เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ออกไปกับเขา (Partir avec Lui)NuttyyttuN
วันที่ 4 - กับฉัน
  •           ถึงแม้ว่าเวลา ณ ที่แห่งนี้จะเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้าหรือรวดเร็วขนาดไหน ลมหนาวก็สามารถแทรกซึมเข้าถึงทุกอณูรูขุมขนได้อย่างไม่เกรงอกเกรงใจกันเลย เพียงแค่แทรกตัวผ่านผู้คนมากมายในสถานีรถไฟ Gare d’Avignon Centre ออกมาถึงด้านหน้าสถานี ความอบอุ่นจากการเคลื่อนตัวแออัดฝูงชนที่คับคั่งก็อันตรธานหายไปแทบจะในทันที ฉันยืนใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ไม่มีผลิตผลใดๆจากกิ่งก้านที่ยื่นตัวออกจากลำต้นด้านหน้าสถานี มีม้านั่งยาวตัวสีเทาตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมากนักใต้ต้นไม้ ฉันไม่ได้เดินไปนั่ง ฉันรูดซิปกระเป๋าสีน้ำเงินด้านหน้าเพื่อหาซองบุหรี่สีขาวคาดทอง หยิบมวนบุหรี่สีขาวบริสุทธิ์ขึ้นมาคาบไว้ที่ปากพร้อมกับจุดไฟขึ้น กลุ่มควันสีเทาถูกพ่นลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เบื้องหน้าคือแนวกำแพงขนาดใหญ่สีน้ำตาลอ่อน ที่ถูกสร้างไว้ล้อมรอบตัวเมืองไว้อย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันข้าศึกเข้ามารุกราน ฉันคิดแบบนั้น ถนนทางเข้าตัวเมืองด้านหน้า Cours Jean Jaurès อ้าแขนอย่างสงบนิ่งและอ่อนโยนเพื่อต้อนรับผู้เดินทางจากแห่งหนต่างๆเข้าสู่กลางใจเมือง ด้านหน้าถูกประดับประดาไปด้วยหลอดไฟหลากหลายสีเพื่อต้อนรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่จะมาถึง ฉันยังคงยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ด้านหน้าสถานี อย่างเชื่องช้า มองผู้คนเดินผ่านเข้าออกสถานีกันอย่างกับสนุกสนาน ฉันยืนมองรถราที่สัญจรกันอยู่เบื้องหน้าป้อมกำแพงขนาดใหญ่ มองดูผู้คนบ้างก็นั่งหยอกล้อท้าลมหนาวกันที่สวนข้างๆสถานี บ้างก็พาสุนัขออกมาเดินเล่น ส่วนฉันยังคงยืนอยู่เฉยๆ ทั้งๆที่บุหรี่มวนนั้นหมดลงไปแล้วซักพัก ยืนเพ่งไปยังไฟจราจรเบื้องหน้า มองไปอย่างไร้ความหมาย มองเพื่อหาจุดที่พักของสายตา ขาทั้สองข้างของฉันขยับเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า แต่มีเพียงสมองของฉันที่สั่งให้เดินย้อนกลับ.....กลับไปหาเขาอีกครั้ง

              ฉันเปิดหน้าต่างของห้องพักออกเพื่อให้ลมเย็นพัดเข้ามาให้ห้อง ถือวิสาสะช่วงที่สมาชิกผู้ร่วมห้องคนอื่นๆหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จากชั้นบนสุดของอาคารจะสามารถถนนหลักที่ตัดผ่ากลางเมืองได้ทั้งด้านซ้ายและขวาอย่างแจ่มชัด ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกเก่าคลาสสิคสีน้ำตาลอ่อนเช่นเดียวกัน เพียงแต่ฝั่งตรงข้ามนั้นมีระเบียงสีดำ อาจจะเป็นอพาร์ทเมนต์ก็เป็นได้ ชั้นปีนขึ้นไปนั่งตรงขอบหน้าต่างเพื่อรับลมชมวิวของเมืองในช่วงบ่ายคล้อยๆ พร้อมกับหยิบขนมปังแซนวิชไส้แฮมและผักขึ้นมากัดกินอย่างหิวโซ กินไปก็นั่งคิดไปต่างๆนานาเกี่ยวกับกิจกรรมที่จะทำเมื่ออยู่ที่นี่ ฉันมีเวลาเยอะพอสมควรสำหรับเมืองนี้ พอถามพนักงานประจำที่พัก หล่อนก็อัธยาศัยดีมากพอที่จะแนะนำที่เที่ยวต่างๆสำหรับผู้มาเยือน ส่วนมากจะเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ และแกลลอรี่ศิลปะ มีแนะนำเล็กน้อยว่าสามารถไปเดินชมวิวเลียบแม่น้ำ Rhône ได้ หรือว่าจะปั่นจักรยานที่สวนสาธารณะ ฉันได้แต่พยักหน้าไปเรื่อยๆตามที่หล่อนเล่าให้ฟัง ฉันคงค่อยคิดเรื่องนั้นทีหลังแล้วกัน ไม่รู้จะทำอะไรดี คิดไม่ออก นี่เพิ่งจะผ่านมาสามวันเท่านั้น สมองของฉันเหมือนจะได้ทำลายระบบนึกคิดวางแผนไปเสียหมดแล้ว สมองมันมีระบบทำลายตัวเองอัตโนมัติ สมองมันมีระบบป้องกันความคิดที่ไม่จำเป็น สมองมันรู้ว่าตอนนี้มันอย่างคิดแต่กับเรื่องนี้อยู่เพียงอย่างเดียว มันจะไม่พยายามจะให้เรื่องอื่นเข้ามารวบกวนการทำงานของมันได้อย่างง่ายดาย สมองนี่มันฉลาดสมกับที่เป็นสมองจริงๆ ตัวฉันเองไม่รู้จะทำอย่างไรให้สมองของฉันหยุดคิดแต่เรื่องบ้าบอซักที ฉันกัดขนมปังเข้าปากคำโต แล้วประตูห้องพักก็ถูกเปิดขึ้น มันเป็นความลำบากในการทักทายด้วยภาษาที่ฉันไม่คุ้นชิน ทั้งที่มีขนมปังขนาดใหญ่อยู่ในปาก เธอทักทายพร้อมทั้งเดินไปวางสัมภาระของเธอที่เตียงด้านหลัง เธอเป็นผู้หญิงอายุไม่น่าเกินยี่สิบต้นๆ เธอตัดผมสั้นราวกับผู้ชายและมีผมสีทองสวยงาม เธอดูรีบร้อนกับการจัดสิ่งของต่างๆที่เธอนำมาก่อนที่เธอจะวิ่งออกไปข้างนอกอีกครั้ง

  •           ครึ่งชั่วโมงถัดมาเธอผมทองคนนั้นเดินกลับมาที่ห้องพร้อมกับทักทายฉันอย่างร่าเริงอีกครั้ง ในขณะที่ฉันกำลังเตรียมตัวออกจากห้องไปเดินเล่น เราพูดคุยกันอย่างยากลำบากเพราะว่าเธอไม่สามารถสนทนากับภาษาทั่วไปที่ใช้สื่อสารแต่เธอก็พยายามที่จะพูดออกมาให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ตัวฉันเห็นแล้วว่าเธอไม่ถนัดฉันเลยใส่ความพยายามลงไปที่ภาษาของคนที่นี่แทน ทำให้เราทั้งสองคนต่างพูดในภาษาที่ตนเองไม่ถนัดเอาซะเลย

              ฉัน: สวัสดี

              เธอ: สวัสดี

              ฉัน: เธอเป็นคนที่ไหนหรอ

              เธอ: ฉันเป็นคนฝรั่งเศสนี่แหละ มาจากทางใต้ใกล้ๆ Marseille

              ฉัน: อ้าวหรอ พอดีเพิ่งขึ้นมาจากเมืองนั้นวันนี้เอง เป็นเมืองที่สวยมากเลยนะ เธอมาเที่ยวหรอ

              เธอ: ใช่แล้วหล่ะ ฉันกับเพื่อนกำลังจะขึ้นเหนือไปเที่ยวแต่เลยมาพักแวะที่เมืองนี้คืนหนึ่ง พวกเราจะไป Strasbourg แหละ

              ฉัน: อ๋อๆ ฉันรู้จักนะ เคยไปแวะมา แต่เมื่อประมาณสองสามปีมาแล้วนะ จำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว จำได้แค่ว่ามี Cathédrale ใหญ่ๆอยู่อันนึง และก็ตลาดขายของสดตอนเช้า สวยดีนะ

              เธอ: เธอเคยไปมาแล้วหรอ ดีจังเลยนะ ฉันเกิดที่นี่ยังไม่เคยไปเที่ยวไหนในประเทศมาก่อนเลย เธอไปไหนมาแล้วบ้าง

              ฉัน: แค่ Marseille เพิ่งมาเที่ยวได้สามวันเอง

              เธอ: แล้วเธอจะอยู่นานขนาดไหนอ่ะ 

              ฉัน: มาเที่ยวที่นี่ก็สามอาทิตย์นะ ก็กำลังคิดๆอยู่ว่าจะไปไหนบ้าง แต่อยากไป Chamonix ตอนคริสต์มาส

              เธอ: จริงหรอ ฉันไม่เคยไปเลย แต่เขาบอกว่า Mont Blanc สวยมากเลยนะ

              ฉัน: ฉันอยากไปดู Mont Blanc นั่นแหละ ถ้ามีโอกาสคงจะลองเล่นสกีดู น่าจะสนุก

              เธอ: เธอควรจะเล่นนะ นานๆที เที่ยวทั้งทีอย่างทำอะไรก็ทำ

              ฉัน: เธอจะออกไปข้างนอกไหม ฉันกำลังจะออกไปเดินเล่นในเมืองซักหน่อย

              เธอ: อีกซักพักคงจะออก แต่ฉันต้องรอเพื่อนฉันก่อน

              ฉัน: โอเค งั้นฉันไปก่อนนะ ขอให้มีความสุข

              เธอ: เช่นกันนะ ดีใจที่ได้คุยกันนะ เจอกันตอนเย็นๆ

    เป็นการสนทนาที่สนุกสนานอันนึงของฉันเลยนะ เป็นช่วงเวลาสนทนาที่มีความยากลำบากให้การพูดคุย แต่ไม่รู้สึกเป็นอุปสรรคเลยซักนิด ฉันจำได้แม่นเลยกับที่เธอบอกว่า ถ้าอยากทำอะไรก็ลองทำดูเลยนะ On a vie qu’une fois

  •           หลังจากเดินรอบเมืองมาได้ซักชั่วโมง ฉันก็ได้มานั่งลงตรงริมของกำแพงชั้นบนสุดที่อยู่ภายในสวนสาธารณะ Le jardin des Doms ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ติดอยู่กับแม่น้ำ Rhône ซึ่งบริเวณสวนถูกจัดแต่งขึ้นอย่างสวยงาม ทางเดินเป็นทางลาดชันขึ้นเนินมาเรื่อยๆจนถึงด้านบนสุดซึ่งสามารถชื่นชมบรรยากาศของเมืองได้โดยรอบ สามารถเดินขึ้นได้จากประตูสวนด้านข้าง Notre Dame des Doms d’Avignon ผู้คนในสวนสาธารณะมีอยู่ไม่มากนัก อาจจะเนื่องด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น รู้สึกได้ถึงความวังเวงและเงียบเหงา จะมีก็ตรงบริเวณสระน้ำที่สร้างขึ้นตรงจุดสูงสุดของสวนสาธารณะ Rocher des Doms ที่มีเสียงของเด็กเล็กที่พามาให้อาหารปลาและเสียงของเป็ดที่ร้องหาฝูงของตนเอง ยังดีหน่อยตรงที่วันนี้ท้องฟ้าสดใส มองเห็นดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงใกล้กับเส้นขอบฟ้าเส้นนั้น แสงอาทิตย์ส่องแสงประกายสะท้อนเข้ากับหลังคาบ้านที่ปูด้วยอิฐแดงโบราณหลายหลังคาเรือน เปรียบสภาพเหมือนหมู่บ้านของผู้คนในสมัยก่อน บ้านเมืองจึงเปรียบเหมือนคงสภาพให้เหมือนเดิมมากที่สุด คงความคลาสสิคได้เป็นอย่างดี ฉันขยับตัวนั่งหันหลังให้กับสวนสาธารณะบนกำแพงหิน และห้อยขาลงไปอีกฝั่งหนึ่งของกำแพงซึ่งเห็นได้ถึงความสูงของพื้นดินกับบริเวณที่นั่ง พร้อมกับหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ นั่งเหม่อลอยไปยังเบื้องหน้า รอคอยเพียงแค่ให้ดวงอาทิตย์เปล่งประกายความสวยงามเพียงช่วงเวลาสั้นๆก่อนลาลับจากไป เหมือนเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆของฉันกับเขาที่ตอนนี้ได้ลาลับจากหายไป เหลือแต่แค่ความทรงจำที่สวยงามราวกับแสงส้มอมชมพู แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ในแต่ละวัน ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่กับเราทั้งวันเราอาจไม่เคยเห็นคุณค่ามันซักเท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ที่มันกำลังจะลาจาก ความมืดมิดจะเข้ามาบดบัง มันจะดูสดใสและผุดผ่องขึ้นมาทันที เหมือนกับเขาที่ฉันจากมา เขาที่เป็นเหมือนแสงสว่างในจิตใจ ในยามที่เขาเดินจากไปเสียแล้ว

              ความมืดเข้าปกคลุมทั่วเมืองแทบจะในทันทีที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป ความหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณเช่นเคย ฉันเดินลัดเลาะตามทางออกด้านหลังของสวนสาธารณะจนพบกับสะพาน Le Pont d’Avignon ที่มีชื่อเสียงของเมือง เป็นสะพานที่หลงเหลืออยู่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 โดยสะพานที่เหลืออยู่มีเพียงครึ่งเดียวที่ยื่นลงไปในแม่น้ำ พนักงานสาวแนะนำให้ฉันเดินลัดเลาะไปตามแม่น้ำ ฉันจึงทำตามในสิ่งที่หล่อนแนะนำมา ถึงแม้ว่ามันไม่น่าจะเวิร์คซักเท่าไหร่กับการเดินริมแม่น้ำยามค่ำคืนในฤดูหนาว แต่ฉันก็ยังคงเดินย่ำไปบนทางเดินเลียบแม่น้ำ สูดดมกลิ่นของแม่น้ำที่ถูกพัดโชยมาเตะเข้าที่จมูก ฉันเดินต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ข้ามถนนใหญ่ครั้งหนึ่งก่อนจะเลี้ยวขวาที่แยกเล็กๆด้านใน แล้วเลี้ยวซ้ายที่แยกเล็กอีกครั้งก่อนจะพบกับป้อมปราสาทหลากหลายรูปแบบเต็มไปหมด เดินลอดผ่านสะพานเชื่อมระหว่างสองบ้านซึ่งน่าจะเป็นตึกสมัยโบราณที่ยังคงเก็บรักษาไว้ ก่อนลัดเลาะตามทางจนพบกับวงเวียนที่ตรงกลางมีเสานาฬิกาบอกเวลายืนโดดเดี่ยวอยู่กลางถนน ก่อนจะพบว่าตัวเองเดินเลี้ยวกลับ

  • มายังถนนหลักของเมืองอีกครั้ง ฉันแวะฝากท้องกับอาหารพร้อมรับประทานที่ Carrefour และเบียร์สองสามกระป๋อง ฉันเดินตรงไปตามถนนหลักจนสุดทางถนนซึ่งพบกับลานกว้างสำหรับจัดกิจกรรมต่างๆด้านหน้า Hôtel de Ville มีเครื่องเล่นม้าหมุนกำลังหมุนวนส่งความสุขให้กับเด็กๆ แสงสว่างจากเครื่องเล่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เมืองเล็กๆแห่งนี้ยังคงสว่างไสวต้านทานความมืดมิดและเงียบสงบที่ปกคลุมทั่วทั้งเมือง ฉันเดินต่อไปอีกเล็กน้อยจนถึง Le grand opéra ที่หมดเวลาทำการเรียบร้อยแล้ว ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินใต้ต้นไม้พร้อมทั้งเปิดกล่องอาหารขึ้นมากิน ฉันเพิ่งรู้ว่าตัวเองนั้นหิวมากขนาดไหนหลังจากเดินรอบเมืองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เปิดเบียร์ La Goudale ขึ้นดื่มหลังจากซัดอาหารลงท้องไปอย่างรวดเร็ว ฉันดื่มเบียร์อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน อาจะเป็นเพราะความหนาว ฉันเปิดเบียร์ Grolsch ขึ้นมาอีกหนึ่งกระป๋องพร้อมกับจุดบุหรี่มวนขาวขึ้นมาสูบ ทันใดนั้นเองมีหญิงวัยกลางคนเดินมาจากทางด้านขวาพร้อมกับผู้คนจำนวนหนึ่งเดินตามหล่อนมาด้วย ซึ่งฉันคิดว่าเป็นนักท่องเที่ยว หล่อนก็คงเป็นเช่นกัน หล่อนดูท่าทางจะพูดมากๆหน่อย และดูเหมือนจะผ่านการดื่มมาแล้วเล็กน้อย ดูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างออกรสออกชาติ ออกจะเป็นแนวลอยๆซะด้วยซ้ำ แล้วหล่อนก็เดินเข้ามาพูดคุยกับฉันก่อนที่ฉันจะได้ทันตั้งตัว

               หล่อน: ขอโทษทีนะ แต่ฉันคิดว่าคุณคงไม่ใช่คนแถวนี้อย่างแน่นอน ฉันขอบุหรี่คุณซักมวนนึงจะได้ไหม

              ฉัน: อ๋อๆ ได้ครับ และนี่ไฟแช็คครับ

              หล่อน: ขอโทษอีกครั้งนะ ฉันรู้ว่าบุหรี่ที่นี่มันแพงมาก แต่พอดีพนักงานที่จัดส่งกระเป๋าของฉันดันส่งกระเป๋าของฉันไปอยู่อีกเมืองหนึ่งที่ฉันจะไปในอีกสามวันข้างหน้า ฉันเลยไม่มีอะไรติดตัวเลย มีแค่เศษเงินนิดหน่อย พอดีฉันอยากสูบบุหรี่แต่ไม่มีลูกทัวร์คนไหนสูบบุหรี่เลย

              ฉัน: คุณเป็นไกด์หรอครับ

              หล่อน: อ๋อใช่ๆ ฉันเป็นไกด์พาคนเที่ยวประเทศฝรั่งเศส สเปน สวิสเซอร์แลนด์ และเยอรมัน อันที่จริงแล้วก็ได้เกือบทุกประเทศในยุโรปแหละ ฉันเป็นคนเยอรมัน

              ฉัน: อ๋อๆครับ เยอรมันก็ดีนะครับ ผมเคยไปมาครั้งนึง สวยดี

              หล่อน: ก็สวยดีแหละ แต่ก็งั้นๆด้วย แล้วคุณหล่ะคนที่ไหน ฉันของเเดาว่าเป็นคนเกาหลีใช่ไหม

              ฉัน: ไม่ใช่ครับ

              หล่อน: ถ้างั้นก็เป็นคนญี่ปุ่นแน่ๆ

              ฉัน: ก็ยังไม่ใช่ครับ ฮ่าๆๆ

              หล่อน: งั้นฉันขอทายอีกทีหนึ่ง ก็ต้องเป็นคนไทยใช่ไหม

              ฉัน: ใช่แล้วครับ ผมเป็นคนไทย คนน่าจะคงเคยไปแล้ว

              หล่อน: ฉันยังไม่เคยไปหรอก แต่อยากจะไปอยู่นะ ใครๆก็บอกว่าที่นั่นสวยดี และน่าประทับใจ แล้วนี่คุณอยู่ที่นี่นานขนาดไหน

              ฉัน: อยู่ที่ฝรั่งเศสประมาณ 3 อาทิตย์ครับ

  •           หล่อน: แล้วพรุ่งนี้คุณจะยังอยู่ที่นี่ไหม ฉันเอาบุหรี่มาคืนคุณได้นะพรุ่งนี้ หรือจ่ายเงินคืนคุณก็ได้ กระเป๋าฉันจะมาส่งพรุ่งนี้

              ฉัน: อ๋อๆไม่เป็นไรครับ แค่นี้เล็กน้อยครับ

              หล่อน: คุณใจดีมากนะ ขอบคุณมาก แล้วคุณเดินเล่นที่นี่แล้วหรือยัง

              ฉัน: เดินรอบแล้วนะครับ เมืองไม่ใหญ่มากเท่าไหร่

              หล่อน: ใช่ๆเป็นเมืองเล็กๆที่ชิวๆและเงียบสงบ แต่เล็กไปหน่อย ถ้าไงคุณไม่รู้จะไปไหนฉันแนะนำว่าคุณน่าจะลองไป Arles นะ นั่งรถไฟไปไม่ไกล เดินทางแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว ที่นั่นมีสถานที่ในชมเยอะแยะเลยนะ

              ฉัน: อ๋อหรอครับ ผมไม่มีไอเดียเกี่ยวกับเมืองนี้เลย แต่พบจะลองเสริจดูครับ

              หล่อน: คุณควรจะไปนะ ไหนๆก็มาแล้ว ฉันแนะนำ ฉันต้องไปก่อนนะ เกรงว่าลูกทัวร์ฉันจะรอนาน ขอบคุณสำหรับบุหรี่ และมีความสุขกับการท่องเที่ยว ลาก่อน

              ฉัน: ลาก่อนครับ

    ฉันจุดบุหรี่ขึ้นอีกหนึ่งมวน ควันบุหรี่พวยพุ่งไปตามทางที่หล่อนเดินจากไป สายตาของฉันจับจ้องจนหล่อนเดินลับสายตาไป ฉันยังคงจ้องมองอยู่ที่จุดเดิมที่หล่อนหายตัวไป แต่สมองของฉันกลับนึกถึงคำของหญิงสาวที่พบในหอพักในช่วงบ่าย On a vie qu’une fois

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in