โรคไอกรน (Pertussis) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย แม้ว่าจะพบมากในเด็กเล็ก แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน แม้ได้รับวัคซีนแล้ว แต่อาจมีโอกาสติดเชื้ออีกหากภูมิคุ้มกันลดลงและไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสม
สาเหตุและการแพร่กระจายของโรคโรคไอกรนเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจามของผู้ติดเชื้อ ดังนั้นผู้ป่วยควรพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่นเพื่อลดการแพร่กระจายของโรค
อาการของโรคไอกรน
ระยะเริ่มต้น มีอาการคล้ายหวัด ได้แก่ ไข้ต่ำ น้ำมูกไหล และไอแห้ง ๆ ติดต่อกันนานกว่า 10 วัน
ระยะไอรุนแรง มีอาการไอเป็นชุด ๆ ตามด้วยการหายใจเข้าเสียงวู๊บ (whooping sound) อาจเกิดภาวะหน้าแดง หายใจลำบาก หรืออาเจียน
ระยะฟื้นตัว อาการไอจะค่อย ๆ ทุเลาลง แต่สามารถมีอาการไอเรื้อรังต่อเนื่องได้นาน 6-10 สัปดาห์
กลุ่มเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง
เด็กเล็กและทารก เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรน
ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ภาวะแทรกซ้อนของโรค
ในเด็กเล็ก อาจเกิดภาวะหยุดหายใจ ปอดอักเสบ หรือชักจากการขาดออกซิเจน ส่วนในผู้ใหญ่ อาจเกิดกระดูกซี่โครงหักจากการไอรุนแรง เลือดออกบริเวณเยื่อบุ ปัสสาวะเล็ด หรืออาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง
การวินิจฉัยและการรักษา
แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยโรคไอกรนได้โดยการตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การเพาะเชื้อจากเสมหะหรือการตรวจด้วยวิธี PCR สำหรับการรักษา ยาปฏิชีวนะสามารถช่วยลดการแพร่กระจายของโรคได้หากได้รับในระยะแรก นอกจากนี้ผู้ป่วยควรดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อน และอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทดี
แนวทางการป้องกันโรคไอกรน
การรับวัคซีน เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยทารกควรได้รับวัคซีนไอกรนตามกำหนด และผู้ใหญ่ควรได้รับวัคซีนกระตุ้นทุก 10 ปี หญิงตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีนระหว่างสัปดาห์ที่ 27-36 เพื่อส่งผ่านภูมิคุ้มกันสู่ทารก
การรักษาสุขอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ ใส่หน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ
หากสงสัยว่าตนเองหรือบุตรหลานอาจติดเชื้อไอกรน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in