ถ้าตอนผมอยู่กับพี่โย่งมันไม่ราบรื่นขนาดนั้น ผมคงไม่รู้สึกอยากเตะตัวเองขนาดนี้ตอนอยู่คนเดียว จริงอยู่ว่าตอนผมซื้อตั๋วเมโทรเที่ยวเดียว (ขอเวลารวบรวมสติซักคืน
“ชิบหายแล้ว...” พอพี่โย่งไม่อยู่ ผมก็สบายปากที่จะอุทานหยาบคายออกมาดังๆ ทันทีที่ออกจากรถไฟ เพราะป้ายสถานีที่ผมกะใช้ยืนยันว่าลงถูกที่แล้วมันดันมีแต่ภาษารัสเซีย ซึ่งเอามาเทียบกับแผนที่เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่ผมเซฟมาไม่ได้ว้อยยยยย สัญญากับตัวเองเลยว่าสิ่งแรกที่ผมจะทำหลังไปถึงโฮสเทลที่ตอนนี้ไม่รู้จะไปถึงเมื่อไหร่ ก็คือการเซฟแผนที่เมโทรรัสเซียแบบที่มีทั้งภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษมา จะไม่ปล่อยให้ผ่านตาเพราะคิดว่าน่าจะมีภาษาอังกฤษห้อยอยู่ข้างล่างแบบที่ป้ายบอกทางในไทยมีแล้ว
ว่าไปพี่โย่งเขาเป็น Lucky Fairy หรืออะไรทำนองนี้แน่ๆ เลยอะ พอแยกกันปุ๊ป ผมก็เจอเรื่องซวยๆ ปั๊ป
ในเมื่อตอนนี้ผมไม่มี Lucky Fairy อยู่กับตัว ผมก็เลยต้องพึ่งตัวเองด้วยการเดินตามชาวรัสเซียออกไปข้างนอก ท้องฟ้าของมอสโคว์ตอนทุ่มกว่าๆ เป็นสี Pantone Serendipity คือยังไม่มืด แต่ก็ไม่สว่างสดใสเหมือนสีฟ้าในโปรแกรม Paint โล่งใจนิดหน่อยที่พระเจ้าส่งแมคโดนัลด์มาในระยะสายตาเพื่อปลอบใจผมเอาวะ อย่างน้อยถ้าสิ้นคิดก็มีที่ให้ฝากท้องก่อนออกไปเที่ยวทุกเช้าแล้ว
จริงๆผมก็ปริ้นท์แผนที่โรงแรมติดตัวมานะ แต่ปัญหาก็คือผมยังไม่รู้อยู่ดีว่าลงถูกสถานีไหม เพราะงั้น...
ผมควักมือถือออกมาแล้วก็คิดถึงตาโตๆ ของคนที่บอกผมว่า Google Maps ใช้ในรัสเซียได้ตอนเปิดแอพ
ผมว่าผมเดาไม่ผิดนะพี่โย่งต้องเป็น Lucky Fairy แน่ๆ เพราะแค่ผมคิดถึงพี่เขา ตามด้วยกรอกชื่อโฮสเทลของตัวเองลงไปในแอพ มันก็ขึ้นมาเลยว่าถ้าผมเดินจากสถานีเมโทรนี้ไปโฮสเทล มันจะใช้เวลาแค่สิบนาทีนิดๆเท่านั้น
ถ้าจะใช้เวลาตามที่แอพบอกเป๊ะๆ ผมคงต้องคิดถึงพี่โย่งระหว่างเดินไปโฮสเทลด้วย น่าเสียดายที่ผมไม่เก่งพอที่จะแยกประสาท เพราะงั้นมาร่วมกันภาวนาอย่างหนักแน่นให้ผมถึงโฮสเทลภายใน 20 นาที พอๆ กับที่ให้พี่โย่งเจอของกินที่ถูกปากในรัสเซียเยอะๆ กันเถอะครับ
*
ผมไม่รู้ว่าพี่โย่งจะเป็นผู้ชายสาย Craft ชอบจดบันทึกหรือเปล่า ถึงแม้พี่เขาจะถ่ายรูปทุกอย่าง ตั้งแต่ท้องฟ้าสี paint ไปจนถึงหมาของตำรวจในเมโทร (เป็นหมาอัลเซเชี่ยนก็จริง แต่ขนปุกปุยสมเป็นหมาในเมืองหนาวมาก อยากเข้าไปลูบเหมือนกันครับ แต่เหมือนคุณตำรวจรัสเซียและกระบองที่เหน็บอยู่ข้างเอวจะไม่เห็นด้วย) ซึ่งถ้าพี่เขาชอบจดเนี่ย ผมวางร้อยรูเบิลเลยว่าถ้าพี่เขาเจอสถานการณ์แบบเดียวกับผม เขาต้องจดแน่นอน เพราะขนาดขี้เกียจเป็นหมีแพนด้าอย่างผมยังอดโน๊ตลงในมือถือไม่ได้เลย
เรื่องมันมีอยู่ว่าผมหลงทาง–อย่างที่พวกคุณคงเดากันได้— ผมคงไม่อยากร้องไห้ขนาดนี้ถ้าตาตุ่มมันไม่ปวดมากขึ้นทุกที แต่ในระหว่างที่ผมกำลังคิดว่าตัวเองอาจจะจบลงที่ข้างถนนนั่นเอง ก็มีรถคันเล็กๆ มาจอดใกล้ๆ พร้อมกับคุณป้าที่ลดกระจกลงแล้วถามผมด้วยสองคำสั้นๆ ว่า “โฮสเทล?” ผมก็พยักหน้ารัวยิ่งกว่าลิงตีกลองอีกสิครับ คุณป้าเห็นแบบนั้นก็ตาเป็นประกายก่อนจะเริ่มชี้ไม้ชี้มือและอธิบายทางไปโฮสเทลเป็นภาษา... รัสเซีย
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ซึ้งมากๆ อยู่ดี หลังจากคุณป้าชี้ไม้ชี้มือเสร็จผมก็พูดภาษารัสเซียคำเดียวที่ผมรู้ นั่นก็คือคำว่า “สเปซีวา” ที่แปลว่าขอบคุณออกไป จากนั้นก็พยายามคิดว่าคุณป้าชี้ไปทางไหนก่อน ทางไหนหลัง แล้วในที่สุดผมก็มาถึงโฮสเทลจนได้
สงสัยผมต้องคิดถึงพี่โย่งให้มากๆก่อนนอนอะ ไม่งั้นอาจจะเจอรูมเมทนอนกรนสนั่นหวั่นไหวก็เป็นได้
*
ดูท่าเมื่อวานจะไม่ใช่ Lucky Day ของผม เพราะวันนี้ผมสามารถนั่งรถเมล์จากโฮสเทลมายังสถานีได้โดยใช้เวลาเท่ากับที่ในแอพบอกเป๊ะ แถมรถเมล์ยังจอดที่ป้ายตามเวลาที่ในแอพบอกอีกต่างหากผมก็ไม่อยากเป็นลูกอีช่างติหรอกนะ แต่พอกลับไปแล้ว ผมคงอดเปรียบเทียบระบบรถสาธารณะที่นี่กับที่ไทยไม่ได้
อีกหนึ่งอย่างที่ระบบขนส่งสาธารณะของรัสเซียน่าประทับใจกว่าที่ไทยมากๆ คือการที่เจ้าบัตรกระดาษสีแดงนี่ใช้ได้กับทั้งรถไฟใต้ดินและรถเมล์ แต่เพราะผมไม่ได้ซื้อตั๋วเหมาวันมาจากสถานีเมโทรผมเลยต้องซื้อตั๋วเที่ยวเดียวจากคนขับรถเมล์แทน เท่ากับว่าตอนนี้ผมมีเจ้าบัตรนี่สองใบแล้ว ใบที่สามน่าจะตามมาตอนผมนั่งรถไฟใต้ดินจากสถานีปัจจุบันไปสถานีในเมืองเพื่อเที่ยวที่ Novodevichy Convent หรือที่แปลเป็นภาษาไทยได้ว่าอารามชีโนโวเดวิชชี ตามด้วยใบที่สี่เมื่อผมซื้อตั๋วเที่ยวเหมาวัน ถ้าถามว่าทำไมผมไม่ซื้อตั๋วเหมาจากเมโทรที่นี่ไปเลยคำตอบก็คือตั๋วเหมามันมีขายเฉพาะที่สถานีใหญ่ๆ เท่านั้น
แพ้ BTS (ที่ไม่ใช่บอยแบนด์) ไปหนึ่งอย่างนะครับ เพราะอย่างน้อยเราก็สามารถซื้อและเติมเที่ยวบัตร Rabbit ได้จากทุกสถานีทั่วกรุงเทพ แต่ขอข้ามรายละเอียดที่ต้องต่อคิวแลกเหรียญเพื่อไปหยอดตู้กดตั๋วอีกทีไปละกันครับ
ผมลงรถเมล์ที่ป้ายใกล้ๆ เมโทรก่อนจะเดินย้อนนิดหน่อยไปยังแมคโดนัลด์ที่อยู่ใกล้ๆ บรรยากาศเหมือนที่ไทยมาก ยกเว้นแต่มีหน้าจอขนาดใหญ่ตั้งเป็นแถวอยู่ระหว่างเคานเตอร์จ่ายเงินและโซนที่นั่ง ผมเดินเอากระเป๋าคาดอกไปวางบนโต๊ะใกล้หน้าต่าง ไม่ลืมที่จะหยิบซองเงิน (ใช่ครับ จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่ยอมเอาเงินใส่กระเป๋าสตางค์อยู่ดี) และมือถือออกมาก่อนจะเดินไปตรงแถวหน้าจอ อ่อ... มันคือจอกดสั่งอาหารนี่เอง นี่มันนวัตกรรมแห่งโลกอนาคตที่ส่งมาให้คนที่พูดรัสเซียไม่ได้อย่างผมใช้ชัดๆ
แถบด้านข้างบนจอแบ่งอาหารเป็นประเภทๆ มีทั้งแบบเซ็ตและแบบแยก ตั้งแต่เบอร์เกอร์ไปจนถึงเครื่องดื่ม ผมข้ามเบอร์เกอร์มาเลยเพราะ icon รูปแพนเค้กที่มีแคปชั่นว่า breakfast อยู่ข้างล่างนั่นน่าสนใจกว่าเยอะ ก็ในแมคที่ไทยไม่มีแพนเค้กหน้าตาแบบนี้ขายนี่นา
ผมกดแพนเค้กกับน้ำส้มไปเพราะไม่หิวเท่าไหร่ หน้าจอประมวล order ที่ผมสั่งไปไม่นานนักก่อนจะสรุปยอดและขึ้นให้ผมเลือกว่าจะใช้ debit หรือ credit จ่ายเงินผมชะงักไปหลายวิ ก่อนจะชะโงกดูรอบๆ หน้าจอ— ไม่ทันสังเกตว่าชาวรัสเซียที่จอข้างๆ มองผมอยู่หรือเปล่า แต่ถ้าเขามอง เขาคงคิดว่าผมเมาอากาศตอนเช้าแน่ๆ –เพื่อดูว่ามีช่องให้ใส่แบงก์เหมือนตู้กดตั๋วรถไฟหรือเปล่า ปรากฏว่าไม่มี ผมเลยต้องมากดเมนูที่เลือกไว้เมื่อกี้ใหม่ก่อนจะถ่ายภาพไปให้พนักงานดูที่เคานเตอร์แทน
ถ้าพี่โย่งอยู่ในแมคสาขานี้กับผม เขาคงพูดว่าอย่างน้อยที่รัสเซียก็ดีกว่าไทยตรงที่มีหน้าจอให้เลือกเอง แถมรูดบัตรได้แบบไม่มีขั้นต่ำ ถึงแม้เราชาวต่างด้าวจะใช้ไม่ได้เ พราะไม่รู้ว่าเรทที่บัตรตัดไปจะคุ้มไหมหรือเปล่าก็เถอะ
แล้วทำไมผมคิดถึงพี่เขาอีกแล้ววะ
ถ้าเจอพี่เขาที่อารามชีอีกนี่ผมจะไม่แปลกใจให้เสียเวลาเลย
*
อารามชีโนโวเดวิชชีปิดปรับปรุงบางส่วน แต่เพราะระหว่างทางมีเคบับที่อร่อยจนอยากซื้อแฟรนไชส์ไปขายที่ไทยกับตึกสวยๆ ให้ดู ผมเลยไม่ได้เสียใจอะไรมากตอนเดินกลับมาที่เมโทร ซึ่งผมต้องซื้อตั๋วเหมาแล้วถ้าไม่อยากเปลืองค่าเดินทางไปมากกว่านี้
ในเมื่อมันซื้อจากตู้กดไม่ได้ ผมเลยไม่มีทางเลือกนอกจากเดินไปคุยกับคุณป้าขายตั๋วตรงๆ และจิ้มๆ เอาตั๋วเหมา 7 วัน ตอนนี้เองที่ผมได้รู้ว่าคนรัสเซียไม่ค่อยใช้แบงก์ใหญ่กัน เพราะงั้นคุณป้าขายตั๋วเลยไม่มีตังค์ทอนเป็นแบงก์ใหญ่ๆ ติดไว้ ผมเลยได้เหรียญมากำเบ้อเริ่มพร้อมกับตั๋วกระดาษสีแดงเหมือนตั๋วเที่ยวเดียวเป๊ะๆ ลำบากเก็บเหรียญดูเป็นเรื่องขำๆ ไปเลยเมื่อเทียบกับการที่ผมต้องรักษาเจ้ากระดาษนี่ไว้ให้ดีและไม่จำสับกับตั๋วกระดาษใบก่อนหน้า
ถึงอย่างนั้นความลำบากทั้งหมดก็หายไปจากหัวผมเมื่อผมเดินมาถึงจัตุรัสแดงที่ประกอบไปด้วยห้างกุมห้างเก่าแก่ของรัสเซีย พระราชวังเครมลินที่ปัจจุบันเป็นทั้งทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียและพิพิธภัณฑ์ รวมไปถึงพระเอกของผมในวันนี้ Saint Basil’s Cathedral หรือที่รู้จักกันในนามโบสถ์หัวหอมนั่นเอง
คราวนี้อะไรอีกล่ะเมาเมโทร ไม่มีแบงก์ย่อย หรือหิวเพราะหาของกินถูกใจไม่ได้กัน
“เห้ย
“ใจเย็นสิครับ” ผมรีบยกมือห้าม ไม่รู้ว่าสีหน้าหาอมยิ้มไม่เจอหรือสีหน้าเหมือนแมวถูกกวนอันไหนแย่กว่ากัน “ผมเห็นว่าพี่เอากล้องคล้องคออยู่หรอก เลยกล้าเข้ามาทักแบบนี้ ว่าแต่ทำไมพี่ทำหน้าแบบนั้นอะ”
“แบบที่เหมือน... ”จะบอกว่าเด็กทำอมยิ้มหายก็กลัวพี่เขาจะถอดรองเท้า (วันนี้ไม่ใช่
“พี่ไม่ได้ทำหน้าแบบนั้นแน่ๆ เพราะถ้าใครขโมยรองเท้าพี่ไป พี่จะฆ่ามันโดยการเปิดเพลงที่มันไม่ชอบใส่ซ้ำไปเรื่อยๆ แต่ถ้าทำหน้าเหมือนคนหมดหวังอะ พี่ทำเพราะพี่อยากได้รูปคู่กับโบสถ์หัวหอมสวยๆ ซักรูปแต่ไม่กล้าขอให้คนแถวนี้ถ่ายให้---“
“เพราะพูดภาษารัสเซียไม่ได้---“
“นั่นไม่น่าเป็นปัญหานะสำหรับตรงนี้ ดูสิ นักท่องเที่ยวชาติอื่นมีเยอะกว่าคนรัสเซียอีก” พี่โย่งโบกมือไปรอบๆ “พี่อยากได้รูปสวยๆ ต่างหากแต่ไม่มั่นใจว่าแถวนี้จะมีคนถ่ายถูกใจพี่ไหม แล้วก็ไม่กล้าขอให้เขาถ่ายซ้ำจนกว่าจะถูกใจด้วย เกรงใจเขา”
“งั้นผมคงเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวสำหรับพี่เลยสิท่า”
“หืม? เราจะถ่ายให้พี่งั้นหรอ ขอบคุณนะ พี่สัญญาว่าจะให้ถ่ายซ้ำไม่เกินสามครั้ง”
“อ่าว แล้วถ้าพี่ไม่ถูกใจทั้งสามครั้งล่ะ?”
“งั้นก็แสดงว่าพี่ไม่มีดวงกับโบสถ์นี่จริงๆ ไว้ไปถ่ายกับโบสถ์อื่นๆ ละกัน” พี่โย่งถอดกล้องออกแล้วยื่นให้ผม “กล้องพี่เป็นกล้องกระป๋องใช้ง่าย กดปุ่มชัตเตอร์ตรงนี้ก็พอ ไม่ต้องปรับอะไรทั้งนั้นแหละ”
เป็นไปตามที่พี่เขาว่าทุกประการ ผมไม่ต้องปรับอะไรเลย นอกจากให้พี่เขาขยับซ้ายนิดขวาหน่อย เพื่อให้ได้มุมที่ผมคิดว่าสวยเท่านั้น พูดก็พูดเถอะ ถ้าผมเป็นตากล้องแล้วพี่เขาเป็นนายแบบ ผมคงเป็นตากล้องที่โชคดีที่สุดในโลก คนอะไรขึ้นกล้องชะมัด ไม่ว่าจะมองหรือไม่มองกล้องก็ตาม อยากจะขอรูปเก็บไปเป็นผลงานส่วนตัวไว้ขิงชาวบ้านเลยว่าผมถ่ายรูปสวย ถึงแม้ว่าร้อยละ 70 มันจะมาจากแบบก็ตาม
“ถ่ายรูปสวยนี่นา”
“กล้องพี่ดีมากกว่า” จะให้ผมชมนายแบบตรงๆ ผมก็... เขิน นะครับ
“อยากได้บ้างป่าว พี่จะได้ถ่ายให้ แต่ดูเหมือนเราเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูปเท่าไหร่แฮะ”
“ผมไม่มีกล้องแบบพี่เลยถ่ายไม่สวย ถ้าเป็นแบบให้คนอื่นถ่ายก็ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไง นอกจากยิ้มแบบนี้ แล้วก็ชูสองนิ้ว” พี่โย่งหัวเราะจนเห็นฟันตอนผมทำท่าประกอบ
“ทำท่าแบบนั้นก็ไม่เห็นเป็นไรเลยน่ารักดีออก นายว่ากล้องพี่ดีใช่ป่ะ งั้นเดี๋ยวพี่ถ่ายให้ แล้วค่อยส่งให้ทีหลัง”
แล้วผมก็เดินไปชูสองนิ้วถ่ายรูปหน้าโบสถ์อันเก่าแก่ของรัสเซียจริงๆ เพราะตอนที่ผมเดินไป ในหัวผมมีสองความคิดวิ่งชนกันไปมาวุ่นวายเกินกว่าจะคิดอย่างอื่น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in