22 ตุลาคม 2563
วันนี้ก็ครบรอบ 1 เดือน กับอีก 2 วันแล้วสินะที่ฉันตัดสินใจลงมือทำอัตตนิวิบากรรมตัวเอง หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือ ฆ่าตัวตาย นั่นแหละ เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2563 ฉันในขณะนั้นประสบกับปัญหาที่รุมเร้าและความทุกข์ทรมานใจจนถึงขีดสุด มรสุมลูกใหญ่ได่ผ่านเข้ามาในชีวิตฉัน แม้มันจะผ่านไปแล้ว แต่แน่นอนมันย่อมเหลือเศษซากของปรักหักพัง ความเจ็บปวด และทุกข์ทรมาน เศร้าหมอง โศกนาฏกรรมไม่ใช่เรื่องน่ายินดี เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็คงเรียกว่าสุขนาฏกรรมแทน ฉันจมดิ่งสู่ความมืดมิดในห้วงของอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก และจิตใจ ฉันหมดสิ้นซึ่งความหวัง มองไม่เห็นหนทางที่จะก้าวต่อไป ฉันอยากเป็นอิสระ อยากหลุดพ้น ชีวิตมันช่างโหดร้ายและทุกข์ทรมาน ฉันรู้ตัวมาตลอดว่าฉันกำลังอยู่ในภาวะอยากตาย ฉันทำร้ายตัวเองไปสามรอบในระยะเวลาใกล้ ๆ กันห่างกันเพียงไม่กี่วัน และแล้วก็ถึงวันที่ฉันหมดแรงยื้อตัวเอง ฉันคร่ำครวญอย่างเงียบเชียบภายในใจ มีเพียงคราบน้ำตาเพียงเล็กน้อยที่เปรอะเปื้อนใบหน้า เพราะในยามนั้น น้ำตาของฉันมันผสมอยู่กับเลือกที่หมุนเวียนอยู่ภายในหัวใจ หัวใจฉันกำลังร้องไห้และเต็มเปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็นที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองอย่างจริงจัง ฉันเตรียมเอกสารสำคัญและสิ่งของสำคัญไว้ที่หมอนหนุนอีกใบ ฉันตัดสินใจถ่ายภาพนั้นลงอินสตาแกรมเพื่อเป็นภาพสุดท้ายในการลาจากโลกนี้ไป ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมแสดงโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก แต่จะแปลกอะไรในเมื่อฉันไม่ได้มีคนคอยมากดไลก์หรือการตอบสนองมากมาย ใช่แล้วมันถูกมองข้ามไปเหมือนอย่างเคยไม่ว่าจะในอินสตาแกรมหรือเฟซบุ๊ก ฉันเริ่มส่งข้อความร่ำลาและอวยพรคนสำคัญของฉันทีละคน ทีละคน จนครบ ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าและเริ่มทำการปลิดชีพตัวเองด้วยดอกไม้ที่ฉันชอบ ดอกไม้ที่สวยงามแต่อาบไปด้วยพิษร้ายที่สามารถคร่าชีวิตของคนได้ บางคนจับสังเกตถึงความผิดปกติได้ พยายามโทรมาหาฉัน ติดต่อฉัน แต่ฉันปล่อยมันไว้อย่างนั้นและมุ่งมั่นกับการปลิดชีพตัวเองต่อไป และแน่นอนว่าพิษเริ่มทำหน้าที่ของมัน ฉันตัวเหลือง เริ่มอาเจียนเป็นเลือด แต่ฉันยังคงทำมันต่อไปโดยที่ไม่ใครในบ้านรู้เลยแม้แต่คนเดียว มันทำให้ฉันมั่นใจว่าครั้งนี้ฉันคงทำสำเร็จ แต่แล้วฉันก็ต้องหยุดลงมือ เพราะเพื่อนของฉันคนหนึ่งบุกมาถึงบ้าน พร้อมตะโกนเสียงดังพยายามจะเข้าบ้านฉัน ประตูห้องนอนฉันถูกเปิดออก น้าสะใภ้ฉันมาโวยวายและกระชากฉันลงจากเตียงไล่ให้ฉันลงไปหาเพื่อน ไม่มีใครสังเกตอาการฉัน ส่วนตนเองลงไปห้ามไม่ให้เพื่อนฉันเข้ามาให้รออยู่นอกบ้าน เพื่อนฉันเป็นคนเรียกรถพยาบาลมารับ ในวินาทีนั้น ฉันถูกบังคับให้ขึ้นไปหยิบของตัวเอง และแน่นอนว่าเมื่อบุรุษพยาบาลเรียกให้ญาติขึ้นรถตามมาด้วยหนึ่งคน ผลก็คือ ไม่มีใครเลยที่เดินมาแม้แต่คนที่คลอดฉันออกมา น้าชายฉันให้เบอร์ติดต่อไว้กับเพื่อน และแน่นอนว่ามันติดต่อไม่ได้ ทุกคนเดินหันหลังกลับเข้าบ้าน ปิดโทรศัพท์และปิดไฟนอนเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ฉันถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน หมอไม่สามารถปฐมพยาบาลขั้นต้นให้ฉันได้ ไม่รู้วิธีรักษา ไม้รู้แม้แต่ข้อมูลของดอกไม้นั้นว่ามันมีพิษจนต้องโทรหาศูนย์พิษวิทยาของรามาเพื่อสอบถามวิธีรักษาฉัน สามชั่วโมงที่ฉันอยู่ในห้องฉุกเฉิน ฉันใส่สายล้างท้อง โดนกรอกคาร์บอนเพื่อดูดซึมพิษ เจาะเลือด ฉันมีสภาวะ hypoxia และ acidosis แม้อาการภายนอกของฉันจะดูปกติดีแตฉันพร้อมที่จะช็อคและหัวใจวายได้ตลอดเวลา ฉันย้ายไปยังห้องที่มีพยาบาลเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ฉันเหนื่อยและต้องใส่สายอ๊อกซิเจนเพื่อช่วยหายใจตลอดเวลา พร้อมกับคาสายที่ล้างท้องไว้อย่างนั้น งดน้ำงดอาหาร วัความดัน วัดอัตรการเต้นของหัวใจ นับการหายใจของฉันตลอดเวลา เมื่อฉันเริ่มหายใจช้าลงจนแทบไม่หายใจ พยาบาลจะเข้ามาถึงตัวฉันทันที และแน่นอนสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือน้ำเกลือ ฉันไม่รู้ว่ากี่ขวด ฉันรู้แต่เพียงว่าฉันสั่งห้ามเยี่ยมโดยเฉพาะคนในบ้านหรือแม้แต่แม่ฉันเอง คนที่เข้าเยี่ยมฉันได้มีเพียงเพื่อนที่พาฉันมาโรงพยาบาลและเพื่อนอีกสี่ห้าคนเท่านั้น ฉันทะเลาะกับแพทย์เจ้าของไข้ทั้งที่ยังคาสายล้างท้องไว้ในคอ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่หมอคนเดียวกับคนที่รับเคสฉันเข้ามาในห้องฉุกเฉิน การกระทำของฉันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันไม่ได้เสียชีวิตไปก็จริง แต่ฉันก็เหมือนตายทั้งเป็น ฉันสูญเสียคนสำคัญของฉันแม้ฉันจะไม่เคยสำคัญกับเขาเลยแม้แต่น้อย ฉันกลับมาโดดเดี่ยว ไร้ซึ่งความเชื่อใจและฉันไม่อาจใช้คำว่าครอบครัวได้อีก ฉันกั้นกำแพงและเดินออกจากชีวิตของใครหลาย ๆ คน ฉันเริ่มหาพื้นที่ให้ตัวเองใหม่หลังกำแพงที่ฉันก่อขึ้นมา กำแพงนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อกั้นไม่ให้ใครเข้ามา แต่สร้างขึ้นเพื่อกั้นไม่ให้ฉันเข้าไปในพื้นที่ชีวิตของใครโดยไม่ทันระวังตัว ฉันเริ่มต้นใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงนี้ มีเพื่อน มีคนสำคัญของฉันและฉันก็สำคัญสำหรับเขาเฝ้ามองฉันอยู่จากบนกำแพง มันน่าแปลกที่ฉันกลับเริ่มค้นพบว่ามันสงบกว่าเก่า แม้จะยังต้องเจอปัญหา เจอมรสุมมากมายอยู่ตลอด แต่ฉันกลับมีสติมากขึ้น ฉันไม่รู้ว่าฉันโตขึ้นบ้างหรือเปล่า หรือสิ่งที่กำลังทำอยู่มันจะใช่วิธีที่ถูกต้องจริง ๆ ไหม แต่อย่างน้อยในวันนี้ ตอนนี้ ฉันกำลังกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง แม้ว่าจะป่วยแต่ฉันก็ออกไปเผชิญกับโลกกว้าง โลกแห่งความจริงที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดอีกครั้ง อ้อ แน่นอนว่าตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นแค่โรคซึมเศร้าอย่างเดียวแล้ว ฉันมีภาวะ PMDD หรือซึมเณ้าก่อนมีประจำเดือน และอาการ social phobia ก็กลับมาเยี่ยมเยียนฉันบ่อย ๆ จนคลับคล้ายจะแพนิคอ่อน ๆ ในบางเวลา และสมองของฉันในตอนนี้กำลังทำหน้าที่ของมันคือจัดระเบียบความทรงจำใหม่ แม้จะมีภาพความทรงจำที่โหดร้ายที่ฉันลืมมันไปแล้วกลับมามาหลอกหลอนฉันบ่อยขึ้น และความทรงจำบางอย่างจะเริ่มเลือนรางไป แต่มันคงถูกเก็บไว้ในมุมใดมุมหนึ่งและจนกว่าสมองของฉันจะจัดอะไร ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง ฉันคงต้องอยู่กับมันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก่อน อ้อ เกือบลืมไป ตอนนี้ฉันมีนัดทำจิตบำบัดทุกสองอาทิตย์มันคงเป็นส่วนหนึ่งที่ความทรงจำเก่า ๆ ของฉันถูกดึงกลับมาอีกครั้ง และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมาอีก ฉันจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไป เริ่มต้นใหม่อีกครั้งตราบใดที่ฉันยังไม่หมดแรงหรือถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต ฉันจะอยู่แบบป่วย ๆ เพี้ยน ๆ แปลก ๆ สับสน งงงวย และย้อนแย้งในตัวเองแบบนี้เพื่อเรียนรู้และซึมซับสิ่งต่าง ๆ ในการเดินทางชีวิตของฉัน และอีกไม่นาน ก็จะครบรอบสี่ปีที่ฉันป่วยแล้ว หวังว่าวันนั้นมันจะเป็นวันพิเศษของฉันอีกหนึ่งวัน และฉันคงได้ฉลองกับซึมเศร้าของฉัน ฉลองให้กับตัวเองที่เรียนรู้และอยู่กับมัน ยอมรับว่ามันก็คือตัวฉันมาได้นานพอสมควร
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in