เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Tale of Mr McGregornichised
ฤดูใบไม้ร่วงไม่ได้มาถึงในสามวัน
  • ฤดูใบไม้ร่วงไม่ได้มาถึงภายในสามวัน

    ซึ่งโธมัสก็ไม่รู้ว่าเขาควรโทษโลกร้อนที่ทำให้อากาศแปรปรวน หรือโทษแผนชีวิตของเขาที่แข่งกับเวลาเป็นเรื่องปกติ ซึ่งบางทีเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะแข่งขันไปทำเพื่ออะไร และสุดท้ายแล้วเขาก็ยังไม่ได้กลับไปลอนดอน

    โธมัสผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยจนฤดูใบไม้ร่วงมาถึง จนใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเดียวกับผมของเขา และสวนผักผลไม้หน้าบ้านได้เวลาเก็บเกี่ยว

    ฤดูใบไม้ร่วงคือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ส่วนเรื่องเป็นฤดูเก็บเกี่ยวนี่โธมัสจำเอามาจากหญิงแก่เจ้าของคาเฟ่ที่เขาไปบ่อยจนนางคิดว่าเขากับนางสนิทกัน

    ฤดูใบไม้ร่วงคือเวลาแห่งแฟชั่นต่างหาก เวลาที่จะได้ใส่เสื้อโค้ทสีกากีเดินเฉิดฉายในลอนดอน และถ่ายรูปลงอินสตราแกรมด้วยสีที่คุมโทนถูกต้องเพราะใบไม้แห้งกับสีผ้าพันคอลายตารางของเขามันเข้ากันยิ่งกว่าอะไร แต่เขาก็เผลอใช้เวลาอยู่ที่วินเดอร์เมียร์นานกว่าที่คิดจนได้ เขารู้สึกว่าต้องจัดการบูรณะคฤหาสน์แห่งนี้ให้สวยงามพร้อมอยู่ แต่ใครใครก็รู้ว่างานออกแบบและศิลปะนั้นไม่มีวันสิ้นสุด

    โธมัสเริ่มเผลอเรียกคฤหาสน์วินเดอร์เมียร์ ว่าบ้าน เขาบอกพี่เยติว่าเพราะมันสั้นดี แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนหรือสถานที่เท่านี้มาก่อนเท่ากับที่เขารู้สึกกับ ฤดูใบไม้ร่วงที่วินเดอร์เมียร์แห่งนี้ สมแล้วที่เป็นฤดูแห่งการเปลี่ยนแปลง ทริปปิคนิกกับพี่เยติเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่เขาเฝ้ารอ

    “วันนี้มีเบค่อนมั้ย” โธมัสถามพี่เยติขณะที่มือรับเอากระติกกันความร้อนมาไว้ในมือ ลาเต้ร้อนที่พี่เยติชงให้อร่อยกว่าที่คาเฟ่ในเมืองมาก จนเขาเปลี่ยนจากเข้าเมืองไปหาของกิน เป็นมาบ้านพี่เยติเพื่อหาของกินแทน โธมัสทำอาหารเป็น แต่ถ้ามีคนทำอร่อยกว่าที่ยินดีทำให้เขากิน เขาก็ต้องเลือกของอร่อยกว่าอยู่แล้ว

    พี่เยติเงยหน้ามามองโธมัสแล้วหันหน้าไปทางกล่องพลาสติกกันความร้อนวางเรียงกันเป็นระเบียบอยู่บนเคาน์เตอร์ห้องครัว โธมัสที่มองตามจนเห็นอาหารเตรียมเกือบเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นอย่างขยันขันแข็ง

    “ตะกร้าหวายอันนั้นอยู่ไหน เดี๋ยวฉันช่วยเก็บของ” ถึงตอนนี้จะเป็นกลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังถือตะกร้าหวายปูผ้าเพื่อนั่งปิคนิกริมแม่น้ำเหมือนฤดูร้อนไม่มีวันสิ้นสุด ที่เปลี่ยนไปก็มีแต่กระติกกันความร้อนและผ้าห่มผืนหนาที่พวกเขาพกไปเพิ่มความอบอุ่น

    “วันนี้ขับรถไปตั้งแคมป์ที่อุทยานแห่งชาติเลคดิสทริคกันมั้ย” พี่เยติถามสั้น ๆ ด้วยเสียงเรียบ ๆ เหมือนชวนขับรถเข้าเมืองตามปกติ ในขณะที่สีหน้าของโธมัสเหมือนโดนชวนไปปีนอันนาปุรณะเบสต์แคมป์

    โธมัสทำท่าจะพูดแล้วก็หายใจเข้าลึก ๆ สลับไปมา แล้วเปลี่ยนไปหยิบโทรศัพท์มากดค้นหาข้อมูลสถานที่แทน

    “ตกลง แต่ขอฉันเก็บของสิบนาที” พูดจบโธมัสก็พุ่งพรวดกลับบ้านของตนไปเก็บของอย่างรวดเร็ว พี่เยติอยากจะบอกว่าไม่ต้องรีบก็ได้ แต่เขาที่ไม่เคยรีบเลยก็พูดช้าไปทุกที และโธมัสคงคำนวนแล้วในหัวว่าถ้าเขาไปถึงช้าลงสิบนาที ใบไม้ทีเปลี่ยนสีจะร่วงลงไปที่พื้นไปก่อนแล้วกี่ใบ และจะเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
    .
    .
    .
    .
    .
    พี่เยติพกของมาน้อยเหมือนทริปนี้เป็นแค่การไปปิคนิกริมแม่น้ำเหมือนเดิม ในขณะที่โธมัสก็เตรียมตัวเหมือนไปปีนอันนาปุรณะเบสต์แคมป์ตามที่คิดจริง ๆ

    เมืองวินเดอร์เมียร์ก็แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติอยู่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพวกเขาแค่ขับรถเข้าไปในป่าลึกขึ้นเท่านั้นเอง ถ้านับชั่วโมงที่โธมัสอยู่กับพี่เยติมา จริง ๆ แล้วพี่เยติไม่ได้พูดเยอะขึ้นกว่าเดิมเลย แต่เหมือนเขาจะเข้าใจอีกฝ่ายขึ้นมาเองเฉย ๆ พวกเขาไม่ได้สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง แต่ทุกการกระทำมาจากพื้นฐานที่ต่างกันไปหน่อย และทั้งคู่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นปัญหาสักนิด โธมัสพกอุปกรณ์ตั้งแคมป์มาจำนวนมากพอจะติดอยู่ในป่าได้ทั้งสัปดาห์ ส่วนพี่เยติพกเพิ่มขึ้นมาคงจะเป็นสมุดหนึ่งเล่มที่โธมัสเคยเห็นเขาวางไว้ในบ้านบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเห็นเขาหยิบขึ้นมาเขียนเลยสักครั้ง โธมัสไม่รู้ว่าพี่เยติไม่เขียน หรือพี่เยติแค่ไม่เคยเขียนให้เขาเห็น

    “ฉันละสงสัยจริง ๆ ถ้าหากนายมาที่นี่คนเดียว นายจะนอนลงไปบนพื้นแล้วรอให้ใบไม้ร่วงใส่ตัวนายเป็นผ้าห่มมั้ย” โธมัสไม่เคยรู้สึกว่าความแตกต่างของพวกเขาเป็นปัญหาจริง ๆ แต่การได้พูดออกมามันก็สนุกดี

    พี่เยติไม่พูดอะไร เอาผ้าที่โธมัสเตรียมมาปูพื้น จัดแจงวางของอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วหยิบขวดสแตนเลสสำหรับใส่วิสกี้พกพาออกมานั่งดื่ม

    จริง ๆ โธมัสก็รู้ชื่อของพี่เยติมาสักพักแล้ว จากขวดสแตนเลสที่พี่เยติใส่วิสกี้เอาไว้ แต่เขาไม่แน่ใจว่าพี่เยติจะอยากให้เขาเรียกชื่อมั้ย ในเมื่อเขาหนีทุกสิ่งทุกอย่างมาขนาดนั้น ขนาดวิสกี้ที่ดื้มยังมาจากโรงกลั่นในไอร์แลนด์เลย โธมัสคิดว่าชื่อตัวคงเป็นสิ่งหนึ่งที่คงจะหนียากที่สุด ถึงแม้พี่เยติจะไม่เคยพูดอะไรหรือพยายามปิดบังถึงตัวหนังสือที่สลักอยู่บนขวดที่อาจจะเป็นแค่ชื่อเมืองเฉย ๆ ก็ได้ แต่โธมัสก็สัมผัสได้จากพลังจิตอย่างที่พวกเขาสื่อสารกันมาตลอดว่าเงียบไว้ดีกว่า

    “นายรู้ไหมว่าฉันเรียกนายในใจว่าอะไร” อยู่ดี ๆ โธมัสก็คิดขึ้นมาว่า ไม่ถามก็ได้ แต่บอกไปคงไม่เป็นไร
    “ไม่รู้สิ มาร์วินหรอ?” เจ้าหมาหันหัวพรึ่บมาตามเสียงเรียกชื่อแล้วพ่นลมหนึ่งที
    “พี่เยติ”
    พี่เยติหันมามองโธมัสด้วยสายตาว่างเปล่า
    “นายนี่มีอะไรให้แปลกใจตลอดเวลา”
    “นายก็มหัศจรรย์สำหรับฉันมากพอ ๆ กันแหละน่า”

    โธมัสอาจจะเข้าใจพี่เยติในระดับที่สูงมากสำหรับคนที่สื่อสารกันโดยไม่ใช้คำพูด แต่สิ่งที่โธมัสไม่รู้คือพี่เยติไม่ได้ใช้พลังจิตได้กับทุกคน พี่เยติรู้สึกว่าตัวตนของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละนิดในช่วงเวลาที่เขาเข้าใจคำพูดประหลาด ๆ ของโธมัสเหมือนกัน

    พี่เยติคว้าสมุดซึ่งเป็นสัมภาระเพิ่มเติมในการเดินทางนี้ขึ้นมา เขาถือดินสอไม้จรดแผ่นกระดาษอยู่นานแต่ไม่เขียนอะไรลงไปจนใบไม้สีเดียวกับผมของโธมัสร่วงลงมาบนหน้ากระดาษว่างเปล่า

    “ถ้านายคิดไม่ออกก็ไม่ต้องบังคับให้ตัวเองเขียนก็ได้นี่นา”
    “ฉันเปล่าคิดไม่ออก”
    “งั้นมัวรออะไรอยู่เล่า”
    “ฉันไม่รู้จักตัวเองในตอนนี้ สิ่งที่จะเขียนออกมามันเหมือนไม่ใช่คำพูดของฉัน”
    “อะไรที่ออกมาจากนายมันก็คือนายทั้งนั้นแหละน่า นายตอนนี้ก็คือคนเดียวกับนายในวันแรกที่ฉันรู้จัก อาจจะไม่เหมือนที่คิดเท่าไหร่ แต่ฉันก็แค่รู้จักนายมากขึ้นเท่านั้นเอง”

    พี่เยติถอนหายใจเบา ๆ แล้วเริ่มลงมือเขียนเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน

    “ก็คงจะจริง ฉันอาจจะต้องทำความรู้จักกับตัวเองในตอนนี้บ้างเหมือนกัน”

    โธมัสยิ้มให้กับพี่เยติบาง ๆ “งั้นฉันไปเดินเล่นแถวนี้ก่อนนะ นายจะได้คุยกับตัวเองมากขึ้นหน่อย”

    “ถ้าหลงป่าก็ตะโกนดัง ๆ ว่าแพทเทอร์สันนะ”

    โธมัสยิ้มกว้างกว่าเดิมแต่มุมปากคว่ำลงเพราะพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มกว้างไปกว่านี้ เขาคว้ากระติกน้ำร้อนกับผ้าห่มแก้เขินก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังแม่น้ำที่มองเห็นอยู่ลิบ ๆ ผ่านแนวลำต้นสูงยาวพุ่งตรงขึ้นสู่ม่านใบไม้สีส้มแดง อย่างกับว่าจะไม่มีใครมองเห็นเขาเพราะเส้นผมของตนเป็นสีเดียวกับใบไม้อย่างนั้นแหละ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in