร้านก็มีคนรอปกติ...คือขายดีแค่เอาเฟรนช์ฟรายส์มาคลุกๆ รสนั้นรสนี้...มีขนาด S,M,L...พอสั่งแล้วก็เดินไปดูรายการอาหารในศูนย์อาหาร...แต่ราคาก็แพงแม้ 50 - 60 บาท แต่ข้างนอกข้างทางแถวแฮปปี้แลนด์ถูกกว่า...มีก๋วยเตี๋ยวที่ 40 - 45 บาทแต่ไม่อยากกิน....ไปร้านรอบนอกก็มีแบบ 40 บาทแต่เห็นไม่มีคน...ก็สั่งชานมมากิน...แต่พอเดินย้อนกลับมาร้านเฟรนช์ฟรายส์...ก็มีคนรอปกติ...เราก็รอๆ แบบคงยังไม่ถึงคิวเรา...แต่ปรากฏน้องคนทำถามเราจะสั่งอะไร...เราเลยพูดขึ้นมาสั่งไปแล้ว...น้องก็บอกไซส์ S...เราก็บอกขนาดกลาง..คือไซส์ M...ตอนแรกว่าจะหาเพจร้านนี้แล้วไปต่อว่าแบบสั่งๆ ทิ้งไว้ไม่อยากยืนรอพอกลับมาจำไม่ได้...ไม่ใช่มีคนแซงคิวเราไปแล้วนะ...แต่ปรากฏน้องเขาคงมีเฟรนช์ฟรายส์เหลือก็เลยทำให้เรา 


    ความจริงตอนเดินออกจากศูนย์อาหาร...เรามองหาทิชชู่อยู่แต่มันอยู่ตรงจุดที่มีตรงช้อน - ส้อมซึ่งต้องเดินไปอีก...ก็เลยมองไปที่จุดแลกบัตรซื้ออาหาร...เจอผู้หญิงคนหนึ่งมองเราแบบไม่พอใจ...คือไม่รู้เป็นบ้าไร...เห็นแล้วตั้งแต่นั่งโต๊ะไม่ไกลกันเห็นมีเอกสารแบบชีทเย็บเล่มอยู่ข้างหน้า...แต่ไม่ได้สนใจ...คิดแค่หน้าตาดี...แล้วกินต่อ...แต่พอมองเราแบบไม่พอใจ...โกรธก็ไม่รู้เป็นบ้าไรก็ไม่สนใจ...หรือเรายืนบังอะไร...ก็ไม่เพราะยืนหาทิชชู่แป๊ปเดียว...ต่อให้เราเฉยๆ ไม่สนใจอะไร...มาแล้วก็ไป...ก็ต้องเจอคนในสังคมทำไรส้นตรีนให้เราอยากถามว่าเป็นบ้าอะไรอยู่ดี

    เดินข้ามถนนมาขึ้นรถ....ก็ดีได้รถ 8 บาท...แต่ก็ได้ยินเรื่องกระเป๋าพูดกับผู้โดยสารคนอื่นแต่มายืนถัดเราไป 1 เก้าอี้เลยได้ยิน....ที่มีมอไซด์วินขับๆ กลางคืนโดนรถเกี่ยวแล้วโดนล้อรถทับ...หัวแบน...สมองกระจาย...แล้วตรงวินนั้นมีรูปปั้น....อาจเพราะคนดีก็ได้เลยมีรูปปั้น...คือฟังไปแล้วสยอง...หรือพูดให้คนลุกให้น้องอายุ 12 นั่ง...ก็ไม่รู้ว่ารู้ได้ไงว่า 12 แต่ใส่ชุดนักเรียนนานาชาติ....เราก็หันไปมอง...แต่ไม่มีคนลุกให้นั่ง...กระเป๋าก็บอกยืนต่อไป....เราแค่คิดในใจ...สิทธิ์เขา...ใครๆ ก็อยากนั่งหรือเดินทางอีกไกล...ไปโทษใครว่าไม่มีน้ำใจไม่ได้....แต่สุดท้ายมีคนนั่งหน้าเราลุก...กระเป๋าก็เรียกน้องเขามานั่ง...แต่ก่อนน้องเขาจะเดินมา...ก็มีป้าหัวหงอกจากเก้าอี้คู่ฝั่งตรงข้ามเดินมานั่ง...ส่วนป้าที่ติดหน้าต่างเก้าอี้คู่ตัวเดียวกับป้าผมหงอกก็เหมือนขยับมานั่งชิลด้านนอก....จนน้องเดินมา...กระเป๋าก็บอกให้ป้าคนนั้นขยับไปติดหน้าต่างเหมือนเดิม....ก็แบบไม่เห็นมีใครฟังใคร...สนใจใครอยู่ดีแหละ...กระเป๋าก็พูดอยู่แถวหน้าๆ นี่แหละ...แต่คนที่ลุกให้น้องนั่งแต่แรกก็ลงอีกไม่กี่ป้ายต่อไป...ยืนแป๊ปเดียว

    ส่วนตอนมานั่งรถตู้อยู่แถวสุดท้ายฝั่งขวาติดหน้าต่าง...ก็มีผู้ชายอีกคนมานั่งข้าง...ที่ตรงประตูว่างไว้ปกติ...แต่พอรถออก...ผู้ชายที่นั่งเก้าอี้คู่ด้านนอกข้างหน้าเราลุกไปนั่งเก้าอี้ติดหน้าต่าง...เราก็บอกผู้ชายข้างเราว่าให้เขยิบ...คือเราจะไปนั่ง...ผู้ชายคนนั้นก็ลุกแล้วไปนั่งเองซะงั้น...คือก่อนบอกผู้ชายคนนั้น เราก็มองๆ แล้วว่าเขาจะลุกไปนั่งตรงนี้มั้ย...แต่เห็นนั่งเฉยๆ...ก็แล้วแต่...เราก็นั่งที่เดิม

    ความจริงที่พิมพ์เรื่องนี้ตั้งแต่ 3 ทุ่มจนตีสอง....ความจริงอยากลงรูปอีกาคาบเนื้อปลา...แต่ไม่อยากโพสต์ใน Facebook....คงไม่มีใครอยากเห็นรูปตัวเงินตัวทองแม้แค่เลื่อนผ่านๆ ไปด้วย...ก็เลยเอามาพิมพ์เป็นเรื่องนี้....แม้คงไม่ใช่เรื่องน่าสนใจอะไรสำหรับใคร....ก็พิมพ์ตอนว่างๆ....ตกงาน....ไม่มีอะไรทำ...พิมพ์สิ่งที่พบเจอมาและสนใจแก้เบื่อ...แก้เครียด...ให้ตัวเองมีอะไรทำขึ้นมาแค่นั้น....ดีกว่าจิตตก...แต่ในสังคมและชีวิตก็คิดว่าคงหางานไม่ได้อีกแล้ว....ต่างคนต่างมีเหตุผล...เราไม่ชอบคำว่าเลือกงานหน่ะสิหรือไม่ไปหางานทำ....งานมีเยอะแยะ...ทำไรได้ก็ทำไปก่อน...คือเรารู้ว่าจุดจบคืออะไร...แต่เราไม่กล้าพอจะทำแบบนั้น...และคิดว่าทำไมต้องเป็นเราที่ทำแบบนั้น...ความจริงเราก็เป็นบ้าด้วย...ผิดหวังมาเยอะและทำพลาดมาเยอะ...ชีวิตคนเราแต่ละคนต่างมีจุดจบของตัวเอง...อยู่ที่เราจะขีดเขียนตอนจบของเราอย่างไร ถ้าไม่รวมป่วยตายหรือประสบอุบัติเหตุจนตายแบบเลือกไม่ได้...ไม่ได้ดราม่าแต่เบื่อแล้วเหมือนกัน...อยู่กับความทรงจำเก่าๆ เดิมๆ เงียบๆ คนเดียว....ความจริงเหมือนคนแก่มาทวนความทรงจำแต่ก็อายุเยอะแล้วจริงๆ แหละ....แต่ก็ยังไม่ถึงคราวตายจริงๆ

    เคยไปสัมภาษณ์งาน...หรือคนที่เจอในบริษัทเดียวกันทั้งที่เพิ่งเจอแต่ดันรู้ดี...ว่าเราผ่านงานมาประมาณกี่บริษัท...สิ่งที่คิดได้ตอนนี้....และแบบก็รู้ว่าคงหางานไม่ได้อีก....ดังนั้นพิมพ์ไปก็ได้....แล้วก็คงไม่มีใครรู้....และเผื่อมีใครมาเจอ...แม้ไม่น่ามีเพราะแค่หัวเรื่องก็ไม่อ่านแล้ว...ไม่งั้นคงโดนแบนแบบที่นี่ไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของใครจะมาหยาบคาย...

    "ผ่านมามากว่า 10 บริษัท....."
    (แบบใช่มั้ย?....จะบอกว่าตัวเองรู้ดี---รู้ทัน...ว่างั้น)
    สิ่งที่อยากบอก...คือ
    "Mรึ---งไม่ต้องเจือกรู้ดีเรื่องคนอื่น
    ชีวิต Kru ไม่ใช่ชีวิต Mรึ---ง
    Mรึ---งจะมารู้อะไร"

    เรื่องนานแล้วแหละ...แค่จดจำ....คนเราเจอเรื่องไรในชีวิตแตกต่างกัน ทั้งผิดหวัง - สมหวัง, เสียใจและผิดพลาด....แต่คนเราก็มักเจอคนรู้ดีในชีวิตคนอื่นเสมอ...แต่ไอ้คนที่ว่าก็ไม่ใช้ปรารถนาดีหรือช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นอะไรอ่ะนะ...ขอแค่ให้พูดแบบรู้ดีไป...ความจริงก็คิดตั้งแต่ต้นปีที่ตกงานมาหลายเดือน คือแบบไหนๆ คงหางานไม่ได้อีกและอาจตายไป...แม้ก็อยู่มาถึงสิ้นปีก็ไม่เห็นจะตายเลยอ่ะ....อยากเอาเรื่องงาน 10 กว่าบริษัทมาไล่พิมพ์เหมือนกัน...แบบ...อ้อ....อยากรู้มาก...ก็จะพิมพ์เอาไว้แล้วกัน...แม้รู้อ่ะว่าคนที่ถามเราแบบนั้นคงไม่ได้อ่านและลัลล้ากับชีวิตตัวเอง...คนเรา...ถ้าดีและปกติ...ก็อยู่ไป...แต่ถ้าแพ้และล้มเหลวแบบเรา....ยังไงก็หมา...ถ้าสมมติมีใครบนโลกนี้เคยเจอ...แล้วจะเข้าใจ...คือเป็นแค่ตัวตลกและพูดไรทำไรแบบนี้...ก็แค่เรื่องตลกๆ สำหรับคนอื่น
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in