Name : 相见时难别亦难。
Pairing : Lan Wangji x Wei Wuxian, Modaozushi
Genre : Romance - Drama
โบราณว่าไว้
การเจอกันนั้นยากนัก การจากกันนั้นยากกว่า
แต่สำหรับข้าแล้ว นับแต่วันที่ข้าปล่อยชีวิตเจ้าให้หลุดลอยหายไปในเบื้องลึกของหุบเหวที่ล้วนจั้งกั่งนั้น ข้าก็รู้ซึ้งดีว่าคำกล่าวนั้นคือคำลวง
การจากกันนั้นช่างง่ายดายนัก
หากแต่การจะพบกันอีกสักครากลับยากเย็น
'เว่ยอู๋เซี่ยนตายแล้ว'
'ปรมาจารย์อี้หลิงตายแล้ว'
เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังไปทั่วสารทิศ
ราตรีกาลวันนั้น ทุกบ้านประดับประดาด้วยแสงไฟ งานสังสรรค์ถูกจัดขึ้นทุกหัวระแหง ไม่เว้นแม้แต่ที่อวิ้นเชินปู้จือชู่
สุราเทียนจื่อเซี่ยวอย่างดีสั่งมาเพื่อเฉลิมฉลอง อาหารทั้งคาวหวานล้วนทำอย่างสุดฝีมือที่สุด ทั้งหมดนี้เพื่อแสดงความยินดีกับการตายของปรมาจารย์วิชามารผู้ร้ายกาจ
รอยยิ้มจักรพรรดิกับรอยยิ้มของเจ้า
สองสิ่งนี้ล้วนมาคู่กันเสมอ
ไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อใดที่ข้าเอาแต่คะนึงหาเจ้า มารู้สึกตัวอีกทีเอาก็เวลานี้
วันที่รอบกายข้า เหลือเพียงรอยยิ้มจักรพรรดิ
หาได้มีรอยยิ้มของเจ้าให้ข้าได้สัมผัสอีกแล้ว
ข้าปลีกตัวออกมาจากงานสังสรรค์ หลีกเร้นกายเข้าไปที่เรือนวิเวก ทิ้งตัวลงนังอยู่หน้าโต๊ะเขียนตำราอย่างสิ้นวิญญาณ
ลมเย็นโชยต้องผิวหน้า ฟ้ายามราตรีประดับด้วยดาวน้อยใหญ่มากมาย
ชวนนึกถึงยามนั้นที่เจ้าบุกรุกเข้ามาที่เรือนแห่งนี้พร้อมกับกระต่ายคู่ดำขาว
'หลานจ้าน ข้ายกให้เจ้า!'
อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อภาพเลือนรางเมื่อยังเยาว์นั้นหวนคืนมาให้อุ่นใจ หากแต่เมื่อนึกขึ้นได้ ข้าก็ทำเพียงแค่นยิ้มแกน ๆ คล้ายจะเย้ยหยัน
'น่าเบื่อ'
ข้าว่าอย่างนั้นแต่ข้าก็ยังรับมันมา
ข้าผายมือ พลันกู่ฉินก็ปรากฏเบื้องหน้า
จรดปลายนิ้วลงกับสายฉิน ดีดเล่นบรรเลงเพลงประหลาดที่ข้าคิดค้นขึ้นหวังจะคลายเหงา
หากแต่น้ำตาข้ากลับเอ่อท้น
เสียงบรรเลงขาดสะบั้น เหลือเพียงเสียงสะอื้นอย่างสุดกลั้นของข้า เสียงลมพัดแผ่วเบา และเสียงครึกครื้นที่ดังมาจากเรือนกลางเพียงเท่านั้น
เรือนวิเวกไม่เคยแคบไปสำหรับข้า
หากแต่ตอนนี้กลับกว้างเสียจนเดียวดาย
เหลือบไปเห็นเทียนจื่อเซี่ยวที่ไม่ได้แตะต้องแม้แต่นิดเดียว
ข้าก็ตระหนักได้ถึงความจริงอันแสนทรมาน
ในวันที่ทั้งโลกกำลังยินดีปรีดา
หากแต่หัวใจข้า ย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี
ข้าเพียรดีดฉินถามวิญญาณ
ทุกค่ำคืนที่ข้าจรดปลายนิ้วลงกับสายฉิน ใจข้าหวังเพียงจะพบเจ้าอีกสักครา แม้เป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ ข้าก็ยินดี
แต่ทุกครั้งก็ไม่มีเสียงตอบรับใด ราวกับเจ้าไม่เคยมีตัวตนอยู่
ผู้คนต่างเล่าขานเรื่องเจ้า ว่าเจ้านั้นร้ายกาจดุร้าย เป็นปรมาจารย์วิชานอกรีต บอกเล่าต่อกันว่าเจ้าใช้ศพเป็นเครื่องมืออย่างเลือดเย็น
ข้าโกรธนัก
แต่ทุกครั้งก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจิกเล็บมือลงไปที่เนื้อให้เจ็บที่สุดเพื่อบรรเทาความโกรธแค้น
เจ้าไม่เคยหันหลังให้โลก
หากแต่โลกกลับหันหลังให้เจ้าอย่างเย็นชา
ปีที่สิบสามของการไม่มีเจ้า
บนเขาต้าฟ่าน เสียงขลุ่ยทำนองคุ้นหูผะแผ่วมาตามลม เสียงผู้คนโหวกเหวกโวยวายดังตัดกัน
ข้าก้าวเท้าไปตามทิศทางเสียงขลุ่ย พบเจ้าของแผ่นหลังบางและเวินหนิงที่เดินโซซัดโซเซอยู่ด้านหน้า
กายบางถอยห่างจากความวุ่นวายคล้ายจะพาเวินหนิงหลบหนี เขาสะดุ้งสุดตัวตอนที่ข้าคว้าข้อมือมาจับไว้
เสียงบรรเลงหยุดลง ดวงตากลมโตหันมามองข้า ความตระหนกนั้นฉายแววชัดเจน
เพลงนี้ มิมีผู้ใดรู้จักนอกเสียจากข้าและเว่ยอิง
"เจ้า...รู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วสินะ"
ยามนี้ เจ้าอยู่ในอ้อมกอดข้า ดวงตาเราสองสบกัน
"อืม"
"ขี้โกงจริง ข้าก็พยายามปกปิดแทบตายเชียวนะ! หลานจ้านหนอ หลานจ้าน"
บ่นกระปอดกระแปดแต่ก็ยังยิ้มหวานให้ข้า เจ้าขยับเข้ามาชิดกายข้าคล้ายอยากให้ข้าเจียดไออุ่นชดเชยเวลาสิบสามปีที่ห่างไกลกัน
"อย่าไปไหนอีก"
ข้าเอ่ยเบา ๆ ข้างหูเจ้า เจ้ายื่นมือมาลูบใบหน้าของข้าพลางยิ้มละไม โน้มศรีษะข้าให้ไปรับจุมพิตจากเจ้า มันแผ่วเบาแต่ลึกล้ำยิ่งกว่าครั้งใด คล้ายต้องการให้ประทับลงในดวงใจตราบนานเท่านาน
"ข้าไม่ไปไหนแล้ว หลานจ้าน"
"จะอยู่ตรงนี้ เคียงข้างเจ้า อย่างที่เจ้าเคยเคียงข้างข้า"
"ข้าสัญญา"
"อืม"
โบราณว่า การพบกันนั้นยากนัก การจากกันนั้นยากกว่า
ข้ารอสิบสามปีเพื่อพบเจ้า และข้าตระหนักแล้วว่ามันยากเพียงใด
ยินดีต้อนรับกลับบ้าน เว่ยอิง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in