เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My StoriesJirattipat Tengamnuay
เขาช่อ - มิตรภาพที่เริ่มจากการไม่รู้จัก(2)
  • พอเดินขึ้นมาถึงจุดกางเต๊นท์ เราก็นั่งพักแบบลุกไม่ขึ้นเพราะเหนื่อยมาก คนอื่นก็จุดไฟเตรียมทำอาหาร ส่วนคนที่เดินขึ้นมาพร้อมเราก็กางเต๊นท์ หาที่ผูกเปลกันไป เรานั่งไปซักพัก สำรวจตัวเองก็เจอรอยบาดของใบไม้ยาวๆ นั้นตรงมือ แขนและขา แต่ก็ไม่ได้เจ็บอะไร ถือว่าต้องมีรอยแบบนี้ถึงได้ประสบการณ์จริง พอหายเหนื่อยก็ลุกไปหาพี่ทหาร ที่เขาจุดไฟอยู่ ที่พักพี่ทหารก็อยู่ใกล้ๆ จุดก่อไฟ เป็นผ้าคลุมแทนเหมือนหลังคาและผูกเปล เราเดินไปขอเอาเต๊นท์และถุงนอนที่พี่ทหารช่วยแบกขึ้นมา ออกจากเป้พี่ทหาร และขอความช่วยเหลือจากคนร่วมทริปและพี่ทหารเรื่องช่วยกางเต๊นท์ เพราะเรากางเต๊นท์เองไม่เป็น พี่เจ้าของทริปเลยบอกน้องที่เป็นเจ้าของรถและเจ้าของเต๊นท์ให้ช่วยเรากางเต๊นท์ เราก็ขอบคุณพวกเขาไป ซึ่งตอนแรกจะกางเต๊นท์ใกล้ๆ กันไปเลย แต่มันใกล้ที่ก่อไฟทำอาหารเกินไป จะเจอควันเข้ามา เลยเลื่อนไปตรงถัดออกไป ซึ่งถ้าเดินไปอีกไม่ไกลตรงเนินขึ้นไปเล็กๆ จะเป็นเต๊นท์ของน้องมหาวิทยาลัย 3 คน ซึ่งเราก็ไปช่วยกางเต๊นท์ด้วย แต่ช่วยไรไม่ได้มากเพราะเราไม่เคยกางเต๊นท์จริงๆ ซึ่งพอเสร็จก็ต้องขอบคุณทุกคนที่มาช่วยเรากางเต๊นท์มาก


    พอช่วยเรากางเต๊นท์เสร็จ คนอื่นก็ไปช่วยกันก่อไฟต่อ พี่ทหารก็ถามว่ามีใครจะไปอาบน้ำหรือเปล่า เพราะพี่เขาจะลงไปเอาขวดลงไปตักน้ำที่ลำธาร ให้ใครที่อยากเอาน้ำก็ให้ฝากขวดมาก็ได้ เราก็เดินเข้าเต๊นท์ไปเอาขวดให้พี่ทหารไป แต่ก็ลังเลเรื่องลงไปอาบน้ำ ตอนที่เดินขึ้นเขา เหนื่อยมาก ร้อน เหงื่อเพียบ จนเราคิดว่าเรานอนโดยไม่อาบน้ำไม่ได้ เราเลยถามพี่ทหารระหว่างทางว่า ข้างบนจุดกางเต๊ํนท์มีห้องน้ำไหม หรือที่อาบน้ำ พี่ทหารก็บอกไม่มี และเรารู้อีกอย่างว่าต้องเอาทิชชู่เปียกมาด้วย ซึ่งคนที่มาด้วยก็บอกให้ยืมได้ เขาเอามา 2 ห่อ เราก็ขอบคุณเขาไป พี่ทหารบอกว่าปกติไม่ค่อยมีใครเดินลงไปอาบน้ำเพราะมันต้องลงไปประมาณ 500 เมตร ซึ่งอาบเสร็จเดินขึ้นมาก็เหงื่อออกอยู่ดี เขาเอาทิชชู่เปียกเช็ดตัวมากกว่า เราก็คิดถ้างั้น เราก็เอาทิชชู่เปียกเช็คตัวแล้วกัน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะขอทิชชู่เปียกคนร่วมทริปมาได้เท่าไหร่เพราะเหมือนหารกันหลายคน ซึ่งพอพี่ทหารมาถามอีกครั้งตอนอยู่ในจุดกางเต๊นท์ ว่าใครจะไปอาบน้ำบ้าง เราก็ลังเลมากๆ เพราะเหมือนไม่มีใครไป แต่น้องผู้ชายเจ้าของรถและน้องผู้ชายเด็กมหาลัยว่าจะลงไป เราเลยลงตามไปบ้างเพราะมีเพื่อนลงด้วย ก็ไปเอาอุปกรณ์อาบน้ำในเต๊นท์ และคิดว่าเดี๋ยวขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าในเต๊นท์  แต่ตอนเดินลงไป เราเดินรั้งท้าย และเดินลำบากมาก เพราะตอนเดินขึ้นเขามา แผ่นรองรองเท้าเรามันขาดออกจากรองเท้า ทำให้เดินลำบาก และรองเท้าแตะเราก็ไม่ได้เอามา เพราะไม่รู้ คิดว่ารองเท้าผ้าใบคู่เดียวพอ เลยกลายเป็นลำบาก แต่โชคดีที่เหมือนน้องเจ้าของรถที่เดินข้างหน้าเราก็รอๆ เราบ้าง เพราะเราเดินคนเดียว เราก็กลัวหลงเหมือนกัน แต่สุดท้ายเราก็เดินมาถึงลำธารจนได้


    พี่ทหารก็เดินลงเอาขวดไปตักน้ำจากลำธาร น้องผู้ชาย 2 คนก็ตามลงไป เราก็ยืนๆ ไม่รู้ทำไง จนน้องผู้ชายเริ่มถอดเสื้ออาบน้ำ เราก็กังวลเพราะเราเป็นผู้หญิงจะทำยังไง เพราะถอดเสื้อไม่ได้ คือผู้ชายถอดเสื้อ กางเกงเหลือบ๊อกเซอร์ก็อาบน้ำได้ เราก็มองๆ จนไปเห็นทางลำธารเลี้ยวไปนิดนึง เลยเดินไปบอกพี่ทหารว่าเราจะไปตรงนั้น พี่ทหารก็พยักหน้าและบอกอย่าไปไกลกว่านั้น เราเลยเดินไปทางนั้น ก็ยืนลังเลว่าจะอาบน้ำยังไง แต่ก็เดินลงน้ำไปก่อน แต่เพราะเราต้องถอดแว่นก่อนลงน้ำ ทำให้มองไม่ค่อยเห็นใต้น้ำ เลยลื่นก้อนหินใต้น้ำล้มลงไป สรุปก็นั่งอาบไปเลย ก็เอาน้ำลูบๆ ตัว แปรงฟัน ล้างหน้า ยอมรับรำคาญเหมือนกันเพราะเป็นผู้หญิง อยากถอดกางเกงยีนและล้างขามากแต่ทำไม่ได้ เลยทำได้แค่เอาน้ำลูบๆ ส่วนผมพอสระเสร็จก็เอาจุ่มน้ำเลย น้ำเย็นมาก แต่ก็ถือว่าสบายดี เราก็เห็นคนอื่นอาบเสร็จแล้วเลยรีบขึ้นเหมือนกัน ไม่ให้เสียเวลามาก แต่พอเดินขึ้นจากลำธารก็เจอผู้หญิงอีก 2 คนลงมาจะอาบน้ำเหมือนกัน เราเลยยินรอ แต่พี่ทหารก็บอกให้กลับก่อนมืดเพราะแถวนี้ก็มีสัตว์ป่ามาเหมือนกัน พอเสร็จเราก็เดินตามกันขึ้นไป ก็มีคนบ่นเหมือนกันว่าอาบเสร็จกว่าจะเดินขึ้นไปถึงก็เหงื่อออกอยู่ดี สองสาวที่ตามมาทีหลังก็แวะข้างทาง เพราะไม่มีห้องน้ำ เลยต้องทำธุระส่วนตัวในที่มิดชิดแถวนั้น คนอื่นเลยเดินขึ้นมาก่อน เราก็คิดเหมือนกันจะทำธุระส่วนตัวตรงไหนดี เพราะไม่เคยทำแบบนี้ พอถึงจุดกางเต๊นท์ เราก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อในเต๊นท์ และออกมานั่งรวมกับคนอื่นที่นั่งเตรียมวัตถุดิบทำอาหาร พวกผู้ชายก็ก่อไฟ ปิ้งกันไป ตอนก่อนขึ้นเขา ได้รับแจกมาม่าให้แบกมาเองคนละซอง แต่พอมาทานก็เอามาใส่รวมกันอยู่ดี เราก็นั่งมองๆ คนอื่นๆ ไปไม่ได้ช่วยไรเท่าไหร่ ถ่ายรูปมากกว่า


    เสร็จแล้วก็มาล้อมวงนั่งทานกัน ซึ่งก็นั่งทานกันไป คุยกันไปก็มีความสุขดี หัวเราะกัน แบบเรารู้จักกันไม่ถึงวันแต่รู้สึกดีมากๆ ที่ได้มีมิตรภาพใหม่ๆ จากทริปนี้ พอทานเสร็จ เราก็ปวดเบา เลยต้องหาที่หลบมุมทำธุระ เลยเดินไปขอทิชชู่เปียกจากหนึ่งในสองสาวที่มาด้วยกันที่เขาบอกเราว่าจะให้ยืม และเขาก็ให้ไฟฉายเรามาด้วย เราก็เดินไปหยิบทิชชู่เปียกในกระเป๋าที่เขาบอก ตอนแรกหาไม่เจอเลยหยิบทั้งกระเป๋ามาให้เขา และเดินไปอีกทางที่ห่างออกมาหน่อยและมีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่ พอไปหลบทำธุระเบาหลังต้นไม้ได้ แต่เราก็มองๆ ไปตรงจุดตั้งแค้มป์เหมือนกัน แบบกะระยะว่าไม่มีใครมองเห็นนะ เพราะถ้าเรามองจากตรงนี้ เราก็เห็นเขาตั้งแค้มป์ มีแสงไฟอยู่ จนมาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งว่าต้นนี้แหละ เราก็เหลือบไปเห็นเงาดำๆ เหมือนผู้หญิงเพราะรูปร่างเงาเหมือนคนผอม ผมยาวๆ นิดนึง เดินผ่านไป คือไม่ได้ไปทางจุดตั้งแค้มป์ แต่ไปอีกทางเลยเหมือนลึกไปในทางที่เป็นป่า เพราะพี่ทหารก็บอกเขานี้มีแค่จุดกางเต๊นท์แค่ตรงนี้เท่านั้น เราก็มองจนเงานั้นหายไป แต่พยายามไม่คิดไร ตอนแรกก็คิดหรือว่าคนหนึ่งในแค้มป์ออกมา แต่เขาจะเดินไปตรงนั้นทำไมคนเดียว ไปในป่ามืดๆ คนเดียวนี่นะ หรือจะไปทำธุระเบาเหมือนเราแต่ก็ไม่น่าไปไกลและคนเดียวแบบนั้น และถ้ามีใครไปตรงนั้น เราต้องเห็นตอนเราเดินออกมา แต่นี่ไม่ใช่ เราก็มองไปทางแค้มป์ว่าเป็นไปได้ไหม เงาสะท้อนแสงไฟ และกลายเป็นเงาเดินผ่านไปแบบนั้นแบบมีคนเดินและเงาผ่านพอดี แต่ระยะก็ค่อนข้างไกลที่เงาจะทำแบบนั้นได้ เราพยายามไม่คิดไร รีบแขวนไฟฉายที่เอามาไว้ที่ต้นไม้ไม่ไกล เพราะมาไว้ใกล้ตัวไม่ได้ คนอื่นจะเห็นเราทำอะไร และรีบทำธุระเบา ก่อนทำก็ไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาว่าขอนะ ทำอะไรไปขอโทษด้วย แต่ไม่มีห้องน้ำจริงๆ ตอนทำธุระเบาก็อยากให้สุดเร็วๆ แต่เพราะไม่ได้เข้าห้องน้ำทั้งวันเลยใช้เวลา ซึ่งเราภาวนาอย่าให้มีไร พอเสร็จก็ไหว้ขอขมาต้นไม้ที่เราทำธุระเบาอีกครั้ง และรีบกลับไปยังจุดตั้งแค้มป์อย่างไว แต่ไม่พูดอะไร นั่งคุยไปสักพัก พี่ทหารก็บอกให้ไปดูดาวไรสักอย่างที่ไม่ไกลจากตรงนี้ เราก็ตอนแรกไม่รู้ตรงไหน กลัวว่าไกลและมืดมากแล้วด้วย แต่คนอื่นบอกแถวนี้ เราก็กังวลเพราะรองเท้าเราไม่ค่อยดี แผ่นรองรองเท้ามันขาด เดินไม่สะดวก และเรื่องเงาเมื่อกี้ด้วย แต่คนอื่นไปเราก็ไป แต่เดินไม่ไกลจริงๆ เพราะเป็นตรงทางที่เราปีนขึ้นมาและเดินผ่านมา แต่เพราะฟ้าปิดเหมือนมีฝนจะตกในไม่ช้า เลยมองไม่เห็นดาว แต่เราก็ยืนรวมกันตรงนั้นใช้เวลาพอสมควร แม้ฟ้ามืดมองไม่เห็นไรเท่าไหร่ตรงนั้น


    พออยู่ตรงนั้นสักพักก็เดินกลับมาที่ตั้งแค้มป์ นั่งคุยกันอีกสักพัก ก็จะเข้านอนกัน เราก็อยากทำธุระเบาอีก แต่ยอมรับตรงๆ ไม่กล้าไปคนเดียวตรงมืดๆ นั้นอีกแม้ความจริงไม่ไกลจากจุดตั้งแค้มป์มาก แต่ไม่กล้า เลยเดินไปบอกสองสาวให้ไปด้วย ตอนแรกสองสาวไม่ไปแต่ก็เปลี่ยนใจเดินไปด้วยกัน แต่แยกกันคนละมุม เราก็ขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาและต้นไม้ที่เราหลบมุมทำธุระเบา และภาวนาให้เสร็จธุระทันคนอื่น เพราะไม่อยากให้คนอื่นหันมาเห็น อายเหมือนกันแม้ผู้หญิงเหมือนกัน แต่ก็เพิ่งรู้จักกัน เสร็จแล้วเราก็มายืนรอบๆ แค้มป์ไฟสักพัก คนอื่นก็ทยอยเข้านอน เราก็เข้านอนบ้าง ก็สวดมนตร์ ไหว้พระขอเจ้าป่าเจ้าเขานอนไป กางถุงนอน มาทริปนี้เราพกพระมาด้วย เลยเอามาวางไว้ข้างๆ หัวข้างขวาที่ติดทางเข้าเต๊นท์ และเปิดไฟฉายไว้ เพราะถ้าปิดจะมืดมาก แม้ตอนนั้นมีไฟจากที่จุดไว้ด้านนอก แต่เราก็ตั้งใจเปิดไฟฉายทิ้งไว้ทั้งคืนจริง ยอมรับว่ากลัวความมืดมาก และนอนเต๊นท์คนเดียว นอนไปเรื่อยๆ ก็เหมือนมีเสียงคุยขึ้นมา คาดว่ามาจากเต๊นท์น้องมหาลัย 3 คน และมีเสียงพี่ทหาร และเหมือนมีไฟฉายมาส่องๆ ตรงเต๊นเรา แต่เราไม่กล้าเปิดออกไปดู คือตอนนั้นแม้มีเสียงคุย แม้คิดว่าเสียงน้องมหาลัยแต่ไม่แน่ใจ คือหัวเด็ดตีนขาดไม่เปิดเต๊นท์ดูเด็ดขาด ไม่ว่าตรงซิปทางเข้าเต๊นท์หรือตรงเหมือนหน้าต่างเต๊นท์ก็ไม่เปิด จนดึกๆ ฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ตรงปลายเท้าเราก็มีน้ำไหลลงมาแต่ไม่มาก คือโชคดีที่ไม่หันหัวไปทางนั้นไม่งั้นเปียก แต่ของที่เราวางก็เปียก แต่เราไม่ย้ายไรทั้งนั้นตอนนั้น เปียกช่างมัน ตอนแรกนอนถุงนอนทับแบบสองชั้นไม่ได้รูดซิปถุงนอนเอาตัวเข้าไปให้มีอีกชั้นห่ม แต่ยิ่งอยู่ยิ่งหนาวเลยต้องเอาตัวเข้าไปในถุงนอน ทำให้ต้องย้ายพระที่อยู่หัวนอนขวาไปทางซ้าย ทีนี้ก็ไม่แน่ใจเรื่องผีอีก แม้ไม่เคยคนในทริปเล่านะว่ามีผีแถวนี้ แต่ที่โกรกอีดกมี แบบคนที่ไปตั้งแค้มป์เคยเจอผีที่โกรกอีดก แต่เราไม่แน่ใจ ยิ่งเงาที่เห็นตอนไปทำธุระเบาคนเดียวอีก เลยเอาพระมากุมไว้ที่หน้าอก คือมีไร พระอยู่กับเรา ตอนนั้นนอนๆ ไปก็ปวดฉี่ แต่ไม่ออกไปแน่นอน นอนๆ ข่มตา ก็กลัวๆ เหมือนกันว่าจะมีใครมาเดินรอบเต๊นท์ไหม แบบจินตนาการไปเอง แต่ก็พยายามนอน นอนไปสักพักไม่รู้กี่โมงก็ตื่นมาแต่เหมือนพระไม่อยู่บนอกแล้ว ก็ตกใจว่าพระหายไปไหนแต่ก็คิดอาจหลุดจากมือแบบเรานอนกลิ้งไปมาแบบไม่รู้ตัว พระอาจหลุดจากมือไปข้างที่นอน ก็รีบลุกหา แต่ข้างที่นอนไม่มี แต่พอมองไปที่ข้างหัวนอนซ้ายกลับเจอพระวางอยู่ ก็งงๆ นิดนึง เพราะกลิ้งๆ พระน่าจะตกมาข้างๆ ไม่ใช่ตรงหัวนอนเรา แต่พยายามไม่คิดไร น้ำก็ตกลงมาในเต๊นท์ตรงปลายเท้าเรื่อยๆ เราก็เปียกๆ ตรงปลายเท้า แต่ตอนนั้นไม่สนไรทั้งนั้น รีบนอนต่อ

    ตื่นเช้ามาเพราะเสียงคนคือเช้าแล้ว ก็นอนปรับสติสักพักก็เก็บของออกมา เพราะก็รู้ว่าต้องลงเขาตอนเช้า ความจริงอยากถามเรื่องเมื่อคืนมากเพื่อความแน่ใจอย่างเรื่องเสียงคุยดึกๆ นี่มาจากน้องมหาลัยใช่ไหมสามคน หรือไฟฉายนี่พี่ทหารใช่ไหม แต่ไม่กล้าถามไร คือรู้มาบ้างว่าไม่ว่าไปที่ไหน เจอไรแปลกๆ ไม่แน่ใจ ห้ามทัก ห้ามถาม ห้ามนึก ทำเป็นไม่รู้เรื่องไป และตอนนั้นอยู่บนเขา เลยไม่พูดไม่ถามไรดีกว่า แต่น้องคนหนึ่งที่นอนเปลไม่ได้นอนเต๊นท์ก็บอก ดึกๆ เหมือนมีคนมาพูดภาษาแปลกๆ และเรียกชื่อ แต่เขากลัวเลยนอนเฉยๆ เราก็สังเกตพี่ทหารก็มองแปลกๆ แต่เราก็ไม่ถามไรต่อ คนอื่นๆ ก็ลงมือทำอาหารเช้า ก่อนเก็บของลงเขา เราก็ไม่ได้ช่วยไรมาก นั่งมองๆ คนอื่นเขาทำและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกมากกว่า


    พอทานข้าวเช้าเสร็จ เราก็เดินไปดูวิวตรงจุดเดิมที่เราเดินขึ้นจากเขามา และเราเห็นน้องคนหนึ่งเอากางเกงไปตาก แบบแขวนไว้ที่ไม้และผิงไฟไว้ และเหมือนกางเกงแห้งขึ้น เราเลยไปขอเอากางเกงยีนเราไปผิงไฟบ้าง เพราะมันหนักน้ำมาก ตอนเราเดินไปอาบน้ำที่ลำธาร มันเปียกมากและไม่แห้งจนตอนนี้ ตอนแรกเราตากเสื้อและกางเกงยีนเราไว้ไม่ไกลจากเต๊นท์หลังอาบน้ำที่ลำธารเสร็จเมื่อวาน แต่เพราะก่อนนอนนึกขึ้นมาว่าฝนน่าจะตกหรือเปล่า เลยเอาเสื้อและกางเกงเข้ามาเก็บในเต๊นท์ พอเห็นน้องเขาทำ เลยทำตามบ้างและฝากน้องมหาลัย 3 คนที่ไม่ไปดูวิวแต่นั่งอยู่ใกล้ๆ กองไฟ ให้ช่วยเฝ้าไว้ ซึ่งน้องก็รับปากเป็นอย่างดี


    วิวที่ไปดูสวยมาก เป็นวิวภูเขาและท้องฟ้า แต่ก็เท่านั้นเพราะปีนขึ้นเขามาลำบากมากและใช้เวลานาน แต่ขึ้นมาดูจริงๆ มีวิวแค่นั้นจริงๆ คือมีตรงนี้กับอีกจุดหนึ่งที่ต้องเดินไปอีกนิดนึง ก็ถ่ายรูป ทำท่าทำทางกันไปให้สมกับปีนขึ้นมาถึงบนเขานี้


    พอดูวิว ถ่ายภาพเล่นกันเสร็จ ก็กลับมาเก็บของเพื่อเตรียมตัวลงเขา ตอนลงเขา เราก็ใส่ถุงมือด้วย พี่ทหารก็มาช่วยแบกเต๊นท์และถุงนอนเราลงเหมือนตอนขึ้น ซึ่งเราก็ขอบคุณพี่เขามาก สรุปเราก็แบกเป้เราลงอย่างเดียว เป้เราที่หนักขึ้นเพราะกางเกงยีนเราที่เปียกน้ำ


    ตอนลงเขา เราลงมาคนที่ 3 จากหลังสุด ซึ่งเพราะรองเท้าตรงที่รองตรงพื้นรองเท้าเราจะหลุด เราเลยต้องหาเชือกฟางที่เหมือนโดนทิ้งตรงที่กางเต๊นท์มาผูกไว้เพื่อให้ตอนลงเขาไม่เกิดปัญหาการเดินเพราะรองเท้าที่แผ่นรองรองเท้าจะหลุดออกจากรองเท้า


    ตอนเดินเขาค่อนข้างลำบาก นอกจากเขาที่ลาดชันลงไป ดินยังเปียกเพราะฝนที่ตกหนักเมื่อคืน เราเลยเดินลงได้ช้ามาก เพราะกลัวลื่น แต่โชคดีที่สวมถุงมือ เลยเดินดึงรูดใบยาวๆ ของต้นไม้ข้างทางลงไปได้ แต่ก็ลื่นก้นกระแทกหลายครั้ง และเหมือนจะลงลำบากกลัวตกเขาไปก่อน พี่ที่เดินข้างหลังเรา เลยบอกให้นั่งไถลลงไปเลย ตอนแรกเราก็นั่งยองๆ ไม่กล้าไถลมาก แต่นานๆ ไปกลัวตกเขามากกว่าและลื่นหลายครั้ง ทางเดินที่ลง ดินก็ลื่นเพราะฝนเมื่อคืน เราเลยไถลลงมาส่วนใหญ่ แต่คนกลุ่มหน้าที่ลงไปก็เดินไปลิบๆ ได้ยินเสียงไกลๆ แต่เราก็ลงตามไปไม่ทัน เพราะกลัวตกเขา ซึ่งก็เหมือนตอนขึ้นคือไม่รู้อีกไกลแค่ไหนกว่าจะลงเขาได้ ซึ่งตอนนั้นกลัวตกเขา จะมอมหรือไรยังไงไม่สน แต่มาถึงช่วงหนึ่งที่เราไถลตัวลงมาจากเขาและหยุดและจะลุกขึ้นซึ่งก็หนักกระเป๋าอีก คือเราไถลลงมาเพื่อไม่ให้ตกเขา แต่พอไถลมาจะลุกก็จะหน้าคว่ำลงเขาอีก ซึ่งตอนแรกที่ลื่นล้ม พี่ที่เดินข้างหลังก็ถามเป็นไรไหม แต่เราบอกไม่ คือเราเหมือนเป็นภาระให้คณะมาเยอะเลยไม่อยากทำปัญหาไรอีก พยายามไม่ไรมาก เดินลงต่อไป แต่มาตอนครั้งหนึ่งที่เราไถลลงมาและพยายามลุกขึ้นเพราะหนักกระเป๋า ก็เหมือนมีคนมาช่วยดึงหูกระเป๋าให้เราลุกขึ้นได้ คือรู้สึกเลยต้องมีคนดึงกระเป๋าขึ้นให้เราลุกขึ้นง่ายขึ้น คือมันเบาขึ้น ตอนแรกเรานึกว่าพี่ที่เดินตามมาข้างหลังช่วยดึงเลยจะหันไปขอบคุณ แต่พอหันไป พี่ที่เดินตามเรามากลับเหมือนเพิ่งลงมาตรงนั้น เราก็เลยงงแต่เก็บทุกอย่างเอาไว้ เดินต่อไป แต่ถึงจะระวังก็มีหลายครั้งจะตกลงไปเหมือนกันต้องรีบเกาะต้นไม้ไว้ ซึ่งก็ต้องขอบคุณพี่ทหารอีกครั้งที่แบกเต๊นท์กับถุงนอนมาให้ ไม่งั้นก็ไม่รู้เราจะลงมาได้ไง ขนาดมีเป้ใบเดียวยังแทบไม่รอด ส่วนคณะข้างหน้าที่เดินไปก่อนก็หายไปแล้ว คือ 3 คนที่เดินรั้งมาช้าเพราะเราคนเดียว ซึ่งตอนเดินนำลงมาเป็นคนแรกของ 3 คนสุดท้าย เราก็เหมือนเดินจะหลงไป 2- 3 ครั้ง เพราะถึงมีทางเล็กๆ เหมือนนำลงว่าไปทางนี้นะ แต่ความจริงมันดูเหมือนไปได้มากกว่า 1 ทางเป็น 2 ทางด้วยซ้ำ ดีที่มีพี่ทหารกับพี่อีกคนมาด้วยไม่งั้นคงหลงแน่ๆ


    สุดท้ายเดินมาถึงลำธารแรกจากลงเขา คนอื่นที่นำมาก่อนก็มาอาบน้ำพักทานของว่างกันแล้ว เราก็ไปวางกระเป๋าและลงน้ำไปรวมกับคนอื่นในน้ำ เราก็ยืมสบู่ยาสระผมที่วางกองๆ ไว้ใช้ไปด้วย เพราะขี้เกียจหยิบในกระเป๋า ต้องค้นอีก ซึ่งตอนช่วงนี้เราถึงรู้ว่ากางเกงผ้าเราขาดต้องก้นเพราะไถลลงมา ซึ่งพี่สองคนที่เดินตามมาคงรู้แต่ไม่บอกเราเพราะเราเป็นผู้หญิง บอกเราคงไม่เหมาะ แต่เพราะเสื้อเราค่อนข้างตัวใหญ่ยาว ถ้าดึงดีดีก็ปิดลงมาได้ พอพักสักพักเราก็เดินต่อ แต่เพราะรองเท้าเราที่เชือกมัดอยู่ ตอนไถลลงมาเชือกหาย แผ่นรองรองเท้าเลยเปิดอีก ทำให้เดินลำบากมาก เราก็เดินรั้งท้ายจนคนข้างหน้าหายไปหมด เราก็กังวลเพราะไม่มีคนรอ กลัวหลง แต่พี่ทหารก็เดินย้อนกลับมาและช่วยเราแบกเป้ สุดท้ายกลายเป็นเราที่เดินกับพี่ทหารสองคน เดินตัวเปล่า แต่ก็ไม่เห็นคนข้างหน้าอยู่ดี พอข้ามลำธาร พี่ทหารก็ช่วยบอกให้ "ระวัง" หรือจับแขนเราพาข้ามลำธาร ช่วงตลอดทางที่เดินลง เราก็ไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาในใจตลอดแบบขอขมาด้วยถ้าทำไรไม่ดีไปไม่ตั้งใจ ให้ท่านคุ้มครองลงเขาอย่างปลอดภัย เดินกับพี่ทหาร 2 คนนานเหมือนกัน ไม่เห็นคนข้างหน้าเลย จะเดินหลงไป 3-4 ครั้งด้วยเพราะมันเหมือนไปได้หลายทาง ดีที่พี่ทหารเรียกไว้ว่าเดินผิดทาง คือไม่มีพี่ทหารเราหลงป่าแน่ๆ เพราะคนอื่นเดินนำทิ้งเราไปหมด คงเหนื่อยกันเลยรีบเดินไปให้ถึง ใครเดินตามมาทันคือทัน เราก็เดินกับพี่ทหารมาเรื่อยๆ เคยเกือบโดนหนามต้นไม้ใหญ่ๆ ตำเพราะจับไม่ดู แต่พี่ทหารบอก "ระวัง" เราเลยมองไปที่เขางงๆ ระวังอะไร แต่มาดูที่มือแทบเอามือออกจากต้นไม้แทบไม่ทัน หนามต้นไม้ใหญ่ๆ เต็มต้น เฉียดไปนิดเดียว จนสุดท้ายเดินมาทันกัน เพราะคณะที่เดินนำมาก่อนเหมือนหลงทางไปอีกทางแล้วเดินย้อนมาพอดีกับที่เราเดินลงมาตรงนั้น สุดท้ายเราเลยเดินมาทันกัน ตัวเราเองเลยเดินขึ้นนำเพราะอยากให้ถึงเร็วๆ สุดท้ายเดินไม่นานมากก็ออกมาสู่ทางออกได้อย่างปลอดภัยทุกคน เหนื่อยแต่ก็สนุกดีที่ได้มาทริปนี้ สรุปรองเท้าขาดต้องทิ้ง กางเกงขาดต้องทิ้่ง แต่ก็คือประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่เขาช่อ สระบุรี ขอบคุณพี่ทหารมากด้วยที่ช่วยเราแบกของและคอยตามคณะเดินทางที่อืดอาดเหมือนเป็นภาระอย่างเราให้กลับออกมาอย่างปลอดภัยไม่หลงไปก่อนครบทุกคน ไม่มีพี่ทหารเราลำบากมากแน่ๆ 


    ประสบการณ์ดีดีที่เขาช่อ แม้ตอนนี้คณะที่ไปกันไม่ได้ติดต่อกันอีกแล้ว แต่เป็นความทรงจำดีดีและมิตรภาพที่ดีดีที่เหมือนครั้งหนึ่งเราได้มาเจอกันและมีประสบการณ์ดีดีร่วมกัน



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in