ชื่อหนังสือ: ระบบข้ามมิติ ไปเป็นแสงจันทร์ขาวของตัวร้าย
ผู้แต่ง: 刘淳月
เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ : Hangzhou Jiukuang Network Technology Co., Ltd.
ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทยถูกต้องโดย : Glory Forever Co.,LTD (สนพ.กวีบุ๊ค)
บรรณาธิการ :วลีรัตน์ แทนคง
แปลและเรียบเรียงโดย : GuiYuan
? คำโปรย
อวี๋มู่: ฉันชอบผู้หญิง
ชีหย่วน :ไม่เป็นไร นายจะเป็นไบเร็ว ๆ นี้
? เรื่องย่อ
เจ็ดปีก่อน ‘ชีหย่วน’ ตัดสินใจสารภาพรักกับ ‘อวี๋มู่’ ทำให้ความสัมพันธ์ดั่งพี่น้องของทั้งสองที่สนิทกันมากว่าสิบปี ถึงจุดแตกหัก!มาในวันนี้ อวี๋มู่ ได้รู้ข่าวว่า “ชีหยวนได้ตายไปแล้ว” เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เรื่องราวเหล่านี้ทำให้อวี๋มู่รู้สึกผิด เขาไม่เคยเกลียดชีหย่วนเลย แต่ยังไม่มีโอกาสได้ขอโทษเขาเลยสักครั้ง จนกระทั่งอวี๋มู่ได้พบกับ “ระบบหยวนเมิ่ง” ระบบที่ทำให้ฝันเป็นจริง ภารกิจที่เขาได้ก็คือต้องข้ามมิติไปยังโลกของนิยายห้าเรื่องและเป็นแสงจันทร์ขาวให้กับตัวร้ายในนิยาย หากทำภารกิจสำเร็จเขาก็จะสามารถชุบชีวิตซีหย่วนได้
เพื่อเคลียร์เรื่องราวที่ค้างคาใจ และได้ชีวิตน้องชายกลับมา อวี๋มู่คนนี้จะยอมทำทุกอย่าง!
อวี๋มู่ (เคะ): ฉันชอบผู้หญิง
ชีหย่วน (เมะ): ไม่เป็นไร นายจะเป็นไบเร็ว ๆ นี้
*แสงจันทร์ขาว = คนที่เรารักแต่ไม่อาจได้มาครอบครอง ได้แต่เฝ้าฝันถึง แต่ไม่อาจได้คู่กัน
? ความฟินที่มาพร้อมกับภารกิจในโลกของนิยายทั้ง 5
โลกที่หนึ่ง: นักเรียนผู้น่าสงสารตัวน้อย(เมะ) X ครูผู้อ่อนโยน(เคะ)
โลกที่สอง: จอมมารวิปริตขี้หึงและซึนเดเระ(เมะ) X ทาสรัก(เคะ)
โลกที่สาม: นักบวชครึ่งโพธิสัตว์ครึ่งปีศาจ(เมะ) X วิญญาณพิศวาสผู้งดงาม(เคะ)
โลกที่สี่: ลูกศิษย์ปีศาจงู(เมะ) X ปรมาจารย์ผู้งดงามสูงส่ง(เคะ)
โลกที่ห้า: ทายาทเพียงคนเดียว(เมะ) X พ่อบ้าน(เคะ)
? 5in1 อ่าน 1 ได้ถึง 5
ใน
นิยายแต่ละเรื่องที่ ‘อวี๋มู่’ ได้เข้าไปทำภารกิจให้ตัวร้ายตกหลุมรัก เขาจะต้องนำทางตัวร้ายไปสู่ทางที่ดีขึ้นด้วย และในทุกๆโลกนิยายที่เขาไป นักอ่านก็จะพบกับโมเมนต์ที่แตกต่าง (เป็นนิยายที่เสพโมเมนต์ได้คุ้มที่สุด) เรียกว่าอ่านนิยายเรื่องนี้แค่เรื่องเดียว เหมือนกับได้อ่านนิยายถึง 5 เรื่อง
อวี๋มู่จะต้องทำการพิชิตใจตัวร้าย เมื่อได้หัวใจเต็ม ?เมื่อไหร่ เขาก็จะได้ไปทำภารกิจในโลกนิยายเรื่องถัดไปทันที เพราะสุดท้ายปลายทางของเขา ก็คือการชุบชีวิตของ ชีหย่วน ขึ้นมา แต่เขาจะทำได้หรือไม่ ทุกคนก็ต้องไปติดตามลุ้นต่อได้ในนิยายเรื่อง “ระบบข้ามมิติ ไปเป็นแสงจันทร์ขาวของตัวร้าย”
ปล. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบนิยายวายแนวเมะคลั่งรักหรือเมะที่ใจร้าย ?
ตอนที่อวี๋มู่ได้รับข่าวการเสียชีวิตของชีหย่วนนั้น เขากำลังทำโอทีอยู่ที่บริษัท
แปลนที่เจ้านายสั่งไว้ต้องเสร็จและยื่นก่อนเที่ยงคืน งานก็ยากอยู่แล้ว ยังต้องมาเจอเร่งงานในเวลาคับขันแบบนี้ เขาเปิดลิ้นชักและหยิบบุหรี่ออกมา พร้อมกับโทรศัพท์มือถือในมือและเดินไปยังเขตสูบบุหรี่ จุดไฟสูบบุหรี่แล้วไถมือถืออ่านข่าวไปพลาง
บังเอิญเลื่อนไปเจอหน้าข่าวสารธุรกิจ เห็นใบหน้าสวยงามที่เขาคุ้นเคยและแปลกหน้าในคราวเดียวกัน
ประธานบริษัทหนุ่มแห่งเครือตระกูลชี ชีหย่วน เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ด้วยวัยเพียงยี่สิบสามปี นี่มันสวรรค์ริษยาคนเก่งชัดๆ ข่าวนี้เป็นที่จับตามองของคนทั่วโลก
อวี๋มู่จ้องโทรศัพท์อย่างชะงัก บุหรี่ที่ยังติดไฟร่วงหล่นจากปากไม่รู้ตัว
นิ้วของเขาเลื่อนดูข่าวหน้านั้นอย่างละเอียดซ้ำๆ หลายรอบ ถึงได้แน่ใจว่านี่คือชีหย่วน เด็กน้อยข้างบ้านที่คอยวิ่งตามหลังเขาต้อยๆ และเรียกเขาว่า “พี่มู่”
ลำคอเหือดแห้ง ในใจมีเพียงความกระวนกระวาย ผ่านไปพักใหญ่ อวี๋มู่ถึงเก็บบุหรี่นั้นขึ้นมา ดับและโยนมันเข้าถังขยะ
เขากลับไปนั่งยังโต๊ะทำงานอีกครั้ง พร้อมกับหัวสมองที่ว่างเปล่า ไม่อาจวาดอะไรออกมาได้อีก
ปีนี้อวี๋มู่อายุย่างเข้ายี่สิบแปด ชีหย่วนอ่อนกว่าเขาห้าปี
ครั้งล่าสุดที่เขาเจอชีหย่วนคือเจ็ดปีที่แล้ว ตอนนั้นชีหย่วนอายุเพียงแค่สิบหก กำลังขึ้นมัธยมชั้นปีที่ห้า พักอยู่หอเดียวกันกับเขา
แม่ของชีหย่วนเสียไปตั้งแต่เขาอยู่มัธยมปีที่สอง ปีนั้นมีผู้ชายมาพบชีหย่วนที่หอพัก
จนถึงวันนี้อวี๋มู่ยังคงจำรถหรูสีดำคันนั้นที่ผู้ชายคนนั้นขับได้เป็นอย่างดี
เพื่อนๆ บอกกับเขาว่า แค่ลำพังรถคันนั้นก็ซื้อบ้านในเมือง A นี้ได้สามหลังแล้ว
ตอนนั้นชีหย่วนไม่ได้ไป เหมือนว่าเขาตกลงอะไรบางอย่างกับชายคนนั้น ชายคนนั้นรับผิดชอบค่าใช้จ่ายประจำวันของเขา ส่วนเขาตัดสินใจพักอยู่ที่หอพักสถาบันต่อ
อวี๋มู่ในขณะนั้นเป็นคนพูดตรงไปตรงมา จึงวิ่งไปหยอกล้อชีหย่วนว่า “คิดไม่ถึงว่าหย่วนน้อยของเราจะเป็นถึงคุณชายผู้สูงศักดิ์แหนะ อีกหน่อยพี่คงต้องพึ่งเธอแล้วสินะ!”
ดวงตากลมโตคู่นั้นของชีหย่วนมองเขาอยู่นาน จากนั้นยิ้มออกมา ท่าทางเรียบร้อย และเอ่ยว่า “พี่มู่ นั่นไม่ใช่พ่อผม ผมไม่มีวันยอมรับเขาเป็นพ่อเด็ดขาด”
ทว่า เขาคว้ามือของอวี๋มู่และบอกว่า “แต่ผมนับพี่เป็นพี่ชายของผม เป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวของผมนะ และผมก็อยากอยู่กับพี่ตลอดไปด้วย”
ตอนนั้นทั้งสองคนยังเด็กมาก อวี๋มู่เองไม่รับรู้ความหมายของคำพูดนี้ กลับรู้สึกปลาบปลื้ม จึงควักเงินในกระเป๋าของตัวเองกว่าร้อยหยวนเพื่อเลี้ยงปิ้งย่างเขา
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นสนิทสนมกันมาสิบกว่าปี จุดแตกหักคือเจ็ดปีที่แล้วนั่นเอง
ชีหย่วนสารภาพรักกับเขา ทั้งยังจูบเขาด้วย
แรกเริ่มอวี๋มู่ตกใจ จากนั้นรู้สึกรังเกียจ เขาด่าทอชีหย่วนยกใหญ่ บอกให้เขาไสหัวไป แล้วยังบอกว่าเขาเป็นโรคจิต ผิดปกติ
เขาด่าออกมาอย่างไม่น่าฟัง จากนั้นก็เห็นดวงตาของชีหย่วนแดงรื้น
หลังจากชีหย่วนเดินจากไป อวี๋มู่ก็รู้สึกผิด
หลังจากนั้นเขาไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเพศศึกษา พบว่าการรักร่วมเพศไม่ใช่โรค มีหลายครั้งที่การชอบใครสักคนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศแต่อย่างใด
แต่ตอนนั้นเขาพึ่งโมโหใส่อีกฝ่ายไป จะให้ไปขอโทษก็กลัวเสียหน้า
จากนั้นเรื่องก็ลากยาวไปจนปิดเทอมใหญ่ตอนที่เขากลับบ้าน ชีหย่วนย้ายออกจากหอพัก หลังจากที่ได้เจอกันอีกรอบ ชีหย่วนก็กลายเป็นทายาทแห่งเครือตระกูลชี มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยมหาศาลเป็นที่เรียบร้อย ทำให้สถานะของทั้งสองห่างกันราวฟ้าดิน
บางครั้ง ความสัมพันธ์ของคนเราก็เป็นเช่นนี้ บทจะจบก็คือจบ ไม่มีแม้กระทั่งเวลาให้ได้เตรียมใจ
อวี๋มู่อยากจะขอโทษ เห็นทีคงไม่มีโอกาส
มาตอนนี้ชีหย่วนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ยิ่งทำให้เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นความรู้สึกผิดของเขาไปตลอดชีวิต
แปลนที่ลูกค้าสั่งไว้จนถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่สามารถวาดออกมาได้ อวี๋มู่ถูกเจ้านายตวาดกราด เขาฟังอย่างมึนๆ งงๆ จนท้ายที่สุด อีกฝ่ายเหมือนเห็นความผิดปกติของเขา จึงปล่อยไป และยังบอกให้เขาพักผ่อนเยอะๆ
อวี๋มู่ขอลาเพื่อที่จะไปงานศพของชีหย่วน
อย่างไรก็ตาม ชีหย่วนซึ่งเป็นถึงประธานบริษัทเครือตระกูลชี งานศพจึงจัดอย่างยิ่งใหญ่ สะท้านไปทั้งเมืองA
ตอนแรกอวี๋มู่คิดอยู่ว่าฐานะอย่างเขาคงไม่มีทางผ่านประตูไปได้ด้วยซ้ำ แต่กลับพบว่าคนต้อนรับนั้น เมื่อเห็นเขาก็ปล่อยผ่านเข้ามาโดยไม่ซักถามแม้แต่คำเดียว ราวกับว่ามีใครสั่งไว้
เขาไม่อยากคิดมากมาย จึงเดินปะปนกับผู้คนเข้าไป พร้อมกับวางดอกไม้ที่ซื้อมาตรงหน้าโบสถ์ สายตามองไปยังรูปภาพขาวดำของชีหย่วนที่ตั้งไว้ ในใจเกิดความรู้สึกมึนงง
เวลาเจ็ดปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไอ้นี่ก็ยังหน้าสวยเหมือนเดิม แต่ก็ดูมีความเป็นผู้ชาย แววตาเฉียบคม ปราศจากรอยยิ้มบนรูป ให้ความรู้สึกเย็นชา
“พี่มู่ ในที่สุดพี่ก็ยอมมาพบผมแล้วสินะ”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงชีหย่วนแว่วเข้ามาในหู อวี๋มู่สะดุ้งมองไปรอบทิศ แต่ก็ไม่เจอใคร
เขาเดินไปอีกทาง แล้วกดนวดบริเวณขมับที่เริ่มปวดเพราะอดนอนมาทั้งคืน พร้อมกับปลอบตัวเองในใจว่าคงหูแว่วไปเอง
ไม่งั้นจะได้ยินเสียงคนตายไปแล้วได้ยังไงกัน?
แขกที่มางานศพล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลใหญ่โตในเมือง A คนธรรมดาอวี๋มู่ไม่มีสิทธิ์รู้จักแน่นอน
เขาในตอนนี้ก็ใช่ว่าจะมีอารมณ์เข้าไปทำความรู้จัก เพียงแต่จ้องมองรูปชีหย่วนอยู่อย่างนั้น มือกำหมัดแน่น ดวงตาเริ่มแดงรื้น
ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจภายหลังแล้ว
เขาอยากขอโทษชีหย่วน อยากบอกกับเขาว่าที่พูดไปตอนนั้นเพราะอารมณ์โมโห เขาไม่เคยเกลียดชีหย่วนเลย
เขายังคงมองชีหย่วนเป็นน้องชาย เป็นคนในครอบครัว
เขาหวังให้ชีหย่วนฟื้นขึ้นมา มีชีวิต มีสุขภาพที่แข็งแรง
เพียงแต่คำพูดเหล่านี้ แม้เขาอยากพูดแค่ไหน ก็ไม่มีคนฟังอีกแล้ว
สุดท้าย เขาเดินออกจากโบสถ์ไปเงียบๆ แต่กลับไม่เห็นว่ามีเงาใครอีกคนเดินตามหลังเขาออกไป
เมื่อออกจากงานศพที่น่าอึดอัด ในที่สุดอวี๋มู่ก็ทนต่อไปไม่ไหว
เขาเดินเข้าร้านอาหารตงเป่ยร้านนึง สั่งเหล้าเอ้อร์กัวโถว[1]มาสามขวด แล้วมอมเหล้าตัวเอง เมื่อถึงบ้านก็กอดโถส้วมอาเจียน กลิ่นเหม็นเปรี้ยวไหลเยิ้มพร้อมน้ำมูกน้ำตา ไม่นานใบหน้าหล่อเหลาก็เปลี่ยนเป็นดูไม่จืด
ในกระเพาะเหมือนมีไฟแผดเผา ขณะเดียวกันก็เจ็บปวดในใจ อวี๋มู่ดวงตาแดงก่ำ มือยื่นไปกดชักโครก พร้อมกับสบถออกมา “ไอ้บ้าเอ้ย!”
เหมือนเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ไฟที่เก็บกดอยู่ในใจมานานในที่สุดก็ปะทุออกมา
เขาเตะกำแพง ถีบประตู เขวี้ยงปาข้าวของ ความอึดอัดที่ผ่านมา ความรู้สึกผิดและเจ็บปวดที่อยู่ก้นบึ้งในใจ ทำให้เขากลายเป็นคนบ้าไปแล้วในตอนนี้
เขาเริ่มพึมพำออกมา
“ชีหย่วน ไอ้เด็กเวร!”
“ไหนบอกจะอยู่ยืนยงคงกระพันไม่ใช่รึไง ไอ้ลูกสุนัข ทำไมถึงตายเร็วแบบนี้!”
“.......”
เขาด่าทอระบายออกมาชุดใหญ่ จนสุดท้ายหลังพิงกำแพงและนั่งฟุบลงกับพื้น สูทดำเชิ้ตขาวยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ใบหน้าหล่อเหลาคอตก ขนตาเรียงยาว จมูกโด่งเป็นสัน โดยรวมดูดีแต่ก็มีความเป็นนักเลงเล็กน้อย เพียงแต่ริมฝีปากที่ซีดจาง หลังจากการทำร้ายตัวเองก็เริ่มมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมาบ้าง
อวี๋มู่ใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าที่สกปรกมอมแมม หัวสมองตื้อไปหมด หลอดลมแสบร้อนวูบวาบ เขาเหม่อมอง ความทรงจำเกี่ยวกับชีหย่วนที่ถูกปิดตายปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาเปลี่ยนจากชัดเจนเป็นค่อยๆ พร่าเบลอ จวบจนน้ำใสๆ รื้นออกมาจนขนตาเปียกชุ่ม ไหลรินอาบแก้มเม็ดแล้วเม็ดเล่า
ไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เพียงแต่หลังจากตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งรอบตัวอวี๋มู่ก็เปลี่ยนไปหมด
[สวัสดีครับ โฮสต์ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ระบบหยวนเมิ่ง ทำฝันให้เป็นจริง ขอเพียงท่านสามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ลุล่วง ท่านจะสามารถขอพรได้หนึ่งข้อ]
เสียงหนึ่งดังอยู่ข้างในสมอง อวี๋มู่หยิกแขนตัวเอง
รู้สึกเจ็บ นี่ไม่ใช่ความฝัน และไม่ใช่เมาค้างหลังตื่นด้วย เขาข้ามมิติมาของจริง
“.......ฉันไม่อยากได้ระบบหยวนเมิ่ง ปล่อยฉันออกไป” เขาลุกขึ้นจากเตียงไม้ เมื่อตื่นจากอาการเมาค้าง อวี๋มู่ก็ใจเย็นและได้สติมากขึ้น
ระบบยังคงกล่าวต่อ [เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น เราสามารถทำพรของท่านให้เป็นจริงได้ นั่นรวมถึงการชุบชีวิตคนตายด้วยนะครับ โฮสต์แน่ใจว่าจะไม่พิจารณาจริงๆ หรือครับ?]
ฟังจบ อวี๋มู่เริ่มก่อเกิดความสนใจ
เขาเอ่ยถาม “ภารกิจอะไร?”
[โฮสต์ต้องข้ามมิติไปยังโลกของนิยายห้าเรื่อง และเป็นแสงจันทร์ขาว(白月光[2])ของตัวร้ายในเรื่อง เติมเต็มคะแนนความประทับใจของตัวร้ายทั้งห้าตัว จะถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจครับ]
ดูเหมือนจะไม่ยาก
ขณะที่คิด ในสมองอวี๋มู่ก็ปรากฏใบหน้าสวยของชีหย่วนแวบขึ้นมา ในที่สุดก็กัดฟัน ยอมตอบตกลงรับภารกิจ
แม้ว่าจะไม่ค่อยเชื่อใจเจ้าระบบนี่เท่าไหร่ และยังไม่แน่ใจกับสถานการณ์ตอนนี้มากนัก แต่เมื่อได้ยินเรื่องความหวังในการทำให้ชีหย่วนฟื้นกลับมาได้ เขาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะลองดูซักตั้ง
-------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1]二锅头 เหล้าเอ้อร์กัวโถว แบรนด์เหล้าขาวประเภทหนึ่งของจีน
[2]白月光 ไป๋เยวี่ยกวง ภาษาไทย แปลได้ความว่า แสงจันทร์ขาว เป็นคำแสลงเปรียบกับการที่เรารักใครบางคนอย่างลึกซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ไม่อาจได้เค้ามาครอบครอง ได้แต่เฝ้าฝันถึง แต่ไม่อาจได้คู่กัน
เล่มที่ 1 ตอนที่ 2 นักเรียนตัวน้อยที่น่าสงสาร 02
ระบบแจ้งว่าโลกที่เขาข้ามมิติมานั้น เล่าถึงเรื่องราวความรักลุ่มๆดอนๆของพระเอกนางเอก ตัวละครวายร้ายในเรื่องคือคนที่ภายนอกดูสุขุมแต่แท้จริงแล้วเป็นโรคจิต ด้วยเหตุผลที่ว่านางเอกหน้าตาคลับคล้ายคลับคลากับแสงจันทร์ขาว ครูในวัยเด็กที่เขาแอบหลงรัก ดังนั้นจึงใช้อำนาจที่ตัวเองมี เล่นงานพระเอกและยังวางแผนจัดการกับนางเอก ก่อเรื่องโรคจิตมากมายนับไม่ถ้วน
ขณะนี้อวี๋มู่ก็คือครูแสงจันทร์ขาวคนนั้นนั่นเอง เขาต้องเพิ่มคะแนนความประทับใจของตัวร้ายให้เต็ม ต้องสร้างเรื่องราวที่ไม่อาจลืมเลือนในใจของอีกฝ่าย
อวี๋มู่ส่องใบหน้าในกระจกที่อยู่เหนือกะละมังล้างหน้า ดวงตาที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ตาชั้นเดียว เรียวยาวชี้ขึ้นเล็กน้อย ริมฝีฝากสีบาง ผมยาวกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย ถูกเซตไว้อย่างเรียบร้อย ลดทอนความก๋ากั่นในตัวเขา
ใบหน้าเดียวกัน มีเพียงความยาวของผมที่เปลี่ยนไป
ท่วงท่าของมือที่โกนเครารกออกจนสะอาดเกลี้ยงเกลา ในขณะที่มือลูบไปตามใบหน้า ในใจของอวี๋มู่ก็เรียบเรียงข้อมูลของนิยายที่ได้มาจากระบบ
ข้อมูลของตัวร้ายในวัยเด็กถูกพูดถึงน้อยมากๆ มีเพียงคำบอกเล่าว่าเขามีครูที่แอบรักอยู่ แล้วยังเป็นบุคคลล้ำค่าในชีวิต ส่วนเรื่องที่ว่ากลายมาเป็นคนที่เขาแอบรักได้อย่างไร ล้วนต้องให้อวี๋มู่เป็นคนสืบเอง
ตัวร้ายในเรื่องปรากฏตัวออกมาขณะที่อายุประมาณ 30 กว่าแล้ว มีอำนาจ เงินทองและความหล่อเหลา ดูจากภายนอกไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาโรคจิตขนาดไหน
นิยายดำเนินมาถึงกลางเรื่อง ตัวร้ายนั้นถึงขั้นขอร้องให้นางเอกตัดผมสั้น รัดหน้าอกและแต่งเป็นชาย ทั้งยังจะพานางผ่าตัดแปลงเพศ หากไม่ใช่เพราะพระเอกเร่งรีบไปช่วยนางเอกไว้ทัน ตัวร้ายคงจับนางเอกแปลงร่างกลายเป็นผู้ชายไปเสียแล้ว
หลังจากพระเอกช่วยนางเอกไว้ได้ เรื่องราวของตัวร้ายถูกเปิดโปง ขณะที่ตำรวจกำลังพาตัวเขาไป ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนใส่นางเอกว่า “ครูครับ!” นางเอกตกใจจนต้องโผเข้าหาอ้อมอกของพระเอก ตัวร้ายกลับส่ายหัวและหัวเราะเบาๆพร้อมเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่ใช่สิ เธอไม่ใช่คุณครู”
จากนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เขาคว้าปืนของตำรวจที่ห้อยอยู่ตรงเอวและก็ฆ่าตัวตาย
อวี๋มู่เป็นชายแท้ เขาไม่อาจเข้าใจได้มากนักว่าทำไมผู้ชายคนนึงถึงชื่นชอบผู้ชายอีกคนนึงได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเข้าใจถึงความรักของตัวร้ายที่มีต่อคุณครูได้
แต่ในเมื่อละครพูดชัดเจนว่าตัวร้ายตอนเป็นวัยรุ่นแค่แอบรักคุณครูฝ่ายเดียว งั้นสิ่งที่เขาต้องทำก็คือทำดีกับตัวร้าย แล้วก็เติมคะแนนความประทับใจให้เต็มก็พอแล้วสิ
ส่วนเรื่องที่จะสร้างความสับสนทุกข์ทรมานให้กับตัวร้ายหลังจากแอบรักเขา มันก็คงยากที่จะให้ชายทั้งแท่งอย่างเขาเข้าใจได้
หลังจากเคลียร์ชัด อวี๋มู่ก็ยกกะละมังล้างหน้าออกไปเทน้ำทิ้ง
เช้าสดใสในเดือนเมษายน ยังมีความหนาวเย็น เขาใส่เสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขาสั้นเป็นชุดนอน ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เปลี่ยน
เขตบ้านพักมีคนตื่นขึ้นมาแล้วนั่นก็คือเพื่อนบ้านที่พักอยู่ข้างๆ จางเหมย อายุ 30 ปี ร่างอวบ เธอกำลังยืนอยู่หน้าบ้านตัวเองต้มไข่และโจ๊ก กลิ่นข้าวนั้นหอมกรุ่นไปทั่วที่พัก
“ครูอวี๋ตื่นแล้วหรือ?” เธอยิ้มให้ครูอวี๋ “ใส่บางแค่นี้คงหนาวน่าดู รีบกลับเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ”
เนื่องจากถูกย้ายงานจึงต้องมาประจำเป็นคุณครูมัธยมอยู่ที่เมืองเป่ย อวี๋มู่พึ่งจะย้ายเข้าที่พักเมื่อวันก่อน แต่จางเหมยกลับรู้ข่าวสารความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เลยรู้มาว่าเขาจะมาทำหน้าที่เป็นครู เพียงแค่ 2 วันก็เรียกครูอวี๋ ครูอวี๋จนติดปากแล้ว
เธอเปิดฝาหม้อออก ล้วงไข่ที่มีเม็ดข้าวติดอยู่ออกมา 2 ฟอง ล้างด้วยน้ำสะอาดและเดินมาข้างๆอวี๋มู่ เธอยื่นให้เขา “ครูอวี๋ นี่ไข่ ครูเอาไว้กินเป็นมื้อเช้านะ”
อวี๋มู่รู้ว่าเธอหวังดี ปฏิเสธด้วยความเกรงใจไม่กี่ประโยค สุดท้ายก็รับไว้แต่โดยดี
เขาถือไข่ไว้ก่อนจะหันหลังกลับ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกระจกแตกดังมาจากฝั่งตรงข้าม ถัดจากนั้นก็เป็นเสียงฝีเท้าวุ่นวาย เขวี้ยงปาข้าวของ พร้อมกับเสียงด่าทอ
ประตูที่ปิดอยู่ถูกผลักออกอย่างแรง หญิงสาวผอมบางถูกชายหนุ่มสูงใหญ่จิกผมหิ้วออกมา กระแทกลงพื้น ไม่ทันที่เธอจะลุกขึ้น ชายหนุ่มหันขวับไปหยิบไม้กวาดที่กำแพงมาฟาดบนตัวหญิงสาว
“พูดมาเดี๋ยวนี้ เมื่อวานแกไปทำอะไรมา! ไปยั่วยวนใส่ผู้ชายมาอีกแล้วใช่มั้ย? นังสารเลว! แพศยา! โสเภณีให้คนเล่นไปทั่วเมือง”
เขาด่ากราด หยาบคาย เสียงดังก้องทั่วบ้านพักจนแสบแก้วหู
ไม่นานนัก มีเด็กหนุ่มผอมสูงอีกคนโผล่มาจากในบ้าน ใส่เสื้อนักเรียนสีน้ำเงินขาว บนหน้าผากยังมีรอยเลือด เขาเกาะเสาบ้านเอาไว้ หรี่ตาเพื่อมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่ชัดเจนแล้ว เด็กหนุ่มก็รีบวิ่งไปผลักผู้ชายคนนั้นออก ก่อนจะก้มลงเอาตัวบังผู้หญิงไว้ นิ่งเงียบไม่พูดจาขณะที่ผู้ชายคนนั้นใส่ความโกรธมาที่เขา ใช้ไม้กวาดอันใหญ่และหนักทุบตีหลังที่โค้งงออยู่
“ไอ้เด็กเลว กล้าผลักฉันงั้นเรอะ? ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม? ฉันจะฟาดแกให้ตายคามือ!”
ชายคนนั้นลงมือหนักขึ้นเรื่อยๆ เสียงตะคอกทำให้เพื่อนบ้านต่างพากันออกมาดู หวางปิง สามีของจางเหมยรีบไปคว้าตัวชายคนนั้น อวี๋มู่เองก็เข้าไปช่วยด้วย ถึงแยกชายคนนั้นออกมาได้
เพื่อนบ้านคนอื่นอีกสองบ้านก็มาช่วยดึงชายคนนั้นแยกไปพร้อมกับปราม อวี๋มู่เคลื่อนสายตาไปยังเด็กหนุ่มที่คุกเข่าอยู่หน้าผู้หญิงคนนั้น
ผมหน้าม้าของเด็กหนุ่มยาวจนปรกไปครึ่งใบหน้า หน้าผากซ้ายแตก เลือดไหลมาติดกับไรผมจนแห้งกรัง สภาพเลอะเทอะ
ที่อวี๋มู่สังเกตุเขาก็เพราะว่า บนหัวของเด็กหนุ่มมีตัวหนังสือปรากฏขึ้นมา
[เป้าหมาย: เหลียงหาน อายุ:16 อาชีพ:นักเรียน เริ่มต้นภารกิจ]
หลังจากตัวหนังสือ ก็มีหัวใจสีดำ 5 ดวงปรากฏขึ้นเหนือหัวเหลียงหาน
ขณะนั้นเองเสียงของระบบก็ดังขึ้น [หัวใจ 5 ดวงนี้หมายถึงความพึงพอใจของเหลียงหานที่มีต่อคุณ เมื่อไหร่ก็ตามที่หัวใจเปลี่ยนเป็นสีแดง ก็นับว่าภารกิจของคุณเป็นอันลุล่วงสำเร็จ]
อวี๋มู่ส่งสัญญาณรับรู้
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ว่าจะทำให้เหลียงหานรู้สึกดีกับเขาได้ยังไง ก็ได้ยินเสียงตบดังฉาด
เสียงนั้นมาจากผู้หญิงที่เหลียงหานปกป้องเมื่อสักครู่ ใช้มือตบเขา
ผู้หญิงคนนั้นตบอย่างแรงพร้อมตะคอก หน้าเหลียงหานถึงกับหันไปอีกทาง “ไป! ไสหัวไป! ฉันไม่ต้องให้แกมาปกป้อง!”
ที่ทำให้อวี๋๋มู่ตกใจคือ ท่าทีของเหลียงหานเหมือนเคยชินแล้ว ไม่ได้ส่งเสียง หรือร้องห่มร้องไห้ เพียงแต่ก้มหน้าลงต่ำ แล้วส่งเสียงเรียก “แม่”
หญิงสาวแผดเสียงดัง “ฉันไม่ใช่แม่แก! แกก็ไม่ใช่ลูกชายฉัน ไปให้พ้น! ไป๊!”
จางเหมยได้ยินเสียงจากทางนี้ รีบเดินมาแล้วดึงเสื้อเหลียงหาน “พอได้แล้ว เสี่ยวหาน เธอไปเรียนเถอะ ให้แม่เธอได้สงบสติอารมณ์ก่อน ทางนี้ยังมีพวกเราน่า”
เขากลับเข้าห้องไปหยิบเป้ แผลที่หน้าผากยังไม่ได้ล้าง หน้าบวมเป่ง ดูท่าแล้วน่าจะยังไม่ได้กินอะไร ชุดนักเรียนนั้นมอมแมม แทบจะใช้คำว่ากระเซอะกระเซิงมาบรรยายได้เลย
อวี๋มู่ใช้สายตาวิเคราะห์เขา มองดูร่างผอมบางของเขาที่กำลังเดินผ่านตัวเองไป
จู่ๆ เขาก็ยื่นมือออกมา คว้ามือของเหลียงหานไว้ มือที่เย็นเฉียบมีแต่กระดูก
เขายัดไข่อุ่นๆ ใส่มือเหลียงหาน อวี๋มู่ใช้มือสองข้างพับนิ้วเรียวผอมของเขาลง สื่อถึงการห้ามปฏิเสธเด็ดขาด
“เอาไว้ กินระหว่างทาง”
เหลียงหานเงยหน้ามองเขา สายตามองผ่านหน้าม้ามายังใบหน้าอวี๋มู่
ไม่นานนัก เขาก็เอ่ยปาก เสียงนั้นแหบพร่า “ไม่ต้อง”
พูดจบ เขาจะยื่นไข่คืนให้อวี๋มู่ ใครจะทราบว่าอวี๋มู่กลับเก็บมือกลับไป ทั้งยังตบบ่าเขาเบาๆ แล้วผลักเขาออกไป เอ่ยเหมือนเร่งเขา “ยังไม่ไป เดี๋ยวจะเข้าเรียนสายแล้วนะ”
สุดท้าย เหลียงหานก็รับไข่ใบนั้นไว้ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้กินระหว่างทาง กลับโยนมันลงรถเก็บขยะที่พบระหว่างทาง หลังจากบดขยี้้จนแหลกละเอียด
“ระบบ ทำไมเมื่อกี้ไม่เห็นมีคะแนนความประทับใจเพิ่มขึ้นเลยล่ะ?” อวี๋มู่ปั่นจักรยานไปทำงานพร้อมกับเอ่ยถาม
[โฮสท์ครับ คุณนึกว่ากำลังเลี้ยงหมาอยู่หืรอ?] ระบบทำท่าเบื่อหน่าย [คุณเห็นเหลียงหานเป็นคนที่แค่ได้ไข่มาใบนึงก็จะส่ายหางกระดิกไปมาให้คุณรึึไง?]
“ก็ไม่เหมือนจริงๆ นั่นแหละ” อวี๋มู่พยักหน้า
สถานการณ์ของเหลียงหานนั้นยากทีเดียว จุดนี้อวี๋มู่ได้สัมผัสเองแล้ว
มีครอบครัวแบบนี้ เหลียงหานโตขึ้นจะกลายเป็นตัวร้ายก็ไม่แปลก
ถ้าเขาอยากได้รับความเชื่อใจจากอีกฝ่าย คงไม่มีทางสำเร็จได้ในวันสองวัน
วันนี้เป็นวันแรกที่อวี๋มู่เข้าทำงาน นับแต่วันนี้ เขารับหน้าที่เป็นครูประจำชั้นนของชั้นมัธยมปีที่ 4/3
เขาแนะนำตัวเองบนชั้นเรียนเสร็จสรรพ สายตาของอว๋มู่ไปหยุดอยู่ที่เหลียงหานที่ยืนแถวหลังสุดไม่กี่วินาที แต่หน้าม้าที่บดบังทำให้มองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
แม้ว่าอวี๋มู่จะมีท่าทางออกห้าวเป้ง นิสัยเกเร แต่การเรียนกลับไม่แย่ ก่อนจะข้ามมิติมา เขาเองก็ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัย เมื่อได้รับภารกิจให้สอน ทั้งคาบจึึงผ่านไปอย่างราบรื่น
เป็นเพราะผมนั้นยาวไม่มาก ทั้งยังหวีจนเนี๊ยบเรียบร้อย ตอนสอนก็ท่าทางจริงจัง ความเกเรของอวี๋มู่จึงไม่ค่อยแสดงออกมาเท่าไหร่ ทำให้นักเรียนค่อนข้างมีความประทับใจ
โดยเฉพาะเด็กหญิงทั้งหลาย มีไม่น้อยที่วิ่งมาถามคำถามหลังเลิกเรียน
อวี๋มู่จึงอาศัยโอกาสนี้สำรวจบรรยากาศในห้องเรียน
เด็กชั้นนี้เรียนด้วยกันมาแล้วหนึ่งภาคเรียน กลุ่มนักเรียนจึงจับตัวเป็นกลุ่มแล้ว มีความชอบเหมือนกัน นิสัยเข้ากันได้ก็อยู่ด้วยกัน แต่มีเพียงคนเดียวที่ดูจะแปลกแยกอยู่คนเดียว
เหลียงหานภายนอกดูเป็นคนไม่น่าคบหา ทั้งตัวมีไอดำหม่นหมอง โดยธรรมชาติคงไม่มีใครอยากเข้าใกล้เขา
นั่งอยู่แถวหลังสุด โต๊ะเดี่ยว การปรนนิบัติแบบนี้คง"ผลงานชิ้นเอก"จากครูคนเก่า
และนั่นทำให้เหลียงหานแปลกแยกจากคนอื่นอย่างชัดเจน
อวี๋มู่ขมวดคิ้ว นี่คงเป็นต้นตอของความเก็บกด
ดูท่าทีแล้วไม่ว่าจะด้วยเรื่องครอบครัว หรือโรงเรียน เหลียงหานก็ไม่มีความสุขเสียเลย
นักเรียนของมัธยมของเมืองเป่ย ตอนกลางวันต้องมีวิ่งออกกำลังกาย โดยการวิ่งรอบสนาม 400 เมตร 4 รอบสนาม ครูประจำชั้นยืนดูอยู่ด้านข้าง แต่มีบ้างที่วิ่งด้วยกับนักเรียน
การออกกำลังกายเช่นนี้ช่วยเพิ่มความสูงให้กับนักเรียนในวัยนี้ รูปร่างสูงโปร่ง แต่ว่าช่วงวัยนี้ ผู้ปกครองมักจะสรรหาวิธีมาบำรุงร่างกายให้พวกเขา ข้อนี้อวี๋มู่เองก็ผ่านมาแล้วในช่วงมัธยมต้น ไม่รู้ว่าแม่ยัดของดีอะไรไปให้บ้าง
อวี๋มู่วิ่งไปกับนักเรียน เห็นนักเรียนชายวิ่งกันอย่างกระฉับกระเฉง มีบ้างที่วิ่งไปใกล้นักเรียนหญิง หยอกล้อผมหางม้าของพวกผู้หญิงกัน
มีเพียงเหลียงหานที่ผอมโซเกินไป ชุดนักเรียนหลวมโครกครากอยู่บนตัวเขา เขาก้มหน้าก้มตาวิ่งเงียบๆ
อวี๋มู่สังเกตเห็นริมฝีปากเขาแห้งแตก และซีด เมื่อวิ่งได้สามรอบก็เห็นทีจะยืนไม่นิ่งแล้ว
นึกถึงเมื่อเช้าที่เหลียงหานถูกทุบตีมา อวี๋มู่รู้สึกมีลางไม่ดีบางอย่าง
และก็เป็นตามนั้น ขณะที่รอบสุดท้ายกำลังจะจบ เหลียงหานก็เป็นลมไป สร้างความตื่นตระหนกกับเพื่อนนักเรียน
อวี๋มู่วิ่งรี่เข้าไป แบกตัวเขาขึ้นมา แล้วถามทางห้องพยาบาลจากครูท่านอื่น แล้วแบกเหลียงหานไปยังห้องพยาบาล
ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นนักเลงประจำโรงเรียนมาก่อน สมรรถภาพทางกายของอวี๋มู่ก็แข็งแรงมาตลอด ข้ามมิติมาหนนี้ ระบบบอกว่าลักษณะของตัวละครให้อิงจากร่างกายของเขามาอยู่แล้ว การแบกนักเรียนผอมบางอายุ 16 จึงถือเป็นเรื่องที่สบายมาก
ครูพยาบาลหญิงเห็นเหลียงหาน ก็ไม่ได้มีทีท่าตกใจแต่อย่างใด เพียงแต่บอกให้อวี๋มู่วางเขาลงบนเตียงอย่างใจเย็น เธอหยิบลูกอมองุ่นออกมาจากขวดให้เหลียงหานอมไว้ แล้วเกลี่ยผมหน้าม้าออกอย่างคล่องมือ จากนั้นล้างแผลทายาให้เขา
“นี่เป็นครั้งที่ 5 ในรอบเดือนนี้แล้ว” ครูพยาบาลหญิงถอนหายใจ เอ่ยกับอวี๋มู่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “คุณคือครูประจำชั้นคนใหม่สินะคะ ควรเรียกว่าไงดี?”
“แซ่อวี๋ อวี๋มู่”
ครูพยาบาลยิ้มแล้วเอ่ย “ฉันชื่อเถียนฟาง ครูเรียกฉันว่าเสี่ยวเถียนก็ได้”
พูดจบ เธอก็หุบยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “ครูอวี๋ คุณพึ่งรับช่วงต่อมาดูแลห้อง 3 คงยังไม่ค่อยรับรู้สถานการณ์ของเด็กคนนี้…...”
ข้อมูลที่ได้จากระบบนั้นมีไม่เยอะ วันนี้ได้ยินจากปากเถียงฟาง อวี๋มู่ถึงพบว่าสถานการณ์ย่ำแย่กว่าที่เขาคิดไว้อีก
พ่อของเหลียงหานแก่กว่าแม่เขา 5 ปี สารภาพรักกับแม่ไม่สำเร็จ จึงขืนใจอีกฝ่าย จากนั้นแม่ก็ท้อง ในยุคนั้นหญิงสาวที่ท้องก่อนแต่งก็ไม่ต่างจากการถูกทำลายชื่อเสียงทั้งชีวิต แม่เขาอยากทำแท้ง แต่ถูกครอบครัวห้ามปราม บอกว่าไม่อยากขายขี้หน้า สุดท้ายจึงบังคับให้แม่แต่งกับพ่อของเหลียงหาน
การแต่งงานที่เริ่มขึ้นด้วยการบังคับแบบนี้มีแต่สร้างบาดแผลให้กับเหลียงหานอย่างมาก บวกกับพ่อเขาเป็นคนไม่เอาไหนมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งด่าทุบตีเมียและลูก ไม่นานนักแม่เขาก็เริ่มสติแตก กลายเป็นโรคประสาท ที่หนักไปกว่านั้นคือร้องห่มร้องไห้โหยหวนเป็นผีบ้าทุกวัน ทั้งยังวิ่งไปกลางถนนร้องเพลง ทุกครั้งต้องให้คนออกไปตามหาจึงตามตัวกลับมาได้
ภายในบรรยากาศครอบครัวเช่นนี้ เหลียงหานยังมีชีวิตอยู่มาได้นับว่าไม่ง่ายเลย คุณภาพชีวิตยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เมื่อคุยกับเถียนฟางจบ อวี๋มู่ไปซื้อขนมปังครัวซองค์ นม ตอนที่จ่ายเงิน เหลือบเห็นบนชั้นวาง บนนั้นมีกิ๊ฟติดผมตั้งวางอยู่ ทั้งขาวดำ หลากสี หลากลวดลายการ์ตูน
นึกถึงตอนที่เถียนฟางเขี่ยผมหน้าม้าของเขาออก ไม่รู้ผีอะไรเข้าสิงอวี๋มู่หยิบกิ๊ฟติดผมสตรอว์เบอร์รี่มาอันนึง
เขาจำได้ตอน 9 ขวบ ชีหย่วนพึ่งย้ายมาพักที่หอพัก เป็นผู้ชายแท้ๆ แต่กลับน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิง แล้วยังสวมกระโปรงเด็กผู้หญิง มีกิ๊ฟสตรอว์เบอร์รี่แบบนี้ติดอยู่บนผมเหมือนกัน
เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงซื้อมันมา เพียงแต่เมื่อภารกิจเริ่มขึึ้น ความทรงจำของเขาคนนั้นก็มักจะโผล่ขึ้นมา ราวกับว่าให้เขาสะสมอะไรบางอย่าง
เมื่อกลับถึงห้อง เถียนฟางไม่อยู่ เหลียงหานเองยังไม่ตื่น
อวี๋มู่วางครัวซองค์กับนมไว้บนหัวเตียง อดใจไม่ไหวจึงติดกิ๊ฟบนหน้าม้าของเหลียงหาน เผยให้เห็นถึงใบหน้าที่ซ่อนมาตลอด
ใบหน้าเหลียงหานนั้นเล็กซูบตอบ สีผิวขาวซีดแต่เปล่งปลั่ง ขนตายาวเรียงเป็นแพ จมูกโด่งเป็นสันได้รูป ริมฝีปากบาง เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นทั่วไปที่เริ่มมีเครา มีสิวบ้างประปราย เขาถือว่ามีใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา
แต่ที่ไม่รู้คือทำไมต้องพยายามปิดมันไว้ด้วย
ทำไมต้องกลัวคนเห็นขนาดนั้น?
ขณะที่กำลังคิด เหลียงหานตื่นขึ้นมา
ลืมตาอย่างสะลึมสะลือ เพดานสีขาวที่เลือนลาง กลิ่นยาล้างแผลที่คุ้นเคยเตะจมูก ห้องพยาบาลที่คุ้นเคย
เหลียงหานรีบล้วงไปจับกระเป๋ากางเกงทันใด จับเจอธนบัตรเงินยับยู่ยี่สามใบ พลันโล่งอก
เมื่อคืนไปช่วยอาหลี่ที่ร้านขายของชำขนของหนึ่งชั่วโมง ได้มา 7 หยวน โชคดีที่ยังไม่หายไป
เมื่อโล่งอก เหลียงหานถึงพบว่าข้างเตียงมีคนนั่งอยู่
ซึ่งก็คือครูประจำชั้นคนใหม่ของเขานั่นเอง และเป็นเพื่อนบ้านใหม่ด้วย ชายคนนี้ชื่ออวี๋มู่
หลังจากเป็นลม ตอนที่ความทรงจำไม่แจ่มชัด เขายังพอจำได้ว่า คนๆ นี้แบกเขามายังห้องพยาบาล
เขาควรพูดว่าอะไรดี
“ครูอวี๋ครับ…...” เหลียงหานลุกขึ้นนั่ง อึกอักแล้วเอ่ย “ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจ” อวี๋มู่ตั้งใจทำหน้าที่ครูเต็มที่ เขาหยิบขนมปังกับนม คว้ามือเหลียงหานขึ้นมา วางมันลงไป เผยรอยยิ้มอ่อนโยนใจดี “ครูเถียนบอกว่าร่างกายของเธอสารอาหารไม่พอ คงเพราะไม่ค่อยได้กินอะไรดีๆ เห็นทีว่าไข่ตอนเช้าจะไม่พอซะแล้ว กินพวกนี้ให้หมดสิ”
เหลียงหานมองดูขนมปังในมือ อีกครั้งที่ต้องสัมผัสกับความอบอุ่นจากมืออวี๋มู่
แตกต่างจากมืออันเย็นเฉียบของตัวเอง มือของคนๆ นี้มักจะอุ่นแบบนี้เสมอ
ความรู้สึกเหมือนตอนที่เขายื่นไข่ให้ตอนเช้า
แต่ว่า เขาโยนไข่ใบนั้นทิ้งไป
เขาชักมือกลับ เหลียงหานวางขนมปังไว้บนเตียง “ครูครับ ผมรับไว้ไม่ได้”
“ทำไมรับไว้ไม่ได้ล่ะ?” อวี๋มู่ขมวดคิ้ว แกล้งเอ่ย “ไข่ตอนเช้าที่ให้ไป เธอยังรับไว้เลย ทำไมเปลี่ยนเป็นขนมปังถึงรับไม่ได้ล่ะ?”
เหลียงหานนึกไม่ถึงว่าอวี๋มู่จะเอาเรื่องไข่มาพูด เขาไม่อาจพูดออกมาได้ว่าเขาโยนทิ้งไปแล้ว ตอนนี้คงยังนอนอยู่ในถังขยะ
เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นี้ และไม่อยากติดค้างอะไรเขา เหมือนว่าอวี๋มู่จะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธ จึงบังคับเขา
อวี๋มู่เห็นเหลียงหานนื่งเงียบ จึงฉีกซองขนมปังออก แล้วค่อยๆ ยื่นไปใกล้ปากเขา ดวงตาเรียวยาว ยัดเยียดให้เขา “อาศัยตอนที่ครูยังไม่โกรธ รีบกินซะ”
เมื่อได้ใช้อำนาจความเป็นครู อวี๋มู่ทำเป็นครั้งแรก เขารู้สึกว่าก็สบายใจดีนะ
สุดท้ายเหลียงหานไม่อาจไม่รับขนมปัง จากนั้นกัดเข้าไปคำนึง
เขากินไปเรื่อยๆ อวี๋มู่สายตาจดจ่ออยู่แผงหัวใจสีเทาดำ 5 ดวงบนหัวเขาอย่างระแวดระวัง
แต่ไม่ว่าเขาจะมองยังไง หัวใจ 5 ดวงนั้นก็ยังดำเหมือนเดิม ไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนเป็นแดงแม้แต่นิดเดียว
อวีมู่เริ่มไม่สบายใจ
ตอนเช้าให้ไข่ เรียนอยู่ก็แบกมาห้องพยาบาล แล้วยังซื้อขนมปังกับนม ทำไมไม่เห็นแต้มขึ้นเลยล่ะ?
เจ้าเด็กนี่ตกลงแล้วกำลังคิดอะไรของเขาอยู่นะ?
เหลียงหานจับแววตาคุกรุ่นของเขาได้
จู่ๆ เหลียงหานเหมือนรู้สึกได้ถึงบางอย่าง รีบยื่นมือขึ้นมาลูบกิ๊ฟบนหัว ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าซีดเผือดแดงระเรื่อ
เขารีบคว้ากิ๊ฟลงมา เห็นสีสันหวานแหววนั้น ใบหน้ายิ่งแดงก่ำ รีบเกลี่ยผมหน้าม้ามาบังตา หลังจากนั้นถึงก้มหน้าก้มตากินต่อ
อวี๋มู่มองดูก็รู้สึกขำ ในใจก็คิดว่าเด็กนี่มีหน้าม้าเป็นชีวิตจิตใจรึยังไงนะ ไม่มีหน้าม้ากลับเขินอายขนาดนี้
แต่ว่าพริบตาเดียว ก็กลายเป็นเขาที่ตาโตแทน
เห็นเพียงหัวใจ 5 ดวงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยเมื่อครู่ ตอนนี้กลับมีดวงนึงจากทางซ้ายสว่างขึ้นมา จากนั้น 1 ใน 3 ของทั้งหมดก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงสด…...