เพื่อนๆเคยรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกมันมักจะผิดพลาดมั้ยคะ แบบเราคิดว่าเราชอบหนังเรื่องนี้ แต่พอดูไปดูมาแล้วกลับไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วก็ไม่ชอบซะงั้น คือจะบอกว่าจริงๆแล้วงานดนตรีที่เราไปนั้นไม่ใช่ความคิดของเราแต่แรกเลยนะ คือเรื่องมันเป็นงี้
ปาร์ตี้ผ่านไปเท่ากับเวลาเรียนปกติ พวกเราทั้งเต้น ร้องเพลง เล่นเกมส์ กินขนมที่พากันขนมา หลังจากนั้นเราก็จบปาร์ตี้กันไปด้วยการแจกจ่ายขนมที่ยังเหลือๆอยู่ พอกลับถึงห้องเรานึกถึงงานที่เซเลสพูดกับเราไว้ พอเข้าไปดูงาน CAT T-SHIRT ก็เห็นว่าเป็นงานของ Cat radio ที่มีเวทีดนตรีและมีเสื้อจากทั้งค่ายดนตรีและนักออกแบบทั้งหลายมาขายของกัน ปกติงานนี้จะจัดในแบบกลางแจ้งแต่ปีนี้จัดอยู่แอร์พอร์ตแรร์ลิ่งมักกะสัน เราไม่รอช้า เข้าไปดูรายละเอียดวันจัดงาน ศิลปิน ราคาบัตรนั่นนี่ ตอนแรกเราไม่ค่อยสนใจเพราะเราไม่คิดว่าคนอย่างเราจะไปงานนั้นได้ เราก็ดูไปแบบผ่านๆ แต่พอดูไปดูมา รู้ตัวอีกทีก็คือบัตรมาถึงมือเราแล้ว ด้วยความได้บัตรก็ต้องไปล่ะนะ แต่จะให้ไปคนเดียวมันก็กลัวจะเด๋อๆด๋าๆ ทำตัวให้น่าโดนหลอกยังไงก็ไม่รู้ โชคดีที่มีเพื่อนที่ไปฝึกงานด้วยกันไปด้วย ก็เลยมีเพื่อนหลงทางด้วยกัน (อย่างน้อยก็หลงทางแบบอุ่นใจล่ะนะ)
31 พฤษภา 2561
พอดีว่างานที่จัดเป็นช่วงที่เราปิดเทอมแล้วมาฝึกงานอยู่กรุงเทพฯพอดิบพอดี เลยตัดสินใจซื้อบัตรไป เราไปกรุงเทพฯวันที่ 31 รอบ 8 โมงเช้า สกล-กรุงเทพฯ โดยรถนครชัยแอร์ ส่วนเพื่อนเราขึ้นจากขอนแก่นไปเจอกันอยู่กรุงเทพฯ พอถึงที่ทำงานก็พากันเก็บข้าวของ (คือที่ที่เราฝึกงานเขามีที่พักให้ซึ่งก็อยู่ในตึกนี่แหละแต่ที่พักจะอยู่ชั้น 5 ส่วนที่ทำงานอยู่ชั้น 3) วันรุ่งขึ้นพี่ก็จัดอบรมการใช้ตึกนั่นนี่ไป บลาๆๆ...ตึกจะปิดตอนสี่ทุ่มนะคะ นี่นึกในใจเอาแล้วไงกู จากที่ทำงานไปงานดนตรีก็ไม่ใกล้กันด้วยสิ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ตอนนั้นคือคิดแต่เรื่องงานดนตรีว่าแบบไปยังไงดี จะโดนพี่แท็กปฏิเสธมั้ย จะจ่ายค่ารถตู้ยังไง จะเด๋อจะหลงทางมั้ย เอาวะ ต้องสู้สักตั้ง อย่างน้อยเราก็มีเพื่อนยืนหนึ่งหลงทางเป็นเพื่อนกันอยู่ วันนั้นเราเลยแบบไล่ถามพี่ๆน้องๆในที่ทำงานเรื่องการเดินทางแบบจริงจังมาก
2 มิถุนา 2561
หลังจากที่ได้รับคำปรึกษาทั้งเพื่อนพี่น้องทั้งหลายเราก็ตัดสินใจกับเพื่อนว่าจะขึ้นสองแถวไปลงฟิวฯละต่อรถตู้ไปลงอนุฯละก็ขึ้นบีทีเอส ละก็เอ็มอาทีไปที่งาน เราขึ้นรอบ 11.30น. จุดนี้อยากให้ทุกคนทายว่าเราสองคนไปถึงงานกันกี่โมง ถ้าคุณบอกว่า 6 โมงเย็นขอบอกว่าคุณตอบ....ผิดค่ะ มันเกินไปค่ะแบบนั้นเกินไปป คำตอบคือเราไปถึงบ่าย 2 ครึ่ง (ที่มาช้าก็คือไหนจะขึ้นรถสองแถวเกือบครึ่งชม. งงกับสายบีทีเอส ละก็หลงทางหาเอ็มอาทีไม่เจออีก) ซึ่งตอนนั้นพี่เอิร์ทขึ้นแสดงจนจบไปแล้ว (เพื่อนที่ไปกับเรามันอยากไปฟังพี่เอิร์ทค่ะ แต่มาสายไปนิสนึง) ก็นกกันไป เลยตัดสินใจเดินพักร้อนเหงื่อแตกไปดูเสื้อกัน ขุ่นพี่คะ!!! หน่องเขินมากเหมือนหน่องมางานพบปะศิลปิน กูนี่จะบ้าดารานักร้องไปมั้ยง่ะ นี่งานเสื้อนะ ฮืออออ มันเป็นครั้งแรกของเราเลยค่ะที่ได้เจอคนที่เราปราบปลื้มบนจอทีวีมาให้เห็นกันแบบใกล้ชิดอะไรแบบนี้ นั่นตัวจริงใช่มั้ยนิ จุดนี้เราแบบทำตัวไม่ถูกเลย เราเดินไปทางนั้นก็เจอพี่กันต์ ชุณหวัตร (คิดถึงต้าฮอร์โมนเลยง่ะะ) เดินไปนี้ก็เจอพี่ส้มมาลี (ทำไมขยันแบบนี้ เราเห็นพี่เขาแบบมาขายเสื้อด้วยตัวเองขายอัลบั้มตัวเองมาแบบชิลๆ น่ารักมาก) แล้วก็เจอหมอเน๋ง กับพี่ออฟ จุมพล (นี่ชอบพี่ออฟตั้งแต่ปืนใน room alone) เราเดินจนลืมไปเลยว่ามางานขายเสื้อ จะบอกว่าเสื้อสวยๆก็เยอะไม่แพ้กันนะ เราแบบอยากแวะทุกร้านเลย แต่นี่รู้สึกเหมือนเป็นโรคกลัวคนสอบถามอ่ะ แบบพี่คะอย่ามองหนู ไม่ต้องพูดกับหนูให้หนูถามเองนะคะ หนูแค่จะมาดูเสื้อเงียบๆ อย่าถามค่ะอย่าถาม อย่ากวักเรียกหนู สายตาของแต่ละร้านนั้นกดดันหนูมากค่ะ (จริงๆก็ไม่มีอะไรนะเขาก็นั่งที่ร้านปกติ หน้าตาใจดีทุกร้าน นี่แบบเป็นบ้าอ่ะ เขินอะไรก็ไม่รู้ ในใจกลัวตังค์ไม่พอด้วยแหละ เลยเดินแบบมองผ่านตาแบบหลายๆรอบ)
พอเดินไปสักพักเราเลยตัดสินใจออกมาฟังเพลงกันบ้าง เราอยากมาฟังวง white hair cut แต่พาเพื่อนเดินดูเสื้อเลยอด คราวนี้เลยแบบไม่ได้ละ พี่วี วีโอเลตน้องต้องไม่พลาด ก่อนพี่วีขึ้นเราสะดุดตากะวงนึงเข้า sweat16! สดใสน่ารักมาก แล้วที่ดูจะสดใสมากที่สุดก็คงไม่พ้นแฟนคลับเขาเลยค่ะ เราเห็นละดีใจแทนวงที่แบบมีคนกระโดดเต้นเชียร์อย่างหนักแน่นขนาดนี้ ตัดภาพมาที่พี่วีเราคือรอบข้างเราฟังเพลงนิ่งมากง่ะ อาจจะเพราะเราอยู่หลังๆด้วยแหละ ในใจนี่คือส่งหัวใจรัวๆ กระโดด ตะโกนร้องเพลงเสียงดังมากง่ะ แต่ในความเป็นจริงคือเราได้แต่โยกเบาๆร้องเพลงคลอๆไป แต่คือทุกท่านคะ พี่วีช่างงดงามจริงๆค่ะ แสงแดดเมืองไทยจะร้อนแรงขนาดไหน แต่แสงไฟที่ตกบนผมพี่วีสวยร้อนแรงกว่ามากเลยค่ะ พอฟังพี่วีจบเพื่อนพากันจะกลับค่ะ เราเลยแบบงั้นขอไปเดินดูเสื้ออีกสักรอบ ปรากฎว่าไปเจอภูมิค่ะทุกคน ตายไปเลยค่ะจุดนี้ นี่เลยเดินดุ่มๆ เข้าไปก็มีคนอื่นๆรอถ่ายรูปพูดคุยกับภูมิเหมือนกัน พอพูดถึงภูมิเราลืมเล่าไปเลย วันที่เรามาถึงกรุงเทพฯเราถามอ.เซเลสอยู่ค่ะว่าอ.จะมามั้ย แต่เท่าที่เห็นในไอจีคือเซเลสกำลังเที่ยวป่าอยู่ สุดท้ายอ.ตอบกลับมาว่าอาจารย์คงมาไม่ได้ตามที่คาดไว้ เราเลยตัดสินใจว่าจะถ่ายวิดีโอภูมิไปให้อาจารย์แทนแล้วกัน แต่ระหว่างนั้นก่อนถึงคิวเราคือเราเจอผู้ชายคนนึง คือเขาใส่เสื้อภูมิแล้วถือปากกามาแบบสั่นเล็กน้อย เดินมาบอกภูมิว่าพี่เป็นไอดอลผมเลยครับ เรานี่แบบเชี่ยย น้องแม่ง...แซงคิวกู (ไม่ใช่ละ แต่จริงๆก็แซงแหละแต่เรารู้สึกอิ่มใจมากกว่าที่มีคนรักภูมิมากขนาดนี้) เราเลยยืนรอหาจังหวะเหมาะๆคนน้อยๆค่อยเข้าไป แล้วจังหวะนั้นก็มาถึง
เราเลยขอให้ภูมิส่งข้อความถึงเซเลสหน่อย แล้วก็เซลฟี่กัน หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นสักพัก ก่อนกลับเราเลยตัดสินใจกลับไปหาภูมิอีกครั้งแล้วบอกว่าเป็นแฟนกันนะ...ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่ เราบอกว่าไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาดูนายเล่น
เรื่องที่พีคที่สุดไม่ใช่เรื่องในงานแต่อย่างใดค่ะทุกคน มันมาพีคตอนกลับ คือเรากลับกันตอน 5 โมงกว่าๆได้ กลับมาถึงที่พักคือ 3 ทุ่ม 50 (ตึกเราปิด 4 ทุ่ม)ตอนนั้นแบบเออ ยังทันๆ เรากับเพื่อนก็กึ่งวิ่งกึ่งเดิน ปรากฎว่ารั้วกั้นตึกมันปิดค่ะ นี่ยืนมองรั้วกับเพื่อนอย่างตะลึง เชี่ยละไง ต้องปีนหรอวะเนี่ย เรายืนคิดกันสักแปป เลยลองเดินๆดูเพื่อมีทางเข้าอื่นๆ แต่ก็ไม่มีแต่อย่างใด จริงๆคือมีคนอยู่ที่ตึกข้างๆเขากำลังขนของอยู่ก็เดินมาดูเราสองคน แต่มาดูจริงๆค่ะ ดูแบบมึงทำอะไรกันอ่ะ จะเข้าตึกหรอ โชคดีนะพวกมึง แล้วก็เดินจากไป ปล่อยให้พวกเราสองคนปีนกันอย่างเสี่ยงตายมากค่ะ สุดท้ายก็เข้าที่พักกันอย่างหวุดหวิด สี่ทุ่มพอดีเป๊ะ แต่ว่า...ยังเหลืออีกวันสินะ
3 มิถุนา 2561
วันสุดท้ายนี้เพื่อนเราอีกคนไม่มีแรงบันดาลใจจะไปต่อแล้วค่ะ(อาจเพราะการปีนรั้วเสีี่ยงตายเมื่อคืน) เลยตกลงกันว่าจะแยกกันตรงมธ. เพราะเพื่อนเรามันจะไปจตุจักรต่อ เราเลยได้ไปงานคนเดียว สำหรับวันสุดท้ายนี้ สิ่งที่ตั้งใจในวันนี้คือตั้งใจจะไปดูภูมิค่ะ เพราะเราบอกภูมิไปแล้วด้วยแหละว่าจะไปดู และอีกอย่างเรารู้สึกเมื่อวานมันยังไม่สุดสำหรับเรา เรายังอยากจะเดินดูเสื้อ ฟังเพลงวงอื่นๆอยู่ วันนี้แผนเราคือไปอยู่หน้าๆไว้ก่อน เราไปยืนตั้งแต่วงแรกขึ้นเลยค่ะ ประทับใจมากจนรู้สึกว่าเมื่อวานเราน่าจะมาฟังเพลงวงอื่นๆด้วย เสียดายมาก เรารู้สึกว่าดนตรีสดมันฟังเพราะทุกแนวเลยหรอเนี่ย ขนาดเพลงใต้ละมีความอิเล็คโทนนี่แบบเจ๋งดีแฮะ เราฟังตั้งแต่ boyjozz จนถึง denims คือเพราะทุกวง เพราะทุกเพลง จริงๆก็เมื่อยแต่ก็ถอยไม่ได้แล้ว ในที่สุดภูมิก็ขึ้นค่ะ พึ่่งเข้าใจความรู้สึก mission complete ก็วันนี้เลย มันดีมาก แต่พอกลับมาถึงที่พักคือพักผ่อนค่ะ เมื่อยเชี่ยๆเลย ฮ่าๆๆ
ทั้งหมดทั้งมวลคือเรารู้สึกว่าการไปตามที่ๆเราไม่ได้หวังบ้าง ไปตามคนอื่นๆแนะนำบ้าง มันก็เปิดโลกเราดีนะ ที่ผ่านมาเราชอบคิดว่าสิ่งที่เราเลือกมันมักจะพลาด แต่ครั้งนี้คือเหมือนเรามาทั้งตามคำแนะนำอาจารย์แล้วก็บังคับตัวเองให้ลองมาด้วย แล้วรู้สึกว่านี่แหละจุดคุ้มของเรา จุดที่เรารู้สึกว่าเราไม่ผิดหวังในการตัดสินใจของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
เรื่องที่เราจะเล่ามันก็มีเท่านี้แหละ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in