ไร่กาแฟซึ่งเป็นจุดหมายที่พีรัชพาชนม์นิภามาเที่ยวชมในวันนี้ตั้งอยู่ในเขตเทือกเขาสูงเช่นเดียวกันกับไร่ชาที่ไปมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เนื่องจากกาแฟของไร่ปภัสสรนั้นเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกได้เฉพาะบนพื้นที่สูงและมีอากาศเย็นเท่านั้น เพียงแต่พื้นที่ของไร่กาแฟไม่ได้อยู่ในหุบเขาที่มีลักษณะเหมือนขั้นบันไดแบบเดียวกัน แต่เป็นเนินเขาที่มีความลาดชันน้อยกว่า และมีทัศนียภาพที่สวยงามแตกต่างออกไปด้วยสระน้ำขนาดใหญ่ที่ก่อนหน้านี้บิดาของพีรัชได้ปรับปรุงไว้สำหรับเป็นแหล่งน้ำในการเพาะปลูก และชายหนุ่มก็ได้ดูแลรักษาไว้ในสภาพเดิมเป็นอย่างดี
“ถ้าขับรถต่อขึ้นไปข้างบนอีก จะมีจุดที่มองลงมาเห็นสระน้ำอยู่ตรงกลางไร่กาแฟพอดี” เจ้าของไร่หนุ่มบอกเมื่อหักพวงมาลัยเลี้ยวออกจากเส้นทางที่พาขึ้นเขา ลงมาตามถนนที่แยกเข้าสู่บริเวณไร่ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับคนที่นั่งอยู่เคียงข้างด้วยแววตาเจือรอยยิ้มอย่างนึกเดาความต้องการของอีกฝ่ายได้ว่า
“เดี๋ยวตอนกลางวันก็ได้เห็น เพราะว่าวันนี้เราจะขึ้นไปทานข้าวกันที่นั่น”
“ป้าฟองจันทร์เตรียมของกินมาให้เต็มตะกร้าเลยเจ้า มีแต่ของน่าอร่อยทั้งนั้น” เสียงใสๆ ของบัวตองดังเสริมมาจากเบาะหลัง แต่ไม่ได้โผล่หน้าตามมาด้วยอย่างเคย เนื่องจากวันนี้เจ้าหล่อนนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างเรียบร้อยมาตลอดทาง ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะคนที่นั่งกำราบอยู่ข้างๆ นั่นเอง
“แอบชิมไปแล้วหรือไงเราถึงได้รู้น่ะ” วศินที่ร่วมทางมาด้วยเอ่ยถามขึ้นมาหน้าตาเฉย ทำเอาเด็กสาวถึงกับค้อนขวับใส่อย่างเคืองๆ
“พี่ศินหาว่าบัวตองตะกละเหรอเจ้า บัวตองแค่บอกว่าน่าอร่อย ยังไม่ได้บอกว่าอร่อยจริงๆ สักหน่อย จะแปลว่าแอบชิมไปแล้วได้ยังไงล่ะเจ้า”
“สองคนนี้นี่เถียงกันมาตลอดทางแล้วนะ ยังไม่เบื่อกันอีกเหรอ” ชนม์นิภาหันมาถามแกมหัวเราะ ถึงแม้ว่าจะเริ่มชินกับสถานการณ์ตรงหน้าแล้วก็ตาม เมื่อตลอดช่วงเวลาสองสามวันที่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันทำให้เธอได้พบว่า แท้จริงแล้วคนที่ภายนอกดูใจดี ใจเย็น เป็นผู้ใหญ่อย่างวศินนั้นกลับมีมุมที่ช่างแกล้งช่างยั่วแหย่เกินคาด ในขณะที่สาวน้อยผู้ยึดตำแหน่งคนติดตามของเธออย่างเหนียวแน่นเองก็ช่างต่อปากต่อคำพอกัน จนเธอนึกอยากจะยกตำแหน่งคู่ปรับประจำไร่ให้ไปเสียเลย ค่าที่มีเรื่องมีราวกันอยู่ได้ทุกวัน ถึงแม้ว่าบางครั้งการต่อล้อต่อเถียงของคนทั้งคู่จะสร้างเสียงหัวเราะให้เธอได้ไม่น้อยเลยก็ตาม
แต่ก็เพราะประโยคนั้นที่ทำให้ ‘คู่ปรับ’ ยอมลดราวาศอกให้แก่กันจนได้ในที่สุด ก่อนที่บัวตองจะเป็นฝ่ายชิงเอ่ยขึ้นก่อนอย่างวางท่าว่า
“บัวตองไม่เถียงพี่ศินแล้วก็ได้ เห็นแก่คุณเชรีนะเจ้า”
วศินส่ายหน้าเหมือนอยากจะถามแม่ตัวดีกลับว่าจะทำได้นานสักเท่าไหร่กัน ในขณะที่ชายหนุ่มผู้เป็นคนขับหัวเราะเบาๆ เหลือบมองคนที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการห้ามศึกอย่างขอบคุณที่ทำให้เขาได้สบายหูเสียที ก่อนจะได้รับรอยยิ้มสว่างใสอย่างเข้าใจตอบกลับมา
...ดูเหมือนว่าวันเวลาที่ผ่านไปจะทำให้คนสองคนที่มีอะไรบางอย่างต้องตรงกัน ได้พัฒนาความสัมพันธ์จนเกิดเป็นความรู้สึกที่แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการจับตามองอย่างเอาใจช่วยของทุกคนที่อยู่รอบตัว...
ทันทีที่ลงจากรถ หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงอากาศเย็นสดชื่นเจือด้วยกลิ่นเมล็ดกาแฟสุกที่ลอยมาทักทายทันที ก่อนจะมองเห็นต้นกาแฟที่มีใบสีเขียวเข้มจัดตัดกับลูกสีแดงห้อยเป็นพวงระย้า เรียงรายเป็นแถวยาวไปจนสุดสายตา
บัวตองเป็นผู้นำเธอเดินตรงเข้าไปร่วมขบวนเก็บเมล็ดกาแฟกับบรรดาคนงานเหมือนเคย ระหว่างที่พีรัชกับวศินแยกไปคุยกับหัวหน้าคนงานอีกทางหนึ่งก่อนที่จะตามมาสมทบด้วยทีหลัง ซึ่งทุกคนก็ยิ้มแย้มต้อนรับสองสาวเป็นอันดี ทั้งส่งตะกร้าสำหรับเก็บเมล็ดกาแฟมาให้ พร้อมกับสอนวิธีการเลือกเก็บเมล็ดที่สุกแล้วอย่างเอื้อเฟื้อ
“เม็ดสีแดงๆ จะอี้คือสุกได้ตี่แล้ว เก็บได้เลยเจ้า ละเม็ดสีเขียวยังบ่สุกเตื่อก็เอาไว้ก่อน เดียวเฮาค่อยมาเก็บวันหลังก็ได้เจ้า”
โชคดีที่ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดภาษาเหนือ แต่ก็เลือกที่จะพูดช้าๆ เพื่อให้คนฟังเข้าใจง่ายขึ้น เธอจึงพอจะฟังออกโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยใครเป็นล่ามให้ ว่าเมล็ดสีแดงคือเมล็ดที่สุกแล้ว สามารถเก็บได้เลย ส่วนเมล็ดสีเขียวที่ยังไม่สุกเต็มที่ก็ให้ปล่อยเอาไว้ก่อน รอจนสุกได้ที่แล้วจึงค่อยมาเก็บต่อวันหลัง
“แล้วถ้าสุกไม่พร้อมกันแบบนี้ นานมั้ยคะกว่าเก็บหมดต้น” ชนม์นิภาถามอย่างสนใจ
“ก็เมินอยู่เจ้า บางเตื่อก็เป๋นสิบป๋ายวันกว่าจะเก็บหมด เลยต้องจ่วยกั๋นเก็บไปเรื่อยๆ จะอี้ละเจ้า” คนงานหญิงวัยกลางคนตอบ บอกให้รู้ว่าบางทีก็ต้องใช้เวลาร่วมสิบวันกว่าจะเก็บได้หมดทั้งต้น ทอดสายตามองมือขาวบางที่ค่อยๆ เด็ดเมล็ดกาแฟจากกิ่งอย่างเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยกึ่งบ่นขึ้นมาว่า
“ตี่แต้นายหญิงบ่น่าจะต้องลงมาเก็บเองเลยหนาเจ้า คุณพีทกึดจะใดถึงปล่อยหื้อนายหญิงมายะก๋านหนักจะอี้กะบ่ฮู้”
คนที่ถูกเรียกว่า ‘นายหญิง’ ไม่ทันได้คิดอะไร ทั้งกับคำเรียกที่คิดว่าเป็นคำทั่วๆ ไปและคำบ่นที่ว่าพีรัชไม่น่าปล่อยให้เธอมาทำงานหนักแบบนี้ด้วยตัวเอง หากคนที่ยิ้มกว้างกลับเป็นเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเข้าใจความหมายที่แฝงมากับประโยคนั้นดี ก่อนจะกลั้นยิ้มจนหน้าแดงเมื่อได้ยินหญิงสาวตอบกลับอย่างพาซื่อว่า
“เชรีอยากลองทำเองแหละค่ะ ป้าอย่าไปว่าพี่พีทเลย”
“โฮ้ย นายหญิงนี่น่าเอ็นดูแต้ๆ คุณพีทของหมู่เฮาโชคดีแต้หนาเจ้า”
...เอ๊ะ ยังไงนะ ร่างบางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าฟังผิดไปหรือเปล่า เพราะสองประโยคที่ว่าดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันสักนิด แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยปากถาม บัวตองก็สะกิดเรียกเบี่ยงเบนความสนใจขึ้นมาเสียก่อนว่า
“คุณเชรี ต้นนี้เก็บหมดแล้ว ย้ายไปต้นอื่นกันเถอะเจ้า”
“จ้ะ ไปสิ”
หลังจากนั้นสาวน้อยก็เริ่มต้นชวนเธอและคนรอบข้างคุยเจื้อยแจ้วจนชนม์นิภาเกือบจะลืมไปสนิทว่ากำลังติดใจเรื่องอะไรอยู่ กว่าจะมารู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อตอนที่คนงานที่กำลังเก็บเมล็ดกาแฟอย่างขะมักเขม้นอยู่ใกล้ๆ ต่างก็อมยิ้มแล้วค่อยๆ ขยับถอยออกห่างไปเล็กน้อย คนที่ชักเริ่มเอะใจในความผิดปกติจึงเหลียวกลับไปมอง ก่อนจะได้พบกับร่างสูงที่มายืนอยู่ด้านหลังพอดี
“พี่พีท”
“ใส่หมวกไว้ก่อนเถอะ แดดเริ่มจะร้อนแล้ว”
ตอนแรกพีรัชตั้งใจจะส่งของที่ถือมาให้คนตรงหน้า แต่เมื่อเห็นตะกร้าสานใบใหญ่ที่อีกฝ่ายถือไว้ในมือก็เปลี่ยนใจ วางหมวกปีกกว้างสวมลงบนศีรษะของหญิงสาวอย่างนุ่มนวล ก่อนจะดึงตะกร้ามาถือให้เสียเองเมื่อคะเนว่าน้ำหนักตะกร้ากับของข้างในรวมกันแล้วก็น่าจะไม่น้อย
“ไปเอามาจากไหนคะเนี่ย” ร่างบางพึมพำขอบคุณเสียงเบา นึกขัดเขินกับสายตายิ้มๆ จากคนรอบข้างขึ้นมากะทันหันจนต้องเสไปถามเรื่องอื่นแทน ในขณะที่คนถูกถามคลี่ยิ้มบางๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปเก็บเมล็ดกาแฟลงตะกร้าอย่างคล่องแคล่ว สมกับที่คนสนิทเคยบอกไว้ว่าเขาลงมือหัดทำงานทุกอย่างในไร่มาจนเชี่ยวชาญ
“ป้าฟองจันทร์เตรียมไว้หลังรถตั้งแต่เช้าแล้ว เมื่อกี้ก็เลยให้นายศินไปหยิบมาให้”
ฟังแล้วนักเขียนสาวก็อดคิดไม่ได้ว่าคนไร่นี้ดูเหมือนจะมีความสามารถพิเศษเหมือนๆ กัน ตรงที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูเหมือนจะรอบคอบและเตรียมพร้อมไปหมดทุกเรื่องตั้งแต่เจ้านายลงมาจนถึงบริวารเลยทีเดียว
“นอกจากของกินเต็มตะกร้ากับหมวกแล้วป้าฟองจันทร์ยังเตรียมอะไรมาให้อีกมั้ยคะ” ชนม์นิภาแกล้งถามล้อๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา เมื่อได้รับคำตอบกึ่งจริงกึ่งเล่นแบบหน้าตายจากชายหนุ่มที่เอ่ยด้วยดวงตาฉายแววขบขันว่า
“เท่าที่เห็นก็ดูเหมือนจะมีอุปกรณ์สำหรับปิกนิกครบชุดด้วยอีกอย่าง นี่ถ้ามีพวกเครื่องนอนกับเต็นท์ด้วยก็คงนึกว่าป้าฟองจันทร์เตรียมของให้เราไปตั้งแคมป์กันแล้วล่ะ”
เด็กสาวที่ยืนเงี่ยหูฟังอยู่ไม่ไกลทำตาโตอย่างตื่นเต้น เกือบจะหลุดปากบอกเจ้านายหนุ่มออกไปแล้วว่าถ้าได้ไปตั้งแคมป์กันจริงๆ ก็คงจะดี แต่เจ้าหล่อนก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิดเนื่องจากถูกผู้จัดการไร่หนุ่มเอาหมวกที่ถือติดมือมาอีกใบปิดปากเอาไว้เสียก่อนอย่างรู้ทัน ส่วนคนอื่นๆ ถึงแม้จะได้ยินบทสนทนาของสองหนุ่มสาวไม่ชัด แต่จากท่าทีที่คนทั้งสองมีต่อกันก็สร้างความชื่นชมแกมเอ็นดูให้กับผู้พบเห็น ซึ่งล้วนแล้วแต่อยากให้ไร่ปภัสสรมี ‘นายหญิง’ เสียทีกันทั้งนั้น ภาพที่เห็นในวันนี้จึงเหมือนกับเป็นการยืนยันข่าวที่กระจายไปทั่วไร่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาว่าน่าจะเป็นเรื่องจริงอย่างที่พูดกัน
“นายหญิงน่าฮักจะอี้ คุณพีทจะต้องดูแลหื้อดีๆ เน้อเจ้า แล้วกะขะใจ๋มีข่าวดีหื้อหมู่เฮาฉลองกันเร็วๆ เน้อเจ้า”
ใครคนหนึ่งเอ่ยกับพีรัชเป็นเชิงหยอกล้อว่าอยากให้เขารีบมีข่าวดีให้ชาวไร่ได้ฉลองกันเร็วๆ ทำเอาคนฟังถึงกับชะงักไปอย่างตั้งตัวไม่ทัน หากก็ไม่คิดที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดแต่อย่างใด เพราะส่วนหนึ่งของใจก็จำต้องยอมรับว่าแอบยินดี ถ้าวันหนึ่งเรื่องราวระหว่างเขากับเธอจะดำเนินไปจนถึงขั้นนั้นจริงๆ
...ดูเหมือนว่าเขาคงไม่อาจปฏิเสธบางสิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ในใจได้อีกแล้ว เมื่อ ‘สิ่งนั้น’ ค่อยๆ เติบโตและหยั่งรากลึกขึ้นทุกวัน เริ่มต้นจากความใกล้ชิดที่ทำให้ได้เรียนรู้ตัวตนของกันและกัน จนเกิดเป็นความประทับใจ และกลายเป็นความรู้สึกหนึ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
ก่อนหน้านี้พีรัชอาจไม่เคยคิดว่าความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่มันก็ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติเสียจนเขาไม่ทันรู้ตัว ว่าเธอได้ก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจและความคิดของเขาตั้งแต่ตอนไหน หากเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง...ทุกสิ่งที่รวมกันเป็นชนม์นิภาก็สร้างความรู้สึกพิเศษได้อย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน
...และเมื่อรู้ตัวแล้ว คนอย่างเขาก็พร้อมจะยอมรับ และปล่อยให้สิ่งที่อยู่ในใจได้เติบโตอย่างที่ควรจะเป็นโดยไม่คิดจะดึงรั้งเอาไว้อีก...
การรับรู้นั้นทำให้ดวงตาดำคมอ่อนแสงลงเมื่อทอดมองร่างบางที่เดินตามมาเป็นคนสุดท้ายบนเส้นทางเลียบเชิงผาขึ้นไปยังจุดที่สามารถมองลงมาเห็นสระน้ำกลางไร่กาแฟได้อย่างชัดเจน เนื่องจากทางเดินที่บางช่วงค่อนข้างชันจึงทำให้วศินต้องคอยตามประกบบัวตองที่เดินโลดนำขึ้นไปก่อนใคร ในขณะที่เขาเลือกผ่อนฝีเท้ารอคนที่เดินตามมาด้านหลัง ปล่อยให้อีกสองคนที่ดูจะรู้ใจเขาดีนำหน้าขึ้นไปก่อนตามสบาย
และสายตาที่เจือด้วยความอบอุ่นและอ่อนหวานจากความรู้สึกภายในคู่นั้นก็ทำให้คนถูกมองรู้สึกคล้ายกับหายใจสะดุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะชะงักกึกจนเกือบจะสะดุดขาตัวเองเข้าจริงๆ เมื่อร่างสูงหันมาเอ่ยเตือนว่า
“ค่อยๆ เดินนะเชรี ตรงนี้ทางชันแล้วก็มีแต่หินด้วย ระวังจะลื่น”
“เมื่อกี้...พี่พีท...เรียกเชรีว่าอะไรนะคะ” หญิงสาวกะพริบตาค้างเหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่ออีกฝ่ายให้คำตอบแล้วเป็นฝ่ายถามกลับเสียงอ่อนว่า
“พี่เรียกว่า...เชรี...ไม่ได้เหรอครับ”
“ก็...เรียกได้ค่ะ” อันที่จริงทุกคนที่รู้จักเธอก็เรียกกันอย่างนี้ทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอเป็นเขากลับสร้างความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะเสียงนุ่มๆ และสายตาคู่นั้นที่จู่ๆ ก็ทำให้ชนม์นิภาคิดถึงความหมายของชื่อตัวเองขึ้นมา แล้วใบหน้าเนียนใสก็พลันร้อนผ่าวโดยไม่ทราบสาเหตุ แทบไม่กล้าสบตาคนที่เอ่ยยิ้มๆ ว่า
“งั้นพี่ถือว่าเชรีอนุญาตแล้วนะ”
...ทั้งที่เขาก็แค่ขอเรียกชื่อแท้ๆ แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนมันมีความหมายอะไรมากกว่านั้นยังไงก็ไม่รู้สิน่า
ถึงแม้ว่าวันนี้เธอจะสวมใส่รองเท้าผ้าใบชนิดที่เกาะพื้นได้ค่อนข้างดี แต่เพราะความชันและพื้นที่มีกรวดหินประปรายก็ทำให้หญิงสาวที่มีความคล่องตัวน้อยกว่าทุกคนเหยียบพลาดจนเกือบลื่นล้มเข้าจนได้ หากพีรัชที่คอยจับตามองอยู่แล้วก็เอื้อมมือมาคว้าแขนไว้ทัน ก่อนจะเอ่ยกึ่งบ่นปนหัวเราะเบาๆ ว่า
“บอกแล้วไงว่าให้ระวัง ลื่นจนได้” มือแข็งแรงประคองร่างบางให้ยืนอย่างมั่นคง ก่อนจะจับมือเล็กไว้แน่นเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะสะดุดล้มไปอีกอย่างนั้น “วันก่อนโน้นก็เซ วันนี้ก็ลื่นจะล้มอีก พี่ว่าเชรีน่าจะมีปัญหาเรื่องการทรงตัวแล้วนะ”
ชนม์นิภาค้อนขวับใส่ร่างสูงที่เอ่ยด้วยนัยน์ตาเป็นประกายพราวอย่างขบขันแกมเอ็นดู ก่อนจะถามรวนๆ อย่างนึกหมั่นไส้คนที่มั่นคงได้ทุกสถานการณ์ขึ้นมาว่า
“นี่พี่พีทกำลังจะบอกว่าเชรีซุ่มซ่ามหรือเปล่าคะ”
“เปล่าครับ พี่แค่จะบอกว่าต่อไปคงต้องดูแลเชรีให้ดีกว่านี้” ชายหนุ่มตอบนิ่มๆ ก่อนจะขยายความเมื่อเห็นคนข้างๆ ทำตาโตอย่างตกใจว่า “เพราะถ้าเชรีเป็นอะไรไป แม่พี่กับน้าดาคงมาช่วยกันรุมเล่นงานพี่แย่”
...ก็แล้วไป ว่าแต่ทำไมวันนี้เธอถึงต้องใจเต้นแรงเพราะเขาบ่อยขนาดนี้ด้วยล่ะเนี่ย
หญิงสาวรู้สึกเหมือนกับว่าอะไรบางอย่างระหว่างเธอกับพีรัชกำลังจะค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ก็น่าแปลกที่เธอไม่ได้มีความรู้สึกว่าไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความอบอุ่นใจเมื่อยามที่ปล่อยมือให้อยู่ในการเกาะกุมของมือใหญ่ และยินยอมให้เขาจับจูงไปตามทาง
...วินาทีนั้นเองที่ชนม์นิภาอดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ ว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อผู้ชายตรงหน้าตอนนี้คืออะไรกันแน่
“ฉันว่าเธอน่าจะชอบพี่พีท หรืออย่างน้อยก็ต้องหวั่นไหวไปกับพี่เขาพอสมควรแล้วล่ะ”
เป็นคำตอบที่ได้รับจากพริมาเมื่อเธอโทรไปปรึกษาเรื่องที่คิดไม่ตกในคืนนั้น ทำเอาคนถามถึงกับหน้าร้อนวูบ ไม่กล้าถามต่อว่าแล้ว ‘อย่างมาก’ คืออะไร เพราะกลัวจะได้ฟังคำตอบที่ชวนให้ใจเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม...แค่วันนี้ทั้งวันก็ดูเหมือนว่าหัวใจเธอจะทำงานหนักมากพออยู่แล้ว
“ขนาดนั้นเลยเหรอพริม”
“นี่ เชรี ฉันจะบอกให้นะว่าการที่เธอรู้สึกขนาดที่มาถามฉันแบบนี้ได้ ก็แปลว่าเธอต้องชอบพี่เขาไม่น้อยแล้วล่ะ เพราะถ้าเธอไม่คิด ไม่หวั่นไหวอะไรเลย แล้วเธอจะมานั่งสงสัยตัวเองแบบนี้ทำไมกันฮึ” เพื่อนรักย้อนถามปนหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยเย้าๆ ว่า “เสียแรงที่เป็นนักเขียนนิยายรัก แค่ตัวเองชอบใครก็ยังไม่รู้ตัวเลย ยัยเชรีเอ๊ย”
“ก็...ฉันไม่แน่ใจนี่นา ไม่รู้ด้วยว่าตกลงแล้วฉันรู้สึกยังไงกันแน่” คนเป็นนักเขียนพึมพำตอบอย่างลังเลปนไม่มั่นใจ แต่กว่าครึ่งของใจก็จำต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดได้ตรงกับความเป็นจริงไม่น้อย
...นอกจากความประทับใจในตัวพีรัชและความอบอุ่นเมื่อมีเขาคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลัง ก็ดูเหมือนว่าส่วนลึกของใจเธอจะมีความหวั่นไหวทุกครั้งที่ได้สบตาและได้เห็นรอยยิ้มของเขาปะปนอยู่ด้วยตั้งแต่แรกเจอแล้ว
“ไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีกับพี่เขาใช่มั้ยล่ะ” พริมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือรอยยิ้ม เมื่อปลายสายส่งเสียงตอบรับเบาๆ ก็เอ่ยต่อว่า “แค่นั้นก็พอแล้วนี่นา ฟังจากที่เธอเล่ามา พี่พีทเขาก็ดูเป็นคนดี แล้วก็น่าจะรู้สึกดีกับเธอด้วยเหมือนกัน แล้วทำไมจะต้องมานั่งคิดมากด้วยล่ะ”
“...พริมไม่คิดว่ามันเร็วไปหน่อยเหรอ เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่เองนะ” ถ้านับวันแล้วก็ยังไม่ครบสองมือดีเลยด้วยซ้ำ หากเพื่อนสนิทกลับหัวเราะอย่างขบขัน
“โธ่เอ๊ย เชรี รักแรกพบก็มีตั้งเยอะแยะไป ถ้าเทียบกันแล้วอย่างเธอน่ะไม่เรียกว่าเร็วไปหรอก อีกอย่างเธอกับพี่พีทก็ทั้งเห็นหน้า ทั้งอยู่ใกล้กันทุกวัน แล้วพี่เขาก็ออกจะหล่อ แถมยังดูแลเธอดีขนาดนั้น จะเผลอใจไปบ้างก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย”
“พริมน่ะ ฉันไม่ได้ชอบพี่พีทเพราะเรื่องนั้นสักหน่อย” ชนม์นิภาเอ่ยเสียงขึ้นจมูกอย่างงอนๆ ก่อนจะรู้ตัวว่าเผลอเดินตกหลุมที่เพื่อนขุดรอไว้เต็มๆ เมื่อพริมาหัวเราะขำแล้วสรุปว่า
“โอเค งั้นตัดเรื่องหน้าตาออกไปก็ได้ แต่ก็ยอมรับแล้วใช่ไหมล่ะว่าชอบพี่เขาแล้วจริงๆ”
“พริมแกล้งกันนี่” คนที่เผลอตัวสารภาพความในใจส่งเสียงประท้วงอย่างเขินจัด แทบจะมุดหน้าร้อนผ่าวลงกับหมอนใบใหญ่เพื่อหนีความอับอายแล้วด้วยซ้ำถ้าทำได้
“ก็ไม่คิดว่าเธอจะหลงกลจริงๆ นี่นา” เพื่อนรักยังคงหัวเราะอย่างสนุกสนานไม่เลิก ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังขึ้น แต่ไม่วายหยอดเสียงหยอกล้อในตอนท้ายว่า “รู้ตัวแล้วแบบนี้ก็เลิกคิดมากซะทีนะเชรี ยังมีเวลาให้คิดอีกตั้งเยอะว่าความรู้สึกของเธอจะหยุดอยู่แค่นี้หรือว่าจะเป็นยังไงต่อไป ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของอนาคตทั้งนั้นแหละ...แต่ฉันขอเตือนไว้ก่อนนะว่าถ้าพี่พีทเขาเกิดขอเธอเป็นแฟนขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็รีบๆ ตอบตกลงไปเลย หรืออย่างน้อยก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ ทำเป็นขอเวลาคิดก่อนก็ได้ ผู้ชายดีๆ ไม่ได้มีผ่านมาทุกวันนะรู้ไหม”
“นี่เธอจะคิดไกลเกินไปแล้วนะยัยพริม พี่พีทเขายังไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นเลยสักคำ” หญิงสาวว่า อันที่จริงก็ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าเขารู้สึกกับเธอยังไง จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ขณะที่ปลายสายแกล้งทำเสียงแปลกใจเมื่อเอ่ยล้อๆ ว่า
“อ้าวเหรอ นี่ฉันก็นึกว่าพี่เขาบอกชอบเธอแล้วซะอีก เห็นแม่เขาออกตัวสนับสนุนขนาดนั้น ได้ข่าวว่าอยู่ๆ ก็บอกว่าจะไปเที่ยวฮ่องกงกะทันหันไม่ใช่เหรอ ไม่ค่อยจะเปิดโอกาสให้เท่าไหร่เลยนะป้าภัสของเธอเนี่ย”
จะว่าไปเรื่องนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอต้องรีบโทรหาพริมา เมื่อหลังจากทานมื้อค่ำเสร็จแล้ว คุณภัสสรก็บอกกับเธอและลูกชายคนเดียวด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่าวันนี้เพื่อนร่วมกลุ่มสมาคมของท่านเพิ่งโทรมาเตือนเรื่องทัวร์ไหว้พระที่ฮ่องกงที่ได้จองล่วงหน้าเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว และมีกำหนดจะออกเดินทางในอีกสองวันข้างหน้านี้เอง
‘ตอนแรกแม่ก็ว่าจะเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วล่ะ เพราะว่าเชรีอุตส่าห์มาเที่ยวบ้านเราทั้งที จะให้แม่ไปเที่ยวที่อื่นก็ยังไงอยู่ แต่คิดไปคิดมาแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ เพราะนานๆ ทีถึงจะรวมตัวกันได้แบบนี้สักครั้ง’ แม่เลี้ยงแห่งไร่ปภัสสรทำท่าถอนใจเบาๆ เมื่อเบนสายตาจากบุตรชายที่วางหน้านิ่งแต่สายตาบ่งบอกว่ารู้ทัน มาทางหลานสาวที่นิ่งอึ้งไปอย่างพูดอะไรไม่ออก เริ่มรู้สึกขึ้นมารางๆ ว่าบางทีทุกอย่างอาจจะเป็นแผนการของผู้อาวุโสมาตั้งแต่ต้นแล้วก็เป็นได้ แล้วประโยคต่อมาของผู้เป็นป้าก็ยิ่งยืนยันความคิดของเธอที่ว่า
‘เชรีคงไม่โกรธป้าใช่ไหมลูกที่ไม่ได้ดูแลหนูให้ดีเหมือนที่รับปากกับแม่เค้าไว้ แต่ป้าเห็นว่าถึงป้าจะไม่อยู่ พี่พีทก็คงจะดูแลหนูได้ แล้วก็เต็มใจที่จะดูแลหนูอย่างดีด้วย ป้าถึงได้วางใจนะจ๊ะ’
ทั้ง ‘คนที่เต็มใจจะดูแล’ และ ‘คนที่กำลังจะถูกดูแล’ ต่างก็หันมาสบตากัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะคลี่ยิ้มนิดๆ เหมือนยอมรับคำพูดของมารดา ในขณะที่ฝ่ายหลังหน้าเปลี่ยนเป็นสีเรื่อโดยอัตโนมัติ ซึ่งคุณภัสสรที่จับตามองอยู่ด้วยความพอใจก็ถือโอกาสที่ไม่มีใครคัดค้านสรุปเรื่องลงอย่างยินดีว่า
‘ถ้าอย่างนั้นระหว่างที่หนูพริมยังไม่ตามขึ้นมา ป้าจะให้บัวตองเข้าไปนอนกับเชรีในห้องนะจ๊ะ แล้วก็ยังมีฟองจันทร์อยู่ด้วยอีกคน รับรองว่าไม่มีทางที่ใครจะมองไม่ดีเด็ดขาด สบายใจได้นะลูก’
ชนม์นิภาอยากจะบอกผู้แก่วัยกว่าว่าความจริงแล้วเธอไม่ได้กังวลเรื่องนั้น เพราะถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้รับรองความประพฤติของลูกชายอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ เธอก็ยังเชื่อว่าพีรัชมีความเป็นสุภาพบุรุษมากพออยู่ดี แต่ปัญหาอยู่ที่ ‘ใจ’ ของเธอเองต่างหาก...ที่ดูเหมือนจะหวั่นไหวไปกับเขาง่ายดายโดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา
...ยิ่งได้รู้ตัวว่าเริ่มจะมีใจให้เขาแล้วอย่างนี้ เธอจะเก็บซ่อนความรู้สึกที่มีได้อีกนานแค่ไหนกัน
“ท่าทางสบายใจแบบนี้ แปลว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนหมดแล้วใช่ไหมครับ คุณภัสสร”
ถ้อยประโยคเรียบๆ จากร่างสูงที่ก้าวเข้ามาในห้องพักผ่อนชั้นบนของตัวบ้าน ทำให้ผู้เป็นมารดาที่นั่งพิงโซฟาชมรายการโทรทัศน์อย่างเพลิดเพลินหยิบรีโมตมากดหรี่เสียงลงเล็กน้อย ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วใส่คนที่ทรุดตัวลงบนโซฟาอีกด้านด้วยท่าทางประหลาดใจ อย่างที่อาจจะดูน่าเชื่อถือสำหรับคนอื่นที่ไม่ใช่บุตรชายคนเดียว
“พีทพูดเรื่องอะไร แผนอะไรจ๊ะ”
“แม่ครับ ท่าทางแบบนี้ใช้ได้ผลกับหลานสาวของแม่เท่านั้นแหละ” พีรัชบอกอย่างรู้ทัน ก่อนจะเลิกคิ้วถามกลับบ้างว่า “แม่วางแผนเอาไว้หมดแล้วใช่ไหมครับเรื่องผมกับเชรี แล้วก็เรื่องไปเที่ยวฮ่องกงอีก จองเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ไม่เห็นเคยบอกผมเลย”
“แหม ทัวร์นั้นแม่จองไว้ตั้งนานแล้วจริงๆ ย่ะ ก็แค่เร่งวันเดินทางให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นเอง พอดีเจ้าของบริษัทเป็นคนรู้จักกันอยู่แล้ว เขาก็เลยจัดการด่วนให้ได้ทั้งตั๋วเครื่องบินทั้งโรงแรม” คุณภัสสรตอบค้อนๆ ก่อนจะถอนใจพลางบ่นว่า “เรานี่ก็เหลือเกินนะพีท ช่วยทำเป็นไม่รู้ทันแม่สักเรื่องไม่ได้หรือไง น่าเบื่อจริงๆ เลย”
“ผมก็นึกว่าแม่กำลังสนุกอยู่ซะอีก เห็นขยันวางแผนโน่นนี่เต็มไปหมด เรื่องหนังสือพิมพ์นั่นก็ฝีมือแม่ด้วยหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มถามเรื่อยๆ อย่างพอจะคาดเดาคำตอบได้อยู่แล้ว เพราะจำได้ว่าภรรยาเจ้าของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่กลทีป์นำมาให้ฉบับนั้นเป็นหนึ่งในคนคุ้นเคยของมารดา และยังอยู่ในกลุ่มที่บังเอิญพบกันที่วัดพระธาตุดอยสุเทพอีกด้วย ซึ่งเมื่อมาคิดดูอีกทีก็ไม่แน่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดจากความบังเอิญจริงๆ ด้วยซ้ำไป ในเมื่อแผนการเที่ยวในวันนั้นก็เป็นท่านเองที่เป็นผู้กำหนดขึ้น
“อ๊ะ เรื่องนั้นแม่ไม่ได้เป็นคนบอกนะ เขาเห็นแล้วก็เอาไปเขียนกันเองต่างหาก แต่แม่ดูแล้วว่าเขาไม่ได้เขียนให้น้องหรือว่าเราเสียหาย เป็นแค่ข่าวซุบซิบธรรมดา แม่ก็เลยไม่ได้ว่าอะไร” ผู้เป็นแม่ยอมรับความผิดเอาไว้แค่บางส่วน ก่อนจะใช้จังหวะนั้นหันมาเล่นงานเขาคืนอย่างไม่รอช้าว่า “ที่จริงก็เป็นเพราะเราไปสร้างข่าวลือเอาไว้ก่อนนั่นแหละพีท เขาถึงเอาเรื่องมาต่อกันได้เอง ไม่ใช่เพราะแผนของแม่อย่างเดียวสักหน่อย”
พีรัชไม่แปลกใจกับการที่ข่าวลือนั้นลอยมาเข้าหูผู้เป็นมารดา ด้วยประจักษ์ถึงความกว้างขวางใน ‘เครือข่าย’ ของท่านดี แต่ก็อดแก้ไขคำพูดตามความจริงไม่ได้
“แม่ก็รู้นี่ครับว่าเรื่องนั้นเป็นแค่ข่าวลือ ไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย”
“ตอนนั้นน่ะใช่ แต่ว่าตอนนี้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแล้วใช่ไหมจ๊ะ” คุณภัสสรที่เปลี่ยนบทมาเป็นฝ่ายรุกไล่ลูกชายแทนอย่างรวดเร็วย้อนถามยิ้มๆ ด้วยประโยคที่ทำให้คนถูกถามถึงกับหน้าเก้อไปเล็กน้อย หากไม่ได้เอ่ยปากปฏิเสธแต่อย่างใด จนคนเป็นแม่ได้แต่ยิ้มกว้างอย่างสมใจ “บอกแล้วใช่ไหมว่าสายตาแม่ไม่มีพลาดหรอก เชื่อหรือยังล่ะ”
“ผมก็เชื่อแม่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะยอมเล่นตามแผนของแม่มาจนถึงตอนนี้เหรอครับ” บุตรชายตอบนุ่มๆ หน้าตาเฉย แต่นัยน์ตาเป็นประกายระยับ เรียกอาการค้อนขวับอย่างหมั่นไส้ปนรู้ทันจากมารดาที่ออกปากบอกกึ่งตักเตือนไปพร้อมกันว่า
“จ้ะ พ่อคนเชื่อฟัง...ต่อไปก็เป็นเรื่องของเรากับน้องสองคนแล้วนะ แม่อุตส่าห์เปิดทางให้ขนาดนี้แล้ว เราก็ทำให้เชรียอมตกลงด้วยให้ได้ก็แล้วกัน แต่บอกไว้ก่อนว่าห้ามทำอะไรเกินเลยกับน้องเด็ดขาด ไม่งั้นแม่ไม่ให้อภัยเราแน่ๆ ยังไงตอนนี้เชรีก็ยังถือว่าเป็นหลานสาวแม่อยู่นะ”
“นี่แม่เห็นผมเป็นคนยังไง ไว้ใจกันหน่อยสิครับ” พีรัชส่ายหน้าอย่างขบขันแกมอ่อนใจ กับคนที่ประกาศว่าตั้งใจเปิดโอกาสให้เขาเต็มที่ แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่วายเตือนนั่นห่วงนี่ไม่เลิกอยู่ดี
“ก็เพราะว่าไว้ใจน่ะสิจ๊ะถึงได้กล้าปล่อยให้อยู่กันสองคน...ถ้าไม่นับบัวตองกับฟองจันทร์น่ะนะ แต่ยังไงแม่ก็ต้องเตือนไว้ก่อนล่ะ เพราะถ้าเกิดเราเผลอตัวทำอะไรรุ่มร่ามกับน้องไป แม่กับน้าดาคงมองหน้ากันไม่ติดพอดี แค่นี้แม่เค้าก็ห่วงลูกสาวจะแย่อยู่แล้ว รู้ไหมว่าแม่ต้องออกตัวแทนสารพัดว่าลูกชายไว้ใจได้ น้าดาเค้าถึงได้ยอม...ไม่แล่นตามมาคุมเองถึงที่นี่ ไม่งั้นก็อย่าหวังเลยว่าเราจะได้มีโอกาสแบบนี้”
“แม่ครับ ผมรู้ตัวนะครับว่าทำอะไรได้แค่ไหน แม่กับน้าดาไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ชายหนุ่มยืนยันอย่างมั่นใจ ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะออกอาการเก้อนิดๆ อีกรอบ เมื่อคุณภัสสรปรายตามอง ก่อนจะแกล้งประชดว่า
“ให้มันแน่เถอะจ้ะ ไม่ใช่ว่าเผลอเดินจับมือน้องไม่ยอมปล่อยเหมือนเมื่อตอนบ่ายอีกล่ะ อย่านึกว่าแม่ไม่รู้นะ”
“นี่บัวตองมาฟ้องแม่เหรอครับ” ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่างานนี้ ‘ผู้สื่อข่าว’ ของมารดาคือใคร ในเมื่อก็มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะเข้าข่าย
“ใครบอกว่าฟ้องจ๊ะ เขาเรียกว่ารายงานความคืบหน้าต่างหาก” แม่เลี้ยงแห่งไร่ปภัสสรตอบหน้าตาเฉยพอกัน ก่อนจะบอกด้วยดวงตาฉายแววคาดหวังเต็มเปี่ยมว่า “เอาเป็นว่าเราก็เล่นตามแผนของแม่ต่อไปดีๆ ก็แล้วกัน หวังว่าพอแม่กลับมาคงจะได้ฟังข่าวดีสักทีนะจ๊ะ”
“ขอบใจที่มาช่วยพี่นะพริม เมื่อเช้าอยู่ๆ ยัยต่ายก็โทรมาลาป่วย บอกว่าท้องเสียต้องแอดมิทด่วน ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อวานไปกินอะไรมา ก็เลยกลายเป็นว่าวันนี้พี่ต้องรบกวนให้พริมมาแทน”
รสสุคนธ์ขอบอกขอบใจลูกน้องสาวที่มาช่วยจัดการเตรียมงานเปิดตัวหนังสือเล่มล่าสุดของนักเขียนนิยายชื่อดังที่ออกผลงานกับสำนักพิมพ์ของเธออย่างต่อเนื่องมานานหลายปี และเพราะคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในวันนี้เกิดไม่สบายขึ้นมากะทันหัน คนที่เธอเลือกให้มาช่วยเป็นการด่วนจึงเป็นพริมา ซึ่งเป็นอีกคนเธอมั่นใจในความสามารถเป็นอย่างดี และอีกฝ่ายก็ไม่ทำให้เธอผิดหวัง เมื่อมาถึงสถานที่จัดงานก็เริ่มต้นสานต่องานที่ตุลยาทำค้างไว้ได้อย่างไม่ติดขัด จนกระทั่งมาถึงช่วงเวลาที่นักเขียนขึ้นไปให้สัมภาษณ์อยู่บนเวที โดยมีพิธีกรซึ่งก็เป็นแฟนหนังสือตัวยงคนหนึ่งกำลังชวนพูดคุยอย่างสนุกสนาน บรรณาธิการบริหารสาวจึงเพิ่งได้โอกาสแวะเข้ามาพูดคุยกับคนที่คอยคุมงานอยู่เบื้องหลังก็ตอนนี้เอง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่โรส จริงๆ ต่ายเค้าก็วางแพลนงานเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว พริมแค่มารันต่อไปตามขั้นตอนเท่านั้นเอง” พริมาตอบยิ้มๆ เพราะเพื่อนสาวคนที่ถูกพูดถึงนั้นได้เตรียมงานเอาไว้เกือบสมบูรณ์แล้ว เธอจึงเข้ามารับงานต่อได้โดยไม่ลำบากอะไร...จนถึงตอนนี้ก็เรียกว่าผ่านไปได้ครึ่งทางแล้ว เมื่อต่อจากนี้จะเป็นช่วงแจกลายเซ็นซึ่งก็ได้มีการจัดคิวล่วงหน้าไว้แล้วตั้งแต่เริ่มงาน
ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนว่าวงการหนังสือจะเริ่มซบเซาลงเนื่องจากคนนิยมหันไปอ่านสื่อทางออนไลน์มากขึ้น แต่สำนักพิมพ์ที่หญิงสาวทำงานอยู่ก็ได้มีการปรับตัวด้วยการเริ่มต้นขายหนังสือในช่องทางออนไลน์ควบคู่กันมาได้หลายปีแล้ว ประกอบกับการผลิตหนังสือออกมาหลากหลายแนวตามความต้องการของตลาด แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงไม่ทิ้งคุณภาพของงานเขียน และนักเขียนประจำหลายคนก็ได้ผลัดกันออกผลงานอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ยังมีแฟนหนังสือคอยติดตามอุดหนุนสำนักพิมพ์อย่างเหนียวแน่นไม่เปลี่ยนแปลง
“ถึงยังไงพี่ก็ต้องขอบใจพริมอยู่ดีแหละ เดี๋ยวเสร็จงานวันนี้แล้วพี่จะพาไปเลี้ยงข้าวนะจ๊ะ อุตส่าห์มาทำงานส่งท้ายก่อนหยุดยาวทั้งที” รสสุคนธ์เอ่ยปนหัวเราะ “ได้ข่าวว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่ไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เริ่มหนาวแล้วด้วย ทางเหนือคงสวยน่าดูเลยนะ”
“สวยมากค่ะ ยัยเชรีส่งรูปมาให้ดูทุกวันจนพริมอยากตามขึ้นไปจะแย่อยู่แล้ว ทั้งทะเลหมอก สวนดอกไม้ ไร่ชา ไร่กาแฟ...ไม่รู้ว่ากี่วันถึงจะเที่ยวหมด”
“กว้างขนาดนั้นเชียว ที่ไหนจ๊ะนั่น” ผู้บริหารสาวถามอย่างแปลกใจ พอได้รับคำตอบเป็นชื่อไร่ก็อุทานอย่างนึกขึ้นได้ว่า “อ๋อ ไร่ปภัสสร พี่เคยได้ยินชื่อนะ รู้สึกว่าจะเคยลงคอลัมน์ท่องเที่ยวของนิตยสารในเครือของเราสักฉบับหนึ่งนี่แหละ จำได้ว่าเขามีทั้งไร่แล้วก็รีสอร์ทเลยด้วย...นี่ยัยเชรีพักอยู่ที่นั่นเหรอจ๊ะ คงจะได้ข้อมูลมาเยอะเลยล่ะสิ”
“ก็น่าจะได้เยอะอยู่นะคะ พริมว่าเดี๋ยวพี่โรสก็คงจะได้ตีพิมพ์นิยายเล่มใหม่ของยัยเชรีแล้วล่ะค่ะ เพราะดูท่าทางแล้วไปคราวนี้น่าจะได้แรงบันดาลใจกลับมาเพียบเลย” พริมาตอบ นึกถึงเพื่อนสนิทที่เพิ่งโทรคุยกันไปเมื่อคืนแล้วก็อดยิ้มกว้างไม่ได้...ใครจะคิดว่าขึ้นเชียงใหม่ไปแค่ไม่ถึงสองสัปดาห์ นอกจากข้อมูลที่ต้องการแล้ว ชนม์นิภาก็ยังมีท่าทีว่าจะได้ ‘พระเอก’ ในชีวิตจริงกลับมาด้วยอย่างที่เธอเคยแกล้งทำนายเอาไว้จริงๆ
“จริงเหรอ แบบนั้นก็ดีสิ จะว่าไปก็มีแฟนนิยายถามเข้ามาเรื่อยๆ นะว่าเมื่อไหร่เชรีจะออกงานใหม่สักที ถ้าพอจะมีวี่แววแบบนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย” รสสุคนธ์ว่า ก่อนจะหรี่ตานิดๆ เหมือนนึกสะกิดใจอะไรบางอย่างขึ้นมา “ว่าแต่ทำไมพี่ถึงรู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้นะ มีอะไรที่พี่ยังไม่รู้อีกหรือเปล่าจ๊ะ”
“ตอนนี้พริมก็ยังไม่แน่ใจนะคะ แต่คิดว่าอีกไม่นานพี่โรสน่าจะได้รู้เรื่องด้วยแน่ๆ” ลูกน้องสาวบอกด้วยรอยยิ้มหวาน แต่ไม่ยอมเปิดเผยอะไรไปมากกว่านี้ ทำให้สาวรุ่นพี่ส่งค้อนเล็กๆ ให้พลางบ่นว่า
“ตายละ แล้วพี่จะต้องค้างคาไปจนถึงเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย ยัยพริมนะ ทำพี่อยากรู้แล้วก็ไม่ยอมเล่าให้จบ”
หลังจากที่งานเปิดตัวหนังสือจบลงด้วยความประทับใจทั้งฝ่ายนักเขียนและแฟนๆ ที่ยังคงอยู่พูดคุยกันอีกพักใหญ่กว่าจะแยกย้ายกันไปในที่สุด รสสุคนธ์ก็พาพริมาและทีมงานของสำนักพิมพ์คนอื่นๆ ไปเลี้ยงฉลองที่ร้านบุฟเฟต์ชื่อดังที่มีสาขาอยู่ในห้างสรรพสินค้าใกล้กับสถานที่จัดงานพอดี และเนื่องจากร้านนี้มีทั้งอาหารแนวปิ้งย่างและชาบูไว้ให้บริการ จึงนับว่าลงตัวสำหรับคนกลุ่มใหญ่ที่มีความชอบหลากหลายเป็นอย่างมาก
“อ๊ายยย ผู้ชายคนเมื่อกี้หน้าตาดีสุดๆ...สูง ขาว หล่อ ใส่สูท แบบที่หนูชอบเป๊ะเลยพี่พริม” จู่ๆ รุ่นน้องสาวที่นั่งติดกระจกหน้าร้านอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพริมาก็กรีดร้องขึ้น ยังดีที่เจ้าตัวรู้จักถนอมเสียงอยู่บ้างจึงไม่มีใครแตกตื่นตกใจอะไร หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะคนที่เหลือล้วนแล้วแต่เคยชินกับท่าทางแบบนี้ของกมลชนกดีอยู่แล้วก็เป็นได้
“เหมือนตอนที่เดินผ่านไปเค้าหันมายิ้มให้หนูด้วยนะ พี่พริมเห็นหรือเปล่า”
“พี่ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ เพิ่งจะเงยหน้าก็ตอนที่อยู่ๆ เธอก็กรี๊ดขึ้นมาเนี่ย” หญิงสาวตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษ นอกจากภาพแผ่นหลังกว้างในชุดสูทสีเทาที่ผ่านเข้ามาในสายตาแวบหนึ่งเท่านั้น แต่พอเห็นอีกฝ่ายยังทำตาปรอยมองตามไปในทิศทางนั้นไม่เลิกราก็อดเอ่ยขัดไม่ได้ว่า “เก็บอาการหน่อยไหม ยัยลูกนก...รู้ได้ยังไงว่าเขายิ้มให้เธอน่ะ บางทีเขาอาจจะยิ้มให้คนอื่นก็ได้ หรือถ้าเขายิ้มให้เธอจริงก็ยิ่งไม่น่าไว้ใจเข้าไปใหญ่ คนไม่รู้จักกันแท้ๆ มาทำเป็นยิ้มให้ ผู้ชายเจ้าชู้ชัดๆ”
“โอย ถ้ามัวแต่คิดอย่างพี่พริมแล้วเมื่อไหร่หนูจะได้มีแฟนซะทีล่ะคะ” กมลชนกเบ้หน้า จุ่มตะเกียบลงในหม้อพลางบ่นพึมพำอย่างเซ็งๆ ว่า “ขอเข้าข้างตัวเองให้ชุ่มชื่นหัวใจนิดหน่อยก็ไม่ได้ ถ้าพี่พริมอยากโสดแบบสวยๆ ก็โสดไปคนเดียวสิคะ ทำไมจะต้องมาลากหนูไปเป็นเพื่อนด้วยล่ะ เขาอาจจะเป็นเนื้อคู่ที่หนูรออยู่ก็ได้นี่นา”
พริมาส่ายหน้าอย่างกึ่งขำกึ่งระอาใจกับรุ่นน้องสาวที่ดูท่าจะอาการหนักขึ้นทุกวัน แต่ยังไม่ทันได้ตอบโต้อะไร รสสุคนธ์ที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อนด้วยประโยคที่เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากคนรอบข้าง ในขณะที่เจ้าของเรื่องกรีดร้องประท้วงเสียงหลงว่า
“อย่างพริมน่ะเรียกว่าโสดแบบสวยๆ ได้เพราะเขาสวยจริง แล้วที่โสดก็เพราะเลือกเอง แต่อย่างเราน่ะ...อย่าให้พี่พูดความจริงจะดีกว่านะ ยัยพญานก”
“กรี๊ด พี่โรสขา น้องชื่อหนูนกนะคะ...หนูนก เรียกให้ดูน่ารักหน่อยสิคะ ไม่ใช่ลูกนกร้องจิ๊บๆ หาแม่แบบนั้น...พญานกก็ยิ่งไม่เอา เข้าใจตรงกันนะคะ”
กลทีป์คลี่ยิ้มสะดุดตาให้พนักงานต้อนรับสาวของร้านอาหาร ที่พอเห็นเขาส่งยิ้มให้ก็ทำท่าเอียงอายนิดๆ ก่อนจะเดินนำเขาไปยังโต๊ะที่โทรมาจองไว้ล่วงหน้าด้วยท่าทางกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด
“คุณกลทีป์จองไว้สองที่นะคะ เชิญทางนี้เลยค่ะ เราจัดโต๊ะตรงมุมพิเศษเอาไว้ให้แล้ว”
“ขอบคุณครับ...ร้านนี้นอกจากอาหารจะอร่อยแล้วยังบริการดีอีก แบบนี้สงสัยผมคงต้องหาโอกาสมาทานบ่อยๆ ซะแล้วสิ” ชายหนุ่มหยอดเสียงนุ่มๆ ในแบบที่ทำให้อีกฝ่ายตาเป็นประกาย ก่อนจะจำใจยกหน้าที่ดูแลลูกค้าหนุ่มให้บริกรภายในร้านที่มารับช่วงต่อ แล้วผละกลับไปประจำที่หน้าร้านต่ออย่างเสียดาย หากไม่ลืมทิ้งท้ายด้วยเสียงหวานจัดพอๆ กับแววตาว่า
“เชิญเลยค่ะ ร้านเรายินดีต้อนรับเสมอ แล้วมาอีกนะคะ”
ร่างสูงในชุดสูทสีเทาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ เป็นเอกลักษณ์ แล้วเลือกสั่งเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียวระหว่างที่รอให้คู่นัดปรากฏตัว...รู้ดีว่าตกเป็นเป้าสายตาและความสนใจของใครหลายคน แต่ใบหน้าคมเข้มก็ยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับได้อย่างผ่อนคลาย
เพราะความที่บุคลิกภายนอกดูเป็นมิตรจึงทำให้เขามักจะมีคนคอยเข้าหาไม่ขาด ต่างจากเพื่อนสนิทที่เลือกวางมาดเคร่งขรึมเป็นประจำ ซ้ำยังไม่ค่อยจะสนใจสานสัมพันธ์กับใครง่ายๆ ขนาดที่บางครั้งมีคนใจกล้าส่งยิ้มให้ก่อนยังมองผ่านไปเสียเฉยๆ จนเขาที่กำลังแลกเปลี่ยนสายตากับหญิงสาวอีกโต๊ะหนึ่งอดสะกิดเตือนให้รู้ตัวไม่ได้ว่า
‘เฮ้ย พีท ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้นายน่ะ หันไปมองเขาหน่อยสิวะ สวยดีนะ’
‘เขายิ้มให้นายต่างหาก ถ้าคิดว่าสวยก็เข้าไปคุยเลยสิ’ นอกจากจะไม่สนใจแล้วพีรัชยังโยนเรื่องมาให้เขาหน้าตาเฉย ทำเอาคนเป็นเพื่อนถึงกับบ่นพึมเมื่อรู้ว่าท่าทางแบบนี้ยังไงก็คงยุไม่ขึ้นแน่ๆ
‘หมอนี่มันเลือกมากจริงเว้ย’
แต่วันนี้คนที่ไม่เคยสนใจใครกลับมีท่าทีพิเศษให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่กลทีป์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็น...หากไม่ติดว่าเขาต้องเดินทางมาประชุมผู้ถือหุ้นที่โรงแรมสาขาในกรุงเทพแทนผู้เป็นบิดาเสียก่อน ก็คงจะได้แวะเวียนไปดูความคืบหน้าที่ไร่ปภัสสรว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั้นก้าวไปถึงไหนแล้ว
ไม่นานร่างโปร่งสมส่วนของหญิงสาวใบหน้าสวยคมในชุดเดรสเข้ารูปก็ก้าวมาหยุดตรงหน้า...วีรยาเป็นหลานสาวของผู้ถือหุ้นคนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาช่วยงานในโรงแรมและได้พบกับเขาในการประชุมเมื่อวันก่อน เมื่อต่างฝ่ายต่างก็ถูกตาต้องใจซึ่งกันและกัน จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะนัดพบกับเธอเพื่อสานต่อความสัมพันธ์กันในวันนี้
“รอนานมั้ยคะ คุณก้อง”
“ไม่เลยครับ...รอคุณวี ต่อให้นานกว่านี้ก็เหมือนไม่นาน ผมรอได้อยู่แล้วครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงนุ่ม เรียกอาการค้อนนิดๆ ด้วยกิริยาน่าดูจากคนฟังที่แกล้งตอบว่า
“ปากหวานจังนะคะ แบบนี้วีน่าจะลองปล่อยให้รอนานๆ สักทีดีมั้ยนะ อยากเห็นเหมือนกันว่าจะรอได้จริงหรือเปล่า”
เมื่อเห็นกลทีป์เลือกใช้รอยยิ้มแทนคำตอบอย่างไม่ยอมผูกมัดตัวเองง่ายๆ หญิงสาวจึงหัวเราะเสียงรื่นหูอย่างรู้ทัน ก่อนจะเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่นอย่างคนที่เจนสังคมเป็นอย่างดี และเขาก็สามารถต่อบทสนทนาได้อย่างสนุกสนานตามเคย เรียกว่า ‘เดต’ ในวันนี้น่าจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น...หากไม่ใช่เพราะเสียงหวานๆ ที่ดังมาจากเบื้องหลังด้วยถ้อยคำที่ทำให้ร่างสูงถึงกับชะงักไปในชั่วพริบตา
“คุณก้อง ลงมากรุงเทพตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่โทรหาเจนล่ะคะ”
“คุณเจน…”
ถ้าจะบอกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาของกลทีป์ ไม่เคยมีเหตุการณ์ใกล้เคียงกับครั้งนี้เกิดขึ้นมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียวเลยก็ว่าได้ เหมือนอย่างที่ผู้เป็นบิดาเคยบอกแกมประชดเอาไว้ว่า
‘เรื่องงานไอ้เจ้าก้องมันก็เก่งแบบงั้นๆ ล่ะนะ แต่เรื่องสับรางนี่คงต้องยกให้มัน ใครก็สู้ไม่ได้จริงๆ’
หากเพราะความบังเอิญหรืออะไรถึงทำให้เจนเนตรเลือกมาทานอาหารร้านเดียวกับเขาและวีรยาในเวลานี้ ทั้งที่ร้านในห้างก็มีอีกตั้งมากมาย ส่งผลให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่ชายหนุ่มก็ยังคงเรียกรอยยิ้มขึ้นมาประดับริมฝีปากได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะให้คำตอบอย่างลื่นไหลว่า
“พอดีผมมาประชุมแทนคุณพ่อน่ะครับ มัวแต่ยุ่งๆ ก็เลยไม่ได้บอกคุณเจน” ...อันที่จริงก็คือไม่ได้คิดถึงเลยด้วยซ้ำ ขณะที่อีกฝ่ายปรายตาไปทางหญิงสาวอีกคนเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นมองผ่านไปเหมือนไม่เห็น เมื่อพยักหน้าตอบเสียงหวานโดยไม่ลืมเน้นเสียงในบางคำว่า
“ถ้าคุณก้องงานยุ่ง เจนก็เข้าใจค่ะ แต่ตอนที่ไปเชียงใหม่คุณก้องอุตส่าห์ดูแลเจนอย่างดี เจนยังไม่ได้ตอบแทนเลย..ถ้ายังไงให้เจนรอจนคุณก้องเสร็จธุระก่อนก็ได้นะคะ คนสนิทกัน เรื่องแค่นี้เจนไม่ถือ”
“อ้าว วีเพิ่งรู้นะคะว่าคุณก้องมีคนรู้จักที่นี่ด้วย เห็นตอนแรกบอกว่าไม่สนิทกับใคร ถึงได้อยากชวนวีมาทานข้าว จะได้สนิทกันมากขึ้น ตกลงว่ายังไงนะคะ” วีรยาผู้ที่จู่ๆ ก็กลายเป็น ‘ธุระ’ ถามกลับด้วยรอยยิ้มหวานเฉียบพอกันอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนที่สองสาวจะหันมามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกลางด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกพร้อมกันเป็นตาเดียวเหมือนต้องการให้เขาเป็นผู้ตัดสิน จนกลทีป์ได้แต่ลอบครางอยู่ในใจ
...วันนี้มันวันซวยอะไรของเขาเนี่ย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in