“คราวนี้จะขึ้นเชียงใหม่เหรอ”
พริมานั่งประสานมือสองข้างรองคางพลางเอ่ยถามเพื่อนสนิท ที่หลังจากบอกความตั้งใจแล้วก็ก้มหน้าดูดเครื่องดื่มในแก้วทรงสูงอึกใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบอย่างกระตือรือร้นว่า
“ฮื่อ ว่าจะขึ้นไปเก็บข้อมูลเขียนนิยายเรื่องใหม่น่ะ กะว่าเรื่องนี้จะใช้ฉากทางเหนือ ก็เลยอยากไปเก็บบรรยากาศซะหน่อย เวลาเขียนจะได้อินไง”
“ไปคนเดียวเนี่ยนะเชรี ไม่น่าเชื่อว่าแม่เธอจะยอมให้ไปง่ายๆ” คนฟังรำพึง ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอนใจเฮือกอย่างเซ็งๆ “...หรือว่าไม่ง่าย”
“พริมก็รู้จักแม่ฉันนี่ ถ้าไม่ยอมไปพักที่รีสอร์ทของป้าภัสก็คงไม่ยอมให้ฉันไปคนเดียวหรอก” ชนม์นิภาว่า ถ้าพูดถึงกระบวนการห่วงลูกแล้วคงไม่มีใครเกินคุณชลลดาผู้เป็นมารดาของเธอไปได้ ทั้งที่ลูกสาวก็โตจนเลยวัยเบญจเพสมาได้หลายเดือนแล้ว แถมยังเคยไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนเพียงลำพังมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ผู้เป็นแม่ก็ยังไม่วายทำเหมือนเธอเป็นเด็กเล็กๆ อยู่ดี
ในช่วงเวลาที่ร่ำเรียนอยู่แดนไกลนั่นเองที่หญิงสาวใช้เวลายามว่างกลั่นออกมาเป็นตัวอักษร อาศัยความรักในการอ่านที่มีร้อยเรียงเรื่องราวความรักแสนหวานที่มีฉากหลังเป็นเมืองที่เธออาศัยอยู่ได้อย่างน่าอ่าน จนจบแล้วจึงลองส่งเรื่องมาให้สำนักพิมพ์ที่พริมาทำงานอยู่โดยไม่หวังอะไรมากนัก แต่ผลงานของเธอกลับเข้าตาบรรณาธิการที่กำลังมองหานักเขียนหน้าใหม่อยู่พอดี ก่อนจะได้รับเลือกให้ตีพิมพ์และขึ้นแท่นหนังสือขายดีในเวลาต่อมา
หลังกลับจากเรียนต่อ ชนม์นิภาก็หันมาจับงานแปลหนังสือ โดยเลือกแปลนวนิยายแนวที่ถนัดและมีความชอบเป็นทุน เหลืออีกไม่กี่บทเรื่องที่กำลังแปลอยู่ก็จะจบลง เธอจึงคิดจะกลับมาเขียนนิยายอีกครั้งโดยตั้งใจวางโครงเรื่องเป็นภาคเหนือของประเทศไทย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้น
“ป้าภัส?”
“อ๋อ ป้าภัสเป็นเพื่อนสนิทสมัยสาวๆ ของแม่ฉันเอง แต่คุณป้าแต่งงานไปอยู่เชียงใหม่ตั้งนานแล้ว นานๆ ถึงจะลงมากรุงเทพสักที แต่มาทีไรก็ต้องแวะมาที่บ้านฉันตลอด ก็เลยคุ้นหน้าฉันอยู่บ้าง” หญิงสาวอธิบายเมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าสงสัย...อันที่จริงจะบอกว่าคุ้นหน้าเฉยๆ ก็ไม่ตรงเสียทีเดียวนัก เพราะความจริงฝ่ายนั้นให้ความเอ็นดูเธอค่อนข้างมาก บ่นว่าอิจฉาคุณชลลดาที่มีลูกสาวน่ารักเป็นประจำ พอรู้เรื่องที่ชนม์นิภาจะขึ้นมาเก็บข้อมูลก็เป็นฝ่ายออกปากให้เธอไปพักที่รีสอร์ทได้ตามสบาย แล้วยังรับปากว่าจะดูแลเธออย่างดี ทำให้มารดาของเธอวางใจจนยอมปล่อยให้ลูกสาว ‘ฉายเดี่ยว’ ได้ตามความตั้งใจ หาไม่แล้วคงตามไปดูแลอย่างใกล้ชิดเหมือนเคยเป็นแน่
“นอกจากรีสอร์ทแล้วคุณป้ายังเป็นเจ้าของไร่ชา กาแฟ ผลไม้แล้วก็ดอกไม้เมืองหนาวด้วย นี่ไง” มือบางยกหน้าจอมือถือที่มีภาพของ ‘ไร่และรีสอร์ทปภัสสร’ ให้อีกฝ่ายดู พลางยิ้มรื่นจนดวงตาสีน้ำตาลใสเป็นประกายระยับ ก่อนจะเอ่ยอย่างเริงร่าปนหมายมาดว่า “เห็นมั้ย ครบวงจรขนาดนี้แล้วฉันจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ...คอยดูนะ ถ้าไปถึงที่นั่นเมื่อไหร่ ฉันจะตระเวนให้ทั่วเลย ต้องได้ข้อมูลมาเยอะแน่ๆ”
“จริงด้วย รีสอร์ทสวยนะ บรรยากาศดีมากเลย” พริมาเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทางสนใจ “เอาไว้ฉันหาวันลาตามขึ้นไปดีไหมเนี่ย ไม่ได้ลาพักร้อนมาตั้งนานแล้ว ถือโอกาสไปเที่ยวเหนือซะเลย”
“จริงเหรอ มาสิพริม เราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันตั้งนานแล้วนะ” ชนม์นิภายิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนจะเปิดตารางงานของแต่ละฝ่าย นัดแนะวันเวลาคร่าวๆ กันเรียบร้อย เพื่อนสาวก็เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า
“ว่าแต่คิดไว้หรือยังล่ะเชรีว่าจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไร แนวไหน”
“ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน อยากไปเก็บข้อมูลแล้วก็ดูบรรยากาศก่อนน่ะ แล้วค่อยวางพล็อตชัดๆ อีกที” แล้วคนตอบก็ต้องเบิกตาโตเมื่ออีกฝ่ายเสนอกึ่งแหย่ขึ้นมาด้วยสีหน้ายั่วเย้า
“เหรอ นึกว่าเธอจะเขียนแนวพระเอกพ่อเลี้ยงหนุ่มเจ้าของไร่กับนางเอกสาวเมืองกรุงอะไรทำนองนี้ ฉันจะได้อวยพรให้ไปเจอพ่อเลี้ยงตัวเป็นๆ เผื่อจะเอามาเป็นแรงบันดาลใจได้บ้าง”
“ไม่มีทาง ไร่คุณป้าฉันน่ะมีแต่แม่เลี้ยงจ้ะ เพราะคุณลุงเสียไปตั้งหลายปีแล้ว แถมสมัยนี้พ่อเลี้ยงหนุ่มๆ ก็คงไม่มีให้เธอแล้วด้วย” หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ อย่างไม่เห็นจริงจังตามเพื่อน ขณะที่คนฟังยังแกล้งทำท่าเสียดายไม่เลิก
“ว้า เหรอ นึกว่าจะมีเรื่องตามพล็อตนิยาย...ประมาณว่าพระเอกใช้อำนาจในฐานะเจ้าของไร่กักขังหน่วงเหนี่ยวนางเอกไว้จนรักกันซะอีก”
“เพี้ยนแล้วยัยพริม จินตนาการบรรเจิดเชียวนะ ใครเป็นนักเขียนกันแน่เนี่ย” ชนม์นิภาหัวเราะขำ หากในเวลานั้นเธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าในการเดินทางครั้งนี้จะได้พบกับเหตุการณ์ยิ่งกว่าที่พริมาวาดหวังไว้ และ ‘ได้’ อะไรกลับไปนอกจากข้อมูลที่ตั้งใจมาเก็บมากมายนัก
ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีเข้มที่เพิ่งก้าวผ่านประตูห้องอาหารนานาชาติภายในโรงแรมชื่อดังกลางเมืองเชียงใหม่เข้ามานั้น ดูโดดเด่นด้วยใบหน้าที่ประกอบด้วยคิ้วและตาคมคาย สันจมูกโด่งตรง และริมฝีปากได้รูปที่เม้มเข้านิดๆ เหมือนมีเรื่องครุ่นคิดอยู่ในใจ ถึงแม้ว่าท่าทีภายนอกจะยังคงสงบเยือกเย็นอย่างเคยก็ตาม
ดวงตาสีดำสนิทกวาดมองปราดเดียวก็เดินตรงเข้าไปที่โต๊ะเดี่ยวติดริมกระจกซึ่งมีชายหนุ่มวัยเดียวกันนั่งเอนพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์เครื่องบางแนบหูพลางต่อบทสนทนาอย่างคล่องแคล่ว แต่เมื่อเหลือบเห็นคนที่เดินใกล้เข้ามา เขาก็ยกมือข้างที่ว่างขึ้นเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะกลับไปหยอดเสียงนุ่มๆ กับปลายสายต่อว่า
“วันนี้ไม่ได้จริงๆ ครับ มีนัดคุยธุระเรื่องงานกับนายพีท นี่หมอนั่นก็มารอแล้วด้วย เอาไว้คุณเจนขึ้นมาเชียงใหม่อีกเมื่อไหร่แล้วผมจะชดเชยให้ รับรองว่าไม่ผิดนัดแน่ๆ...นะครับ”
พีรัชเลิกคิ้วมองเพื่อนสนิทที่เอาชื่อเขาไปอ้างอย่างคล่องปาก แถมยังเปลี่ยนนัดทานข้าวให้กลายเป็น ‘คุยธุระ’ ได้อย่างหน้าตาเฉยอีกต่างหาก พออีกฝ่ายวางสายหลังจากที่เวียนให้คำสัญญาถึงนัดหมายครั้งต่อไปซ้ำๆ แล้วเขาจึงเอ่ยถามหน้าตายว่า
“เพิ่งรู้นะว่านายนัดฉันมาคุยธุระ ว่าแต่จะคุยเรื่องอะไรล่ะ...จะส่งแขกจากโรงแรมไปให้รีสอร์ทฉัน หรือว่าจะติดต่อทัวร์ชมไร่กาแฟ ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวพอดีเลย”
“เฮ้ย อย่าจริงจังนักสิวะพีท ก็รู้อยู่แล้วว่าข้ออ้าง เพราะถ้าฉันไม่พูดแบบนั้นก็คงสลัดรายนี้ไม่หลุดซะที” กลทีป์บ่น “ว่าแต่นายนี่มันนักธุรกิจเข้าเส้นเลือดจริงๆ นะ แค่นี้ลูกค้ายังไม่เต็มรีสอร์ทอีกหรือไง ปล่อยให้โรงแรมฉันมีแขกพักบ้างก็ได้ ยังไม่อยากเจ๊งนะเว้ย”
“ถ้ามันจะเจ๊งก็คงเป็นเพราะผู้บริหารมัวแต่ยุ่งอยู่กับการสับรางมากกว่ามั้ง เพราะเท่าที่เห็นแขกก็ยังเยอะอยู่นี่หว่า อีกอย่างฉันเป็นคนทำธุรกิจ ต้องคิดแต่เรื่องงานก็ถูกแล้ว” คนถูกค่อนว่าย้อนนิ่มๆ หากนัยน์ตาคมกลับฉาบประกายขบขันอย่างหาดูได้ยาก ทำเอาผู้บริหารที่ยุ่งกับ ‘ธุระอื่น’ มากกว่าทำงานอดแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ไม่ได้
“ที่คุยๆ อยู่นี่ฉันก็หาลูกค้าให้โรงแรมทั้งนั้นแหละน่า ถือว่าทำงานเหมือนกัน” แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับเนิบๆ เหมือนเข้าใจ แต่สายตารู้ทันว่าเขาสนใจสิ่งที่ได้เป็นของแถมมากกว่า ก็จำต้องยกธงขาว เอ่ยปากยอมแพ้ในที่สุดว่า
“พอโว้ย กินข้าว ไม่อยากเถียงกับนายแล้ว กี่ปีๆ ก็ไม่เคยชนะสักที”
ชายหนุ่มหันไปทำสัญญาณเรียกบริกรที่ยืนรออยู่ไม่ไกลให้เข้ามารับคำสั่ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องอย่างคนที่มีความช่างสังเกตพอตัว...ไม่นับว่าพีรัชเป็นเพื่อนสนิทของเขาที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ถึงแม้จะเหินห่างกันไปบ้างช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็กลับมาสนิทกันอีกครั้งหลังจากที่ได้กลับมาสืบทอดธุรกิจของทางบ้านในเวลาไล่เลี่ยกัน
ด้วยความที่กิจการของทั้งสองฝ่ายแม้จะมีความทับซ้อนกันอยู่บ้าง แต่เนื่องจากเลือกจับกลุ่มลูกค้าคนละแบบจึงไม่เคยมีปัญหา เรียกได้ว่านอกจากความเป็นเพื่อนแล้ว สองหนุ่มยังจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันกลายๆ อีกด้วย
“เออ แล้วเมื่อกี้นายหงุดหงิดอะไรมา ที่สำนักงานมีปัญหาเรอะ”
เพราะปกติพีรัชจะอยู่คุมงานดูแลไร่ชา กาแฟ และสวนผลไม้เมืองหนาวที่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกับแปลงดอกไม้เมืองหนาวและรีสอร์ท ซึ่งมีคุณภัสสรผู้เป็นมารดาคอยดูแลเป็นหลัก ในแต่ละเดือนจะเข้าเมืองมาดูความคืบหน้าและจัดการธุระที่สำนักงานของบริษัทครั้งละสามสี่วัน นอกจากนั้นถ้ามีธุระด่วนก็ให้ติดต่อไปหาเขาที่ไร่ปภัสสรได้โดยตรง
“ไม่มี ทุกอย่างเรียบร้อยดี” พีรัชตอบเรียบๆ แต่หัวคิ้วเข้มกลับขมวดเล็กน้อยเหมือนนึกสงสัยอะไรบางอย่างเมื่อเอ่ยต่อว่า “แต่ก่อนออกมานี่ฉันเจอพ่อเลี้ยงเดชา มาขอคุยเรื่องเดิม...อีกแล้ว”
“หืม เรื่องขอซื้อที่ท้ายไร่นายน่ะนะ นายกับคุณป้าก็ปฏิเสธไปตั้งหลายรอบแล้วนี่ ยังไม่เลิกอีกเหรอ” กลทีป์ถามอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะยังเป็นประเด็นอยู่ เนื่องจากรู้ดีว่าเพื่อนสนิทและผู้เป็นมารดาไม่มีความคิดที่จะขายที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดไม่ว่าจะผืนไหนทั้งสิ้น ประกอบกับฐานะที่เป็นอยู่ก็มั่นคงพอจนไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องขายเสียด้วยซ้ำ ขณะที่เจ้าของที่เอ่ยอย่างครุ่นคิด
“ฉันถึงได้คิดว่ามันแปลกๆ เพราะเท่าที่รู้ พ่อเลี้ยงเดชาก็ติดต่อซื้อที่ติดเขาแถวนั้นจากคนอื่นเหมือนกัน แต่ไม่มีข่าวเลยว่าจะเอาไปทำอะไร นายรู้บ้างไหมก้อง”
“ไม่เลย จะว่าไปมันก็แปลกอย่างที่นายว่า รู้ๆ กันอยู่ว่าในแวดวงอย่างพวกเรา ข่าวมันไปไวจะตาย จะทำอะไรก็ปิดกันไม่ค่อยมิดหรอก แต่เรื่องนี้มันเงียบจริงๆ...แล้วที่สำคัญพ่อเลี้ยงเดชามันชื่อเสียงดีซะที่ไหน” เจ้าของโรงแรมหนุ่มเบ้หน้าเมื่อนึกถึงคนที่ถูกเอ่ยชื่อ
ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคหบดีคนดังของจังหวัด แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าพ่อเลี้ยงเดชาไม่ได้มีฐานะมั่งคั่งมาตั้งแต่ดั้งเดิม พื้นเพมาจากไหนก็ไม่แน่ชัด เริ่มมีชื่อเสียงก็เมื่อตอนที่เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของนักการเมืองท้องถิ่นหลายสมัย จนคนทั่วไปพากันเรียกอย่างเคารพจนติดปากว่า ‘พ่อเลี้ยง’ หากพฤติกรรมเบื้องหลังที่ได้ยินมาว่ากิจการที่ทำอยู่ไม่ได้ใสสะอาดเท่าไหร่นักก็ทำให้เขาเคารพอีกฝ่ายจากใจไม่ค่อยจะลง ได้แต่ทักทายไปตามมารยาทยามเจอกันในงานสังคมเท่านั้น
“แต่คิดอีกทีอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะเว้ย เพราะถ้าพ่อเลี้ยงมันได้ที่ดินแถวนั้นจากคนอื่นไปแล้ว ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อที่ของนายอีกแล้วไง จริงไหม” กลทีป์เอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ ตามแบบฉบับ เพราะเขาถือคติที่ว่าปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออกเสมอ จึงไม่คิดจะเอาเรื่องกังวลมาสุมหัวก่อนเวลาโดยไม่จำเป็น สู้เอาไว้ให้ฝ่ายตรงข้ามมีท่าทีน่าสงสัยแล้วค่อยวางแผนรับมืออีกทีก็ยังไม่สาย จึงเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็นไปว่า
“กินข้าวเสร็จแล้วไปจิบเบียร์ต่อกันดีกว่า ตั้งแต่ฉันปรับปรุงคลับใหม่ นายยังไม่เคยมาเลยนี่ นานๆ จะเข้าเมืองที ไปผ่อนคลายบ้างเถอะวะพีท”
พีรัชส่ายหน้านิดๆ กับวิธีแก้ปัญหาของเพื่อนสนิท เพราะความที่คบกันมานานจึงพอรู้ว่านอกจากเหตุผลที่บอกมาแล้วน่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายอยากหาเพื่อนดื่มมากกว่า แต่เพราะว่าเขาเองไม่เคยนิยมใช้ของมึนเมาเพื่อผ่อนคลายตัวเองจากปัญหา ออกแนวดื่มพอเป็นพิธีเวลาเข้าสังคมเท่านั้น จึงต้องออกปากตั้งขอบเขตเอาไว้ก่อน
“ได้ แต่ฉันอยู่ไม่เกินสี่ทุ่มเท่านั้นนะ ต้องกลับไปเคลียร์งานต่อ ถ้านายอยากอยู่ต่อก็ตามสบายเลย”
“โห อะไรวะ ทำตัวเป็นเด็กอนามัยไปได้ จะรีบกลับไปไหน บ้านก็อยู่แค่นี้เอง ไม่ได้กลับไปนอนไร่ไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำอย่างเซ็งๆ แต่ก็รู้ดีว่าพีรัชเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เขาเลยไม่เซ้าซี้ต่อ แต่เปลี่ยนข้อเสนอเป็นสิ่งที่ทำให้คนฟังตกปากรับคำง่ายๆ แทนว่า “งั้นถ้าคืนนี้กลับเร็ว พรุ่งนี้เช้าไปซ้อมมือกันหน่อยไหม ไม่ได้จับแร็กเก็ตมานานแล้ว เดี๋ยวฉันจองคอร์ทเอง”
“ตกลง”
พีรัชแยกกับเพื่อนสนิทก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อยที่หน้าโรงแรมของฝ่ายนั้น หลังจากดื่มไปสองแก้วตามที่กำหนดไว้กับตัวเอง ทำเอากลทีป์บ่นอุบที่ต้องรับผิดชอบส่วนที่เหลือเพียงคนเดียว แต่ก็เห็นจัดการได้จนหมดโดยไม่มีท่าทีผิดปกติใดๆ...ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็กลับมาถึงบ้านที่บิดาเขาเรียกว่า ‘บ้านในเวียง’ เพื่อไม่ให้สับสนกับบ้านที่สร้างขึ้นใหม่ที่ไร่ปภัสสร ซึ่งเป็นสถานที่ที่บิดามารดาของเขาย้ายไปอยู่อย่างถาวรในภายหลัง ในขณะที่พีรัชนั้นไปๆ มาๆ ได้อาศัยอยู่ที่นี่นานหน่อยก็ช่วงที่เรียนชั้นมัธยมอยู่ในตัวจังหวัด ปัจจุบันบ้านหลังนี้จะเปิดใช้ก็ตอนที่เขาหรือคุณภัสสรเข้ามาทำธุระในเมืองเท่านั้น
เพียงแค่ก้าวเข้าห้องส่วนตัว เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นทันทีราวกับรู้เวลา ชายหนุ่มยิ้มบางๆ อย่างขบขันเมื่อเห็นชื่อของปลายสาย ก่อนที่เขาจะกดรับพร้อมกับใช้อีกมือหนึ่งปลดกระดุมที่คอและแขนเสื้อไปด้วย
“นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าคุณภัสสรหูตากว้างไกล คงคิดว่ามีพรายกระซิบนะครับเนี่ย โทรมาได้จังหวะผมกลับบ้านพอดีเลย”
“บังเอิญหรอกย่ะ แม่กำลังจะเข้านอนแล้ว พอดีเพิ่งนึกขึ้นได้ก็เลยโทรมาหาเราก่อนจะลืม ไม่ได้มีพรายหรือใครมากระซิบซะหน่อย” ผู้เป็นมารดาส่งเสียงขึ้นจมูกมาตามสาย เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของบุตรชายก็นึกหมั่นไส้ขึ้นมาครามครันจนอดประชดไม่ได้ว่า “ฮึ กลับบ้านดึกแค่นี้จะมีอะไร เอาไว้เราพาใครกลับมาด้วยเมื่อไหร่นั่นแหละถึงค่อยน่ารายงานหน่อย...ว่าแต่จะมีรึเปล่านี่สิ”
“ถ้ามีจริงๆ แล้วแม่จะทำยังไงครับ” พีรัชตั้งคำถามอย่างเจตนาจะล้อเลียนมารดามากกว่าอย่างอื่น ไม่ได้คิดจะทำอย่างที่ว่าจริงๆ แม้จะนึกเดาคำตอบได้รางๆ อยู่แล้วก็ตาม
“ก็ถ้านิสัยพอรับได้ ทางบ้านไม่มีปัญหา แม่ก็จะได้เตรียมขันหมากไปสู่ขอให้น่ะสิ” คุณภัสสรตอบชัดถ้อยชัดคำ ด้วยประโยคที่ทำให้ลูกชายหัวเราะออกมาเต็มเสียงอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก
“แม่ครับ นี่ไม่คิดขัดขวางอะไรหน่อยเหรอ แค่พาเข้าบ้านก็จะรวบรัดจับแต่งงานกันแล้ว”
“โอ๊ย เลือกมากอย่างเรา ถ้าลองว่าให้ความสำคัญกับใครจนพาเข้าบ้านได้ก็แปลว่าต้องเป็นตัวจริง แล้วแม่จะขัดขวางทำไม” ผู้เป็นมารดาประกาศจุดยืนอย่างจริงจัง ไม่วายบ่นต่อว่า “กลัวแต่จะรอเก้อเพราะเราไม่พามามากกว่า”
...ใช่สิ ท่านคงไม่ขัดขวาง มีแต่จะรีบจับเขาเข้าพิธีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะหลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมในการแนะนำหญิงสาวในวงสังคมเดียวกันให้เขารู้จักมาตลอดหลายปี แต่ก็ยังไม่มีใครจุดความสนใจให้เขาคิดจะสานสัมพันธ์มากไปกว่าคนรู้จักเลยแม้แต่คนเดียว
พีรัชคิดว่าคงยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะได้พบกับใครคนนั้น ทั้งยังไม่รู้เหมือนกันว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่...หรือแม้แต่ว่า ‘เธอ’ คนนั้นจะเป็นอย่างไร รู้เพียงแต่ว่ายังไม่เจอ...ก็เท่านั้น หากคุณภัสสรคงไม่อยากรอไปเรื่อยๆ โดยไร้จุดหมาย เพราะถึงจะผิดหวังมากี่ครั้ง ก็ดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่ละความพยายามอยู่ดี
“ช่างมันเถอะเรื่องนั้น แม่ชักจะปลงละ...ว่าแต่เราพาแม่ออกนอกเรื่องจนเกือบลืมเลยนะพีท นี่เราจะกลับไร่วันไหนเนี่ย” ผู้เป็นมารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องทันควันจนลูกชายแทบจะปรับอารมณ์ตามไม่ทัน
“มะรืนนี้ครับ ผมมีประชุมตอนเช้า บ่ายๆ น่าจะเรียบร้อยแล้วก็กลับเลย แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือจะฝากซื้อของ ผมจะได้แวะให้ก่อนกลับ” ชายหนุ่มถามพลางขยับตัวลุกจากท่านั่งเอนสบายๆ บนโซฟาปลายเตียง ไปหยิบเอกสารที่ตั้งใจจะอ่านต่อออกมาวาง ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อได้ฟังคำตอบ
“ไม่ฝากซื้อหรอกจ้ะ แต่จะฝากรับ” คุณภัสสรตอบแล้วชี้แจงอย่างอารมณ์ดีว่า “น้องเชรี...ลูกสาวน้าดาจะมาเที่ยวเชียงใหม่ แม่เลยชวนมาพักที่รีสอร์ทเรา พีทจำน้าดาได้ใช่ไหม เวลาลงไปกรุงเทพทีไรแม่ต้องไปรบกวนน้าดาทุกที คราวนี้แม่เลยตั้งใจว่าจะดูแลลูกสาวเค้าอย่างดีเป็นการตอบแทน พีทก็ต้องช่วยแม่ด้วยนะ...ไปรับน้องที่สนามบินให้แม่หน่อย”
อาจเป็นเพราะน้ำเสียงและวิธีการเอ่ยถึง ‘น้องเชรี’ ที่ฟังดูเอื้อเอ็นดูอย่างเหลือเกิน ที่ทำให้พีรัชคิดไปว่าเจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยถึงคงเป็นเพียงแค่สาวน้อย...เด็กเกินกว่าที่ผู้เป็นแม่จะคิดจับคู่ให้เขาอย่างที่ผ่านมา ประกอบกับความไม่อยากให้ท่านต้องรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณใครแม้กระทั่งเพื่อนสนิท เขาจึงคลายความระแวงลง จนไม่ทันรู้สึกตัวว่ากำลังถูกชักจูงให้เดินไปตามแผนการที่ถูกวางเอาไว้อย่างแนบเนียน
“ลูกสาวน้าดาชื่อแปลกดีนะครับ...เชรี แปลว่าอะไร แม่รู้หรือเปล่า” ร่างสูงตั้งคำถามเรียบเรื่อย ด้วยนึกสะดุดหูกับชื่อที่ได้ยินผ่านๆ ขณะที่ปลายสายตอบปนหัวเราะกลับมาว่า
“ลืมไปแล้วเหรอว่าแม่เรากับน้าดาน่ะอดีตสาวอักษรนะจ๊ะ...มา เชรี (Ma cherie) เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่าที่รักไงล่ะ ส่วนชื่อจริง...ชนม์นิภา ก็แปลว่าเป็นที่รักเหมือนกัน”
...แค่ชื่อก็ยังอุตส่าห์สรรหาความหมายให้เข้ากันขนาดนี้ ท่าทางเจ้าหล่อนคงจะเป็นที่รักของคนในครอบครัวมากจริงๆ ขนาดคนนอกอย่างแม่เขายังพลอยเป็นไปด้วยเลย
ชายหนุ่มรับฟังคำฝากฝังอื่นๆ จากมารดา พูดคุยกับท่านอยู่อีกครู่ใหญ่คุณภัสสรก็วางสายไป และเขาก็หมดความสนใจกับชื่อที่ได้ยินมาแต่เพียงเท่านั้น
“เชรี ไปพักกับป้าภัสก็อย่าไปรบกวนป้าเค้ามากนะลูก”
คุณชลลดาเอ่ยย้ำกับบุตรสาวเป็นครั้งที่เท่าไหร่คนฟังก็คร้านจะจำ รู้แต่ฟังซ้ำไปซ้ำมาหลายหนจนแทบจะท่องได้ประโยคต่อประโยคอยู่แล้ว
“อย่าดื้อ อย่าซน อย่าทำให้ป้าภัสกับพี่พีทต้องลำบากใจ เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่า...ไม่ดื้อ ไม่ซน แล้วก็เป็นเด็กดี” ชนม์นิภาแจกแจงด้วยน้ำเสียงยานคางอย่างล้อๆ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยท่าทางจริงจังขึ้น “แม่พูดเรื่องนี้เป็นร้อยรอบจนเชรีจำได้ขึ้นใจแล้วล่ะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แล้วเชรีก็คงไม่ต้องรบกวนป้าภัสหรือว่าพี่พีทมากนักด้วย อย่างมากก็แค่คำแนะนำนิดๆ หน่อยๆ ที่เหลือเชรีดูแลตัวเองได้”
ความที่เป็นคนเชื่อมั่นในตนเอง...เชื่อว่าจะสามารถเดินทางคนเดียวและเอาตัวรอดได้จากประสบการณ์ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนตามลำพัง ทำให้หญิงสาวมั่นใจว่าจะทำได้อย่างที่ประกาศ อันที่จริงแค่ขึ้นไปเก็บข้อมูลที่เชียงใหม่แค่นี้เธอไปคนเดียวได้อยู่แล้ว แต่เพราะขัดความหวังดีของมารดาและผู้เป็นป้าไม่ได้ และเพราะเห็นว่าไร่ปภัสสรน่าจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีถึงได้ยอมตกลง หากก็ไม่ได้คิดจะรบกวนเจ้าของสถานที่มากมายจนเกินจำเป็น
สำหรับคุณภัสสรนั้นจัดเป็นข้อยกเว้น เพราะถือว่าฝ่ายนั้นให้ความเมตตาเอ็นดูเธอเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่สำหรับเจ้าของชื่อที่เธอไม่เคยพบเจอเลยสักครั้งอย่าง ‘พี่พีท’ ต่างหาก ที่ชนม์นิภาคิดว่าคงไม่มีเรื่องให้ต้องยุ่งเกี่ยวกันมากนัก เพราะเท่าที่ได้ยินมาก็ดูเหมือนว่าเขาจะยุ่งวุ่นวายกับการควบคุมงานทุกอย่างในไร่ จนคุณภัสสรยังอดบ่นให้คุณชลลดาฟังและบางครั้งก็ลอยมาเข้าหูเธอด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า
‘มีลูกชายกับเค้าอยู่คนนึงก็ทำแต่งาน จะชวนมากรุงเทพเป็นเพื่อนหน่อยก็ไม่มีเวลา น่าเบื่อจริงๆ...ไม่เหมือนเธอนะดา นี่ถ้าฉันมีลูกสาวน่ารักๆ อย่างหนูเชรีสักคนก็ดีน่ะสิ’
...ก็คงเป็นเพราะอย่างนี้เธอถึงได้ไม่เคยเจอกับลูกชายคุณภัสสรสักที ทั้งที่คนเป็นแม่ก็ออกจะสนิทสนมกันขนาดนั้น
ด้วยอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความคิดและจินตนาการ ทำให้หญิงสาวนึกวาดภาพอีกฝ่ายเอาเองตามความเข้าใจ ก่อนจะปัดทิ้งไปอย่างไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เมื่อออกปากย้ำกับมารดาอีกรอบว่า
“แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ เชรีสัญญาว่าจะดูแลตัวเองดีๆ จะโทรไปรายงานตัวทุกวันด้วย โอเคไหมคะ”
“จ้ะ ถึงแล้วก็โทรบอกแม่ด้วยนะ” คุณชลลดายิ้มรับ ทอดสายตามองร่างบางที่โบกมือลาด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะหมุนตัวเดินผ่านประตูสำหรับผู้โดยสารเข้าไปอย่างร่าเริง นึกเสียดายที่เธอต้องเดินทางไปร่วมทริปเกษียณกับสามีจึงไม่สามารถไปเชียงใหม่กับลูกสาวได้ แต่ก็พอจะวางใจเมื่อเพื่อนสนิทให้คำรับรองแข็งขันว่าจะดูแลชนม์นิภาเป็นอย่างดี...ไม่เว้นแม้แต่ ‘เรื่องนั้น’ ที่เธอยินยอมตกลงเพราะประโยคที่ว่า
‘ฉันสัญญาว่าจะไม่บังคับใจลูกๆ เด็ดขาด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับหนูเชรีกับตาพีทจะตัดสินใจ ฉันแค่อยากเปิดโอกาสให้เด็กสองคนได้รู้จักกันเท่านั้นเอง นะดา’
ทางด้านหญิงสาวที่เดินจากมานั้นไม่อาจล่วงรู้ถึงความคิดและความหวังของใคร เจ้าหล่อนจึงมีแต่ความกระตือรือร้นกับสิ่งที่จะได้พบ เมื่อผ่านขั้นตอนต่างๆ จนได้ขึ้นมานั่งอยู่บนเครื่องบินแล้ว มือบางก็หยิบเอาสมุดบันทึกขึ้นมาอ่านทบทวนรายการสิ่งที่ต้องการมาเก็บข้อมูล หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ‘แผนการเที่ยว’ ของเธอนั่นเอง
ความจริงแล้วชนม์นิภายังไม่ได้คิดรายละเอียดเกี่ยวกับนิยายที่จะเขียนอย่างชัดเจนเท่าไหร่นัก มีเพียงแค่พล็อตคร่าวๆ อยู่ในหัวเท่านั้น การเดินทางครั้งนี้นอกจากจะเพื่อหาข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจแล้ว เธอยังหวังว่าจะมีเวลาได้รวบรวมความคิดและแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องอีกด้วย
ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษ เครื่องบินก็ลงจอด ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ หญิงสาวเก็บข้าวของลงกระเป๋าสะพายไหล่ เดินลงจากเครื่องมาพร้อมกับผู้โดยสารคนอื่น ก่อนจะจัดการลากกระเป๋าเดินทางออกมาตามทางพร้อมกับกวาดสายตามองหาคนที่คุณภัสสรแจ้งว่าส่งมารับเธอไปด้วย
...อยู่ไหนนะ...พี่พีท…
คิ้วโค้งเรียวเหนือดวงตากลมโตเริ่มขมวดเข้าเมื่อมองไม่เห็นใครที่พอจะเข้าเค้าเลยแม้แต่คนเดียว จนผู้โดยสารที่เดินทางมาเที่ยวบินเดียวกันและใกล้เคียงต่างก็ทยอยเดินจากไปพร้อมกับผู้ที่มารับกันเกือบหมดแล้วนั่นแหละ เธอถึงได้มองเห็นคนที่ยืนกระจายตัวอยู่ในบริเวณนั้นอย่างชัดเจน และภาพของชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีเข้มเรียบกริบที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของทางเดินก็ผ่านเข้ามาในสายตา หากชนม์นิภาก็มองเมินไปทันทีที่สบตากัน ด้วยไม่คิดว่าเขาจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่เธอกำลังรอ แต่ก็รู้สึกถึงสายตาคู่คมที่มองตามมาครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะมองผ่านไปเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจกับเธอเช่นกัน
หลังจากลากกระเป๋าวนไปมาเที่ยวหนึ่ง หญิงสาวก็จำต้องเดินไปหยุดพิงกำแพงไม่ไกลจากร่างสูงที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม นึกยอมรับอย่างไม่เต็มใจว่าตรงนี้เป็นจุดที่สามารถมองเห็นคนที่เดินผ่านเข้าออกได้โดยไม่มีอะไรมาบดบังจริงๆ ก่อนจะตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาคุณภัสสรหลังจากที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกพักใหญ่
“สวัสดีค่ะ ป้าภัสขา นี่เชรีเองนะคะ” ร่างบางหยุดฟังคำตอบรับของผู้อาวุโส ก่อนจะตอบคำถามที่ว่าเธออยู่ที่ไหนแล้วของอีกฝ่ายว่า “เชรีถึงเชียงใหม่แล้วค่ะ เครื่องลงมาครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เชรียังไม่เจอพี่พีทเลย ถ้ายังไงให้เชรีหารถไปที่รีสอร์ทเองดีกว่าไหมคะ”
ปลายสายอุทานอย่างแปลกใจ ก่อนจะหยุดความคิดของคนฟังไว้ด้วยการบอกให้เธอรออยู่ที่เดิม แล้วท่านจะรีบติดต่อลูกชายให้ทันที ชนม์นิภาจึงได้แต่วางสายลง คิดในใจว่าคุณภัสสรกับมารดาเธอสมกับที่เป็นเพื่อนรักกัน...โดยเฉพาะเรื่องที่เห็นเธอเป็นเด็กเล็กๆ ยังดูแลตัวเองไม่ได้เนี่ย เหมือนกันไม่มีผิด
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลไหวตัวเล็กน้อยเมื่อบทสนทนาเมื่อครู่ดังแว่วๆ มาเข้าหู ดวงตาสีดำสนิทคู่คมเหลียวมองเจ้าของร่างแบบบางที่ดูยังไงก็ไม่ใช่เด็กน้อยอย่างที่เขาคิด...ความแปลกใจและอะไรบางอย่างในสายตาเขาเรียกให้หญิงสาวหันมามองตอบเมื่อรู้ตัว ก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำตาลใสจะเบิกกว้างเมื่อได้ยินเสียงทุ้มๆ เอ่ยกับโทรศัพท์ที่เพิ่งยกขึ้นแนบหู หากสายตาจับนิ่งอยู่ที่เธอว่า
“พีทพูดครับ...ไม่ต้องหรอกครับแม่ ผมเจอแล้ว…”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in